[RE: จุดสิ้นสุดของความรัก]
Spoil
anya พิมพ์ว่า:
สวัสดีครับทุกคน
วันนี้ผมอยากแบ่งปันประสบการณ์และมุมมองที่มีต่อความรัก
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจาก ๒ กระทู้ข้างล่าง แต่จะเริ่มอ่านที่กระทู้นี้เลยก็ได้ครับ
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1683157
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1688836
ปลายปีที่แล้วผมพบว่าแฟนแอบสานสัมพันธ์รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย แต่เราก็ประคับประคองจนผ่านพ้นมาได้ ผมเลือกไม่เอ่ยถามถึงคนนั้นอีก ให้เค้าได้แก้ไขด้วยตนเองโดยไม่ต้องแบกรับแรงกดดัน
จากปีใหม่เป็นต้นมา ความรักของเราก็ราบรื่นดีครับ อาจมีงอนกันบ้างแต่ไม่เคยทะเลาะกันแรง ๆ อีก เป็นช่วงที่ผมทุ่มเทให้กับการรักษา คลินิกเราก็เติบโตและมั่นคงขึ้นตามลำดับ ทุกบาททุกสตางค์ถูกใช้อย่างรอบคอบ ไม่เคยฟุ่มเฟือยหรือทำอะไรตามใจชอบ คิดเพียงว่าจะทำอย่างไรให้เค้ามีความสุข ให้เค้าได้เป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉา
แต่ในความสุขนั้นไม่จีรัง บ่ายวันที่ ๘ มิถุนายน เค้าลงมาทานอาหารกลางวันแล้วบอกกับผมว่าไม่อยากไปต่อ เราใช้เวลาพูดคุยกันพักใหญ่ เค้ายืนยันว่าไม่มีความสุข เค้ามองไม่เห็นอนาคต ไม่อยากแต่งงานกับผม ซึ่งเคยทำให้เค้าต้องเสียใจ เค้าไม่อยากตื่นมามองหน้าที่เกลียดฝังใจ ผมแสดงความเสียใจและขออภัยในสิ่งที่เกิดขึ้น ผมยอมรับว่าเรามีส่วนผิดจริง ในทุกครั้งที่โต้เถียงกันมันส่งผลถึงสภาพจิตใจ แม้เราจะฟื้นตัวได้ไวและก้าวผ่านความเจ็บปวดมาได้ แต่อีกฝ่ายอาจยังเศร้าหมองและกังวลถึงอนาคต
เหตุการณ์วันนั้นทำให้เกิดสูญญากาศในความรัก อย่างไรก็ตาม เรายังอยู่บ้านเดียวกันและใช้ชีวิตร่วมกันตามปกติ
กระทั่งค่ำวันอาทิตย์ก็เกิดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ผมบังเอิญเข้าห้องไปโดยไม่เคาะประตู
สิ่งที่ผมพบเจอคือ แฟนกำลังวิดีโอคอลคุยกับผู้ชายคนหนึ่ง ผมจำเค้าได้เพราะเป็นคนที่มากด Love ใน Facebook แฟนบ่อย ๆ เป็นนักศึกษาจากตะวันออกกลางที่เรียนหลักสูตรปริญญาเอก แฟนเคยบอกว่าเค้าเป็นคนรู้จักห่าง ๆ แล้วผู้ชายคนนั้นก็กด Love กับเพื่อนทุกคน แต่ก็คน ๆ นี้อีกที่เคยทักแชทมา แฟนก็แก้ต่างว่าเค้าให้ช่วยทำวิจัย --- วันนี้ความสงสัยของผมกระจ่างแล้ว แฟนยอมรับตรง ๆ ว่าคบหากันมาระยะหนึ่ง
ผมขออนุญาตเรียกผู้ชายคนนี้ว่า คาลิล นะครับ
เค้าบอกว่า คาลิล เป็นคนที่อบอุ่น เป็นคนที่เค้าอยู่ด้วยแล้วสบายใจ เป็นสิ่งที่เค้าฝันว่าจะมี เค้าอาจจะผิดที่นอกใจแต่เค้าไม่ผิดที่รักตัวเอง เพราะผมนั่นล่ะที่ผลักดันให้เค้าต้องทำแบบนี้ ถึงเพื่อนที่มหาวิทยาลัยพยายามเตือนหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร เค้าก็อยากใช้ชีวิตร่วมกับผู้ชายคนนี้ --- หัวใจผมเหมือนถูกกระชากออกไปคนละทาง ผมอาจไม่เห็นกับหลาย ๆ ข้อหา แต่การโต้เถียงต่อย่อมไม่ใช่ผลดี ผมเลือกจะเงียบแล้วกล่าวขอคำโทษแทน
ตลอดสัปดาห์นี้ความสัมพันธ์ของตกต่ำลงตามลำดับ ผมจะขึ้นนอนหลังตี ๑ เพื่อแน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นจะหลับแล้ว เราไม่ต้องได้ยินพวกเค้าบอกรักหรือฝากความห่วงใยแก่กัน แฟนผมจะออกไปพบ คาลิล ตอนค่ำ ๆ ทุกวัน กลับตี ๑ บ้าง ตี ๒ บ้าง บางวันก็ออกไปแต่เช้ามืดแล้วกลับมาเที่ยง ๆ --- จุดนั้นเขาย้ำว่าผมไม่มีสิทธิ์ใด ๆ และไม่ควรเรียกตนว่าเป็นแฟนอีก
สำหรับผู้ชายที่ชื่อ คาลิล อายุน้อยกว่าแฟนผม ๑ ปีครับ เขาทราบดีว่าผมกับแฟนใช้ชีวิตทั้งในฐานะคนรักและเพื่อนร่วมงาน รู้ว่าเรา ๒ คนอาศัยในบ้านเดียวกัน แต่ผมทราบรายละเอียดของเขาไม่มากเพราะมันไม่มีประโยชน์ใด ๆ การแสวงหาความจริง นอกจากจะเจ็บช้ำยิ่งขึ้น
ระหว่างนี้แฟนคล้าย ๆ จะกลับมาหลายหน ผมก็พยายามพิสูจน์ตัวเอง เค้าเหมือนจะตัดใจจากคนใหม่ ร้องไห้บ้าง วิ่งมากอดบ้าง ฯลฯ แต่เมื่อ คาลิล โทรมาและย้ำว่านั่นเป็นการกระทำที่โง่เขลา ระยะห่างในความรักเราก็ฉีกตัวออกไปอีก อารมณ์ของเค้าขึ้น ๆ ลง ๆ แสดงความรำคาญและด่าทอเรา อ่านถึงตรงนี้คุณอาจสงสัยว่าทำไมผมไม่จัดการเขาเสียเลย ไหน ๆ จะจบแล้วก็จบให้เด็ดขาด บางที คาลิล ควรได้รับบทเรียน แต่บทเรียนที่ผมจะมอบแก่เขาไม่ใช่ความรุนแรง ถ้าผมทำ ผมจะต่างอะไรกับสิ่งที่เค้า ๒ คนกล่าวหา
ผมยอมรับว่าสุขภาพถดถอยลงมากครับ ๔ วันแรกผมนอนไม่หลับเลย เมื่อทานอาหารก็อาเจียนจนหมดสิ้น ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ร้องไห้กับตัวเอง ล่วงมาสัปดาห์เศษก็ยังนอนต่อเมื่อร่างกายชัตดาวน์ตัวเองเท่านั้น ผมไม่อาจบอกเล่าความเจ็บปวดแก่คนรอบข้างอีก เพราะพวกเขาฝากความหวังและความรักเป็นอันมาก เมื่อผมเจ็บปวด พวกเขาก็เจ็บปวดไปด้วย
ล่วงมาคืนวันเสาร์ปัญหาก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง เค้าบอกว่าถ้ารู้สึกผิดจริงก็ฆ่าตัวตายเสียสิ ทำไมไม่รีบตาย ๆ ลงจะได้ไม่เป็นภาระใคร คืนนั้นผมขอให้เค้านั่งลงเจรจากัน เมื่อเพื่อนบ้านพบเห็นเรากำลังโต้เถียง เค้าทั้งอายทั้งโกรธจึงระดมชกใส่ผมบริเวณศีรษะ พร้อมทำลายโทรศัพท์, แลปทอป และข้าวของในคลินิก เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง เราทั้งคู่ไปลงบันทึกที่ ส.น. จากนั้นเจ้าหน้าที่ส่งผมไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลนพรัตน์ฯ อย่างไรก็ตาม ผมตัดสินใจถอนแจ้งความเพราะเราใช้ชีวิตร่วมกันมาหลายปีและถึงจะบาดเจ็บบ้างก็ไม่หนักหนาอะไร อาจดูเหมือนคนไม่รู้จักจำแต่ผมให้อภัยเค้าได้เสมอ
ผมยังไปรักษาคุณพ่อคุณแม่เขาตามกำหนด เมื่อท่านเอ่ยขอบคุณที่เราช่วยดูแลลูกสาว ผมก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ ขอให้ท่านนั่งคู่กันแล้วก้มลงกราบเท้า ท่านถามว่าเกิดอะไรขึ้น? ผมชี้แจงว่าผมไม่ดีพอจะดูแลเค้าอีกต่อไป คุณพ่อคุณแม่ก็ให้กำลังใจและขอให้ผมทบทวนใหม่ ผมเลือกจะไม่เล่าเรื่องมือที่สามและรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ท่านก็พยายามช่วยเหลือโดยนัดไปทานข้าวร่วมกันและมอบหมายกิจกรรมให้เรา ๒ คนรับผิดชอบ ขอขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ปฏิบัติต่อผมอย่างคนในครอบครัว ให้ความรักแก่ผมโดยเสมอภาคกับบุตรร่วมสายโลหิตครับ
ขอสารภาพว่าผมคิดสั้นอยู่หลายหน อยากจบชีวิตลงและไม่รับรู้อะไรอีก
ผมเสียคนรัก เสียครอบครัวที่สร้างมา เสียงานที่พากเพียรจนเติบใหญ่ ฯลฯ ผมเสียแทบทุกอย่างไปพร้อมกัน
ผมไม่รู้ว่านับจากนี้ไปชีวิตจะหันเหไปยังทิศทางใด แต่หวังว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปด้วยดี จะกลับมาทำการรักษาผู้ป่วยได้เช่นเดิม ขอให้ผู้อ่านเป็นพยานว่าผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องคนนี้ได้พยายามเต็มที่แล้ว ผมทำทุกอย่างเท่าที่ความรักอนุญาตให้ทำแล้ว หวังว่าเรื่องนี้จะให้แง่คิดอะไรบางแก่ทุกคน
ขอบคุณที่อ่านจนถึงบรรทัดสุดท้ายครับ
หมอแก้ว
เรื่องเกิดมา 3 4 5 6 ครั้งแล้วทำไมยังปล่อยให้เนื้อร้ายมากัดกินชีวิตคุณอยู่หละครับ
หรือจะต้องให้มีครั้งที่ 7 8 9 10 11 ... ไปเรื่อยๆ
คุณไม่รักตัวเองเลย
คุณปล่อยให้ ผญ คนนึงมากระทำย่ำยีศักดิ์ศรี ชีวิตของคุณขนาดนี้
พ่อแม้ที่เลี้ยงคุณมาอย่างดีจะรู้สึกยังไงครับ
อดีตเค้าจะดีแค่ไหน แต่ปัจจุบันไม่ใช้แล้วครับ
จงตกหลุมรักกับ "ความจริง" ไม่ใช่ "ความจำ"