ผมอยากรู้ว่าเวลาที่ศาลจะติดสินว่าใครผิดใครถูก คิดว่ามี bias ไหมครับ

จากคนที่เคยขึ้นศาลและว่าความเอง


ผมเคารพในการตัดสินของศาลทั้งหมด เพราะเป็นเหตุและผลที่สุด
เป็นพื้นที่ๆได้ใช้เหตุผลมากที่สุดในประเทศไทยแล้ว


ศาลจะไม่รับฟังความฝ่ายเดียว
และจะให้โอกาสอีกฝั่งได้โต้แย้งเสมอ
ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับหลักฐานที่เห็นภาพชัดเจน
คำพูดคำกล่าวลอยจะใช้อะไรไม่ได้

ผมไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับศาลนะ แต่ที่บ้านเคยผ่านมาหลายคดี

ศาลคือกระบวนตัดสินที่เป็นธรรมที่สุด ในกระบวนการยุติธรรมศาลย่อม Bias ไม่ได้ ศาลจะตัดสินขึ้นอยู่กับสำนวน พยาน หลักฐาน เท่านั้น ตาลุงที่เดินสวนไปมากับท่าน ท่านไม่รู้หรอกว่าเขาคือผู้พิพากษาหรือเปล่า

แต่ตัวแปรนึงมันขึ้นอยู่กับ สำนวน ที่โดยทั่วไปตำรวจทำให้ส่งให้อัยการ

ส่วนอัยการจะพิจารณาสำนวน กรณีมีมูลจะสั่งฟ้องต่อศาล แต่ถ้าไม่มีมูลก็ไม่สั่งฟ้อง โจทย์อยากฟ้องก็มีสิทธิ์ฟ้องศาลด้วยตัวเอง

ตัวแปรหลัก ๆ ในการทำคดีคือ ตำรวจและอัยการครับ อันนี้ทุกคนคงรู้ว่าผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร ผมว่ามีหลายคนในที่นี้ที่ได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีในขั้นตอนนี้

ส่วนทนายก็คือคนทำงานคนนึง มีทั้งเก่งและไม่เก่ง เป็นตัวผู้เล่นสำคัญของเรา แต่ถ้าเราได้ทนายเก่ง หาช่องว่าง หลักฐานพยานมาเบิกความสร้างประโยชน์ได้ จากคนผิดมากก็กลายเป็นผิดกลาง ๆ หรือหลบเลี่ยงจากผิดน้อยเป็นความเทา ๆ มีหลายคดีตัวอย่างครับ

ผมมีรุ่นพี่ผู้พิพากษาคนนึงที่ด่าทักษิณผ่านเฟซบุ๊กทุกวันวันละ 3 เวลาหลังอาหาร

คุณคิดว่าถ้าเค้าได้ตัดสินคดีทักษิณขึ้นมา เค้าจะตัดสินด้วยความเที่ยงตรงมั้ยครับ

ไม่หรอก ทุกคนมีอคติหมดแหละ ไม่มีอคติมันก็แค่อุดมคติที่จะต้องทำให้ได้ ซึ่งบางคนทำได้บางคนทำไม่ได้ ไม่ใช่ทุกคนหรอก

ทางแก้คือจัดองค์คณะให้ดี มีศาลสามชั้นเอาไว้ตรวจทานคำตัดสินของชั้นล่างอีกที

ส่วนถ้าหมายถึงคดีที่คนกระโดดตึกวันนี้ ผมสงสารองค์คณะที่ตัดสินนะครับ

ต่อให้คุณรู้ว่าไอคนนี้มันผิดแน่ๆโดยสามัญสำนึกหรือเซนส์หรืออะไรก็ตามแต่ แต่พอต้องตัดสิน ถ้าโจทก์หาภาพวงจรปิดมายืนยันความผิดจำเลยไม่ได้ มันก็จบครับ ผู้พิพากษาตัดสินให้คุณไม่ได้ แม้ในใจจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะกฎหมายอาญาต้องพิสูจน์จนสิ้นสงสัย

ไม่มี 100%

จาก คนในวงการ

มีแต่ ทนายเก๋าๆ หาช่องว่างของข้อกฎหมายมาสู้

ผมไม่ได้ทำงานศาลนะครับ
แต่ผมเรียนกฎหมาย

ศาลยุติธรรมหรือศาลทั่วๆไป จะมีทั้งหมด3ศาล
ศาลชั้นต้น ซึ่งองค์คณะคดีทั่วไป 2 ท่าน
ศาลอุทธรณ์ องค์คณะ 3 ท่าน
ศาลฎีกา องค์คณะ 3 ท่าน
(ไม่แน่ใจ)

จะเห็นได้กระบวนการที่ให้ได้มาซึ่งคำพิพากษาไม่ใช่มาจากท่านเพียงคนเดียว แต่มาหลายจากท่านเลย
ซ้ำยังในศาลฎีกามีผู้ช่วยพิพากษาในการตรวจสอบคำพิพากษาก่อนอีก

โอกาสคดีจะออกมาแนวลำเอียงเป็นส่วนตัวนี้ยากอะครับ

และทุกคำพิพากษาประชาชนสามารถตรวจได้ ซึ่งทำให้นักศึกษา อาจารย์หลายคน ก็ได้ศึกษาบทเรียนเอาจากคำพิพากษาที่ตัดสินกันจริง ก็ถือเป็นการตรวจสอบโดยปริยาย
หากคำพิพากษาไหนตัดสินแปลกๆ ก็จะถูกวิจารณ์ได้ ซึ่งองค์คณะคงไม่เอาชื่อเสียงตัวเองมาเสี่ยง

(ผมรู้จักผู้พิพากษาผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เคยเล่าให้ฟังว่าถ้ามีผู้พิพากษาคนไหน ตัดสินออกมา แล้วถูกกลับคำพิพากษาโดยศาลสููงกว่า บ่อยๆหลายๆครั่ง ก็จะถูกเรียกไปตำหนิ)

ถ้าถามความเห็นส่วนตัวผมนะ ผมคิดว่ายากอะที่ศาล อุทธรณ์ หรือ ศาลฎีกา จะมีอคติหรือลำเอียงได้

ถ้าตัดสินขึ้นมา ทางโจทย์หรือจำเลยน่าจะยื่นเรื่องได้นะว่า ไม่เป็นกลาง

โดนหลักฐานคือ ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค

บางครั้งศาลก็รู้ก็อยากช่วยเเต่หลักฐานไม่พอจริง

มีแน่นอน แต่ระดับการคัดกรองมันสูง % มันจะต่ำ เทียบกับอัยการ ตำรวจ ก็ลดหลั่นกันลงไป
อย่างเพื่อนที่เป็นอัยการ ตำรวจส่งคดียามาให้ หลักฐานล่อซื้ออย่างแบงค์ที่ใช้ล่อซื้อก็ไม่มี คดีมาทีนี้ถ้าเกิดจำเลยมันสู้ อัยการก็มึนเหมือนกันว่ามันยัดยาป่าววะ หลักฐานอ่อน
หรืออย่างอัยการรุ่นพี่รับเงิน คอยเลี้ยงดูปูเสื่อ หวังตำแหน่ง ก็มีเล่าให้ฟัง

เท่าที่อ่านคำถาม เข้าใจว่าถามถึงคดีอาญา

คดีอาญาแบ่งเป็นฟ้องเอง กับคดีมีการร้องทุกข์หรือมีการกล่าวหา

ในคดีฟ้องเอง ต้องผ่านการไต่สวนมูลฟ้อง ถ้าคดีมีมูลถึงจะประทับฟ้องไว้พิจารณา

หลังจากสอบคำให้การจำเลยปฏิเสธ ในการฟังข้อเท็จจริง โจทก์มีภาระการพิสูจน์ ถ้าโจทก์สืบไม่ได้ หรือมีข้อสงสัยก็ต้องยกฟ้อง ไม่สามารถนำข้อเท็จจริงที่รับรู้มาเองมาตัดสินได้ เว้นแต่ข้อกม

ถ้าโจทก์สืบได้ ถึงฟังพยานหลักฐานจำเลยต่อ ว่าใครฟังได้มากกว่า

ถ้าศาลตัดสินว่าจำเลยผิด โดยที่หลักฐานไม่เพียงพอ ฝ่ายจำเลยนี่ฟ้องศาลกลับได้ใช่ไหม

ท่าน emula เป็นทนายความใช่ไหมครับ

จุดอ่อนของระบบศาลไทย ผมคิดว่าการปล่อยให้ตำรวจทำสำนวนนี่แหละครับ เพราะใครก็รู้ว่าตำรวจไทยค่อนข้างอ่อนกฎหมาย นี่ทำตำรวจทำสำนวนเสร็จเรียบร้อยจึงส่งให้อัยการ ทำไมไม่ร่วมทำกับอัยการหรือรองอัยการ อีกอย่างความซื่อตรงและศักดิ์ศรีเกี่ยวกับกฎหมายของอัยการ จะทำให้เราได้สำนวนที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด ส่วนศาลท่านก็ตัดสินไปตามพยานหลักฐานที่ให้มานั่นแหละครับ ท่านไปหาเองไม่ได้ ศาลท่านไม่ใช่เปาบุ้นจิ้น จะได้มีจั่นเจา หวังเฉา หม่าฮั่นคอยซัพพลอต

ปล.ส่วนตัวผมว่าควรเพิ่มบุคลากรอัยการหรือรองอัยการ ให้ประจำอยู่ทุก สน. ให้มีส่วนในความรับผิดชอบเรื่องสำนวน

การที่ศาลยกฟ้องนั้นมิใช่ว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด แต่ความจริงจำเลยอาจจะกระทำผิดจริง แต่พยานหลักฐานมีไม่พอ

ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗ ในการพิจารณาพิพากษาคดีอาญาทั้งปวง ศาลมีอำนาจใช้ ดุลพินิจวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานใดมีน้ำหนักน่าเชื่อถือเพียงใดหรือไม่ พยานหลักฐานใดขัดต่อเหตุผลไม่น่ารับฟัง และในกรณีที่ศาลจะพิพากษาลงโทษบุคคลใด พยานหลักฐานในคดีนั้นต้องมั่นคงแน่นหนา และมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิดจริงตามฟ้อง หากพยานหลักฐานในสำนวนมีข้อพิรุธน่าระแวงสงสัย ไม่มั่นคงพอที่จะรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย โดยพิพากษายกฟ้อง

ซึ่งพยานหลักฐานมันมาจาก 2 ฝั่งคือ โจทก์ และ จำเลย มายกเพื่อต่อสู้กันในคดี เพื่อทำศาลได้เห็นว่าทำผิดจริงหรือไม่

ซึ่งฝั่งโจทก์คือ ตำรวจทำสำนวน หาพยานหลักฐาน - อัยการทำคำฟ้องและสืบพยาน ถ้าคำฟ้องและพยานมันไม่หนักแน่นพอจะมัดตัวจำเลยสุดท้ายก็ต้องยกฟ้อง

ขอไม่พูดถึงคดีฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้นในวันนี้นะครับ ขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิตด้วยครับ