ผมเห็นสโลแกนนี้แล้วผมรู้สึกฮึกเหิมเลยแฮะ "ชาติ เสรีภาพ ประชาชน" รู้สึกว่ามันใช่มากๆ อยากใช้เราชูคำนี้ไปเรื่อยๆ

คือต้องบอกว่าเวลาผมเห็นคนแซวเรื่อง ชาติ ศาสนา แบล็คพิงค์ อะไรเนี่ย ก็ยังรู้สึกขัดๆ ตรงที่เราก็ยังไม่เห็นปัญหาของอันที่ 2
ไม่ใช่ว่าศาสนามันไม่ดี หรือว่าเราต้องออกมาต่อต้าน แต่ประเด็นคือผมคิดว่ามันไม่ควรถูกนำมาเป็นหลักใหญ่ขอประเทศขนาดนี้

ยิ่งเวลาผ่านไป คนนับถือศาสนายิ่งน้อยลงๆ ยิ่งประเทศที่เจริญแล้วนี่ยิ่งให้ความสำคัญน้อย มันยิ่งเริ่มเป็นอดีตไปเรื่อยๆ
ยิ่งเด็กมหาลัยหรือมัธยมรุ่นนี้ น่าจะน้อยลงมากแล้ว ที่จะมานั่งให้ความสำคัญกับศาสนาเหมือนคนสมัยก่อน



เปลี่ยน "ศาสนา" เป็น "เสรีภาพ"
จริงๆเสรีภาพนี่มันกว้างกว่าแค่เรื่องศาสนามาก และเป็นคำที่ครอบคลุมในทุกมิติมากๆ ในยุคสมัยนี้เราควรปลูกฝังเรื่องเสรีภาพในทุกๆอย่าง ที่ยังอยู่ในกรอบของหลักกฏหมายและสิทธิมนุษยชนสากล แต่ถ้าจะมาโฟกัสตรงคำที่มันมาแทนโดยตรง มันก็เข้าเป้าเต็มๆเหมือนกัน เราควรมีเสรีภาพอย่างเต็มที่ที่จะนับถือหรือไม่นับถือศาสนาก็ได้ ศาสนาไม่ใช่ตัวชี้วัดว่าคุณเป็นคนยังไง เป็นคนดีหรือไม่ ไม่ใช่แบบเพลงเด็กเอ๋ยเด็กดีที่ยังเปิดให้เด็กร้องกันอยู่ ว่าหน้าที่ของเด็กดีคือต้องนับถือศาสนา มันไม่ใช่แล้ว นี่มันปี 2020 ผู้ใหญ่บางคนยังคิดอยู่เลยว่าคนไม่นับถือศาสนาคือคนไม่ดี มันก็มาจากการปลูกฝังผิดๆแบบนี้ไง

เปลี่ยน "พระมหากษัตริย์" เป็น "ประชาชน"
อันนี้ผมคงไม่ต้องพูดอะไรเยอะ เพราะเป็นคำที่ทุกคนพยายามชูกันอยู่แล้วในปัจจุบัน เราควรจะให้ความสำคัญกับอะไรมากกกว่ากัน ระหว่างคนกลุ่มเดียว ตระกูลตระกูลเดียว เทียบกับประชาชนทั้งประเทศ การชูสโลแกนแบบนี้มันเป็นการแสดงในเชิงสัญลักษณ์ว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นใหญ่ในประเทศนี้ ซึ่งประเทศไทยนั้นชัดเจนมาตลอด แต่จริงๆประเทศอื่นก็มีปัญหาบ้างเหมือนกัน อย่าง Wayne Rooney เคยไม่ยอมร้องเพลงชาติอังกฤษ God Saves the Queen ด้วยเหตุผลที่ว่าทำไมต้องเซฟเดอะควีน ทำไมไม่เซฟประชาชนวะ




จริงๆผมมองว่าซักวันนึงมันก็คงต้องเปลี่ยนนะ สำหรับสโลแกน "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"

เพราะจริงๆมันก็เพิ่งเกิดในสมัย ร.6 แค่ร้อยกว่าปีนี้เองมั้ง ในเชิงสัญลักษณ์ ในเชิงอุดมการณ์หลักของประเทศ

แน่นอนว่าสโลแกนนึงมันไม่มีทางจะคงอยู่ต่อไปชั่วกัลปวสาน มันต้องถูกเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยอยู่แล้ว

คำถามก็คือจะเมื่อไหร่เท่านั้นเอง ซึ่งผมคิดว่ามันคงไม่ใช่การหักดิบขนาดนั้น แต่คงค่อยๆปรับ ค่อยๆรณรงค์กันไป

ผมไม่รู้ว่าสโลแกนนี้เริ่มมาจากไหน แต่เด็กๆนักเรียนนักศึกษาเค้าเริ่มชูกันแล้ว น้องๆศึกษานารี แล้วก็นี่เลยน้องๆ มธ.



สุดท้ายขอฝากไว้ประโยคนึง

"จงหล่อเลี้ยงความเป็นขบถไว้ในตัวคุณ เพราะหากคุณไม่มีความเป็นขบถ โลกนี้ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย"

ก็ค่อยๆทยอยเปลี่ยนไปตามยุคสมัยนั้นแหละครับ ที่เห็นพูดกันก็มีแค่ไม่เท่าไหร่ในเน็ตไม่กี่หมื่นคนมันยังน้อยมากเมื่อมองไปยังคนไทย 70 ล้านคน

วันนี้ยังเป็นเสียงส่วนน้อยเปลี่ยนอะไรไม่ได้ แต่อีก10 20 หรือ30ปี ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนแปลงไปตามบริบทสังคมเองนั้นแหละครับ

เห็นด้วยเรื่องศาสนา บางคนเค้าไม่ได้นับถือศาสนาอะไร

อันนี้คิดไปเองรึป่าว หรือไปฟังมาจากใคร ว่าประเทศพวกนั้นให้ความสำคัญศาสนาน้อย

----------


คำว่า เสรีภาพ ตอนนี้จากที่ไล่ดูๆมายังสงสัยว่า เสรีภาพเพื่อสิทธิของตัวเราเอง หรือเสรีภาพเพื่อสิทธิที่เราสามารถทำอะไรกับใครยังไงก็ได้


จากที่เห็นหลายๆตัวอย่าง ถ้าไม่ชอบใครบางคนก็ไล่รุมทึ้ง โดยเฉพาะพวกดารานักร้อง โดนกันเป็นทิวแถว อย่างล่าสุดก็ lisa

มันก็แปลก ทำไมไม่แสดงออกกันอีกอย่าง ในเมื่อชูเรื่อง เสรีภาพ จริงๆก็ควรเว้นช่องว่างหรือสนันสนุกฝ่ายตรงข้ามบางคน ให้คนส่วนใหญ่ได้เห็น "นี่แหล่ะ เสรีภาพที่เรียกร้องกัน"

ซักวันเดี๋ยวก็เปลี่ยนเองครับ อะไรที่คนไม่นับถือ ไม่สนใจ เดี๋ยวมันก้หายไปเองตามกาลเวลา

ผมมองว่าศาสนา (หมายถึงพระสงฆ์) ทำให้เสื่อมเอง จึงทำให้เด็กรุ่นใหม่ไม่นับถือศาสนา อย่างหลานผม อายุ18 ได้เคยบอกว่าพออายุ20จะบวชให้ยาย พอบวชเสร็จจะขอไม่นับถือศาสนาใดๆเลย

เรื่องศาสนาผมก็เห็นด้วย ว่าไม่ควรยึดเป็นเสาหลักของชาติ ควรแยกรัฐออกจากศาสนาได้แล้วด้วยซ้ำ
ให้ศาสนาเป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่ต้องมีรัฐชี้นำ ไม่ต้องบังคับสวดมนต์ ไม่ต้องบังคับเรียน หรือถ้าจะเรียนก็ต้องเรียนศาสนาอย่างกว้าง ที่เอารวบรวมทุกศาสนา ไม่ใช่หมกมุ่นอยู่แต่กับพุทธ

สำหรับศาสนาความคิดผมควรมีนะ แต่ควรมีอิสระที่จะเลือก คนเรามีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจไว้บ้างไม่มาก็น้อย..

ชาติ ศาสนา พระมหาสมปอง

จริงๆมัน common sense อยู่แล้วนะ ในโลกยุคใหม่ที่มีข้อมูลมากขึ้น มีความรู้มากขึ้น มีหลักอื่นๆนอกจากศาสนาที่แข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะหลักกฏหมายของประเทศที่เจริญแล้วที่แข็งแรงมากๆเนี่ย ศาสนาก็ย่อมถูกให้ความสำคัญน้อยลงเป็นธรรมดา

แต่ถ้าอยากได้อะไรที่เป็นรูปธรรมขึ้น ลองดู research นี้ครับ หรือหา article ฝรั่งอ่านเพิ่มเติมก็ได้ มีพูดถึงเรื่องแบบนี้เยอะแยะ

http://www.soccersuck.com/boards/topic/1906521


หรือเอาโพลใน SS ก็ได้ เว็บเรามันไม่ได้เกิดมาด้วย type ของศาสนาหรือการเมือง แต่เว็บเราประชากรส่วนใหญ่คือประชากรผู้ชายชอบดูบอลอายุ 25-35 ประมาณนั้น เป็น demographic แล้วคุณลองคิดดูว่าถ้าไปถามประชากรอายุ 50-60 กลุ่มไหนก็ได้ ผลโพลจะออกมาเป็นแบบนี้มั้ย เป็นไปไมไ่ด้เลย แค่นี้ก็พอเห็นภาพแล้วว่ายุคใหม่นั้นศาสนาถูกให้ความสำคัญน้อยลง แม้แต่ในประเทศเรา

http://www.soccersuck.com/boards/topic/1923665



ส่วนเรื่องเสรีภาพ แน่นอนว่าสิ่งที่กลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยทำมันไมไ่ด้ถูกทุกเรื่อง แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่สามารถไปบังคับใครได้ ไม่สามารถเอาปืนไปจ่อหัวบังคับ ไม่สามารถเขียนกฏหมายมาบังคับ เขามีสิทธิเลิกสนับสนุน หรือแม้แต่การเรียกร้องให้แบน เขาก็ไม่มีสิทธิจะไปบังคับให้คนอื่นแบนด้วยได้ คนสนับสนุนก็สนับสนุนต่อได้ เป็นสิทธิของเค้า มันก็จบแค่นั้นเอง แต่ถ้าเกินเลยกว่านั้น ไปคุกคามหรือด่าในระดับที่เกินเลย ก็สามารถฟ้องร้องได้ครับ แค่นั้นเอง

ผมไม่แน่ใจนะว่าท่านสื่อความหมายแบบไหน แต่ผมยืนยันควรมีอิสระที่จะเลือกว่านับถือหรือไม่นับถือด้วยครับ ไม่ใช่ว่าแค่อิสระที่จะนับถือศาสนาไหน

เราสามารถมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจที่ไม่ใช่ศาสนาได้ครับ

เห็นด้วยทุกส่วน แปลกตรงเราจะไปความสำคัญกับครอบครัวใดครอบครัวนึงทำไมทั้งที่ได้งบประมาณต่อปี3หมื่นกว่าล้านมันคงดูแลตัวเองได้แหละเงินขนาดนี้

ไปเซฟเขาทั้งที่ตัวเองยังลำบาก คมนาคม ยังมีไม่ถึงทุกที่เลยด้วยซ้ำทั้งที่ถ้าบริหารดีๆสามารถนำรถขนส่งสาธารณะไปวิ่งได้ทุกที่แบบไฟฟ้าทุกจังหวัดทุกพิ้นที่ยังได้

รพรัฐแม่งต่อแถวอย่างกับมด ขาดแคลนเครื่องมือแพทย์ตลอด ไม่ว่าในเมืองในชนบท คนแม่งยังลำบากแต่จะไปเซฟคนที่มันมีทั้งกองทัพของตัวเอง เงินใช้ไม่ขาดมือ แถมมีหุ้นกับบริษัทใหญ่แทบจะทุกบริษัทในไทย เพื่อ คนพวกนี้มันไม่รักตัวเองและลูกหลานในอนาคตบ้างหรอ

อ่านตอนแรก เห็นเป็นตึก SCB กล้ามาก

ศาสนามันคือบทสรุปของร่างกายอ่ะดิ
ไม่ใช่แค่เรื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ

ความรักทำให้คนตาบอด ถูกสั่งให้เชื่อมาตั้งแต่เกิด แล้วคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะอ่านน้อยมาก self learning ต่ำสุดๆ

ไม่กล้าออกจากเซฟโซนความเชื่อที่ตัวเองเชื่อมาตั้งแต่เด็กๆ ก็เข้าใจเขาได้นะ โดยเฉพาะพวกชาวบ้านที่ไม่ค่อยได้เรียนหนังสือ

เราจะไปบอกเขาเรื่องปฏิรูปเนี่ย ไม่มีทางเลยที่เขาจะฟังเข้าใจ