แสดงความเห็น
ไปหน้าที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9
ไปที่หน้า
GO
ชมรมนักลงทุน SS
สมาชิก 113 คน, จำนวนคอมเมนต์ 128
Description
แหล่งสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการเงินการลงทุน ไม่ว่าจะสายวีไอ หรือสายเทคนิคคอลเปิดกว้างโลกทัศน์ด้านการลงทุน ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ชมรมของเรา [ชมรมนักลงทุน SS]

ระเบียบการชมรม

  • สมาชิกที่ต้องการเข้าร่วมชมรมให้กดปุ่ม join ที่อยู่ด้านบนของกระทู้
  • สมาชิกที่เข้าร่วมชมรมเสีย 10 แผล่บครั้งเดียวถาวร(หัวหน้าไม่เสีย)
  • สมาชิกที่เข้าร่วมแล้วเสีย 10 แผล่บจะได้รับการคืนหากหัวหน้ากดปฏิเสธไม่ให้ร่วมกลุ่ม
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 27 May 2010
ตอบ: 1416 (บอร์ดเก่า 6888)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Dec 09, 2013 08:47
[SIZE="5"]การไม่มีหนี้เลย เป็นลาภอันสุดประเสริฐ อ่านแล้วมีประโยชน์ครับ หนี้ในนิยามของผม คือ การไปเอาเงินในอนาคตมาใช้ก่อนเวลาอันควร ในภาวะวิกฤติเงินสดสำรองจะเป็นอะไรที่จำเป็นที่สุด

เครดิต คุณมาม่ากับปลากระป๋อง
http://pantip.com/topic/31348381

“หนี้สิน” คำคำนี้เหมือนดาบสองคม เพราะ ถ้าใช้ดีใช้ถูกวิธีก็เกิดประโยชน์มากมายมาหาศาล
แต่ถ้าใช้ผิดวิธีจะก่อให้เกิดโทษมหันต์ได้เช่นกัน ... ถ้าเรามองเขาไปลึกๆของปัญหาทางการเงิน
เรามักจะพบกับภาระหนี้สินจำนวนมากที่ซ่อนอยู่ในนั้น ...

ในบทนี้ผมจึงขอนำประสบการณ์ที่เกี่ยวกับหนี้ 3 ลักษณะที่ผมประสบพบเจอเข้ากับตัวเอง
ที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ... “หนี้” ถ้าใครได้ยินชื่อนี้ ควรหนีให้ห่าง



1. “หนี้” นี้แสนง่าย

ข้อแรกที่อยากกระซิบถึงบอกถึงเรื่องหนี้ เป็นหนี้ที่เกิดที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆมากในปัจจุบัน
เพราะในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป จบพบเจอกับหนี้ตัวนี้ได้ง่าย เพราะ ใครๆก็เป็นหนี้ได้ง่ายๆ
เขาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก ... บัตรเครดิต

บัตรเครดิต ... ด้วยเกณฑ์ข้อกำหนดในการเปิดเจ้าบัตรชนิดนี้ มันไม่ยุ่งยากซับซ้อน
ขั้นตอนก็แสนง่ายดายยื่นเอกสารไม่กี่ตัวก็จบ ง่ายมากเสียจนใครๆก็สามารถเป็นเจ้าของได้
แน่นอน ... บัตรวิเศษนี้มีประโยชน์มากมายมหาศาลสำหรับผู้ที่ใช้มันอย่างถูกวิธี
แต่ในรอยยิ้มนั้นไม่ได้มีแต่ความสวยงามมันกลับซ่อนดาบเอาไว้ด้วยดอกเบี้ยกว่าร้อยละ 20% ต่อปี
ยังไม่รวมค่าธรรมเนียมธนาคาร ถ้าผิดนัดชำระจะเจออัตราเพดานฟ้าที่ 28% ต่อปี ...

รุ่นน้องผมคนหนึ่งหลังจากเรียนจบก็ได้เข้าทำงานบริษัทขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง
และด้วยความง่ายดายของการทำบัตรเครดิตเขาเริ่มมีบัตรเพื่อซื้อหาสิ่งที่ต้องการ 1 2 3 4 ใบ
ด้วยความที่เป็น “ลูกหนี้” ชั้นดีเจ้าหนี้ท่านก็ขยายวงเงินให้เรื่อยๆ ... เขาซ้ำร้ายใช้บัตรผิดวิธี
รูดเงินสดจากบัตรเครดิตมาดาวน์รถยนต์ เท่ากับว่า โดนดอกเบี้ยสองต่อ ทั้งบัตรเครดิต ทั้งรถ
ใช้ไปใช้มาตอนนี้ยอดหนี้บัตรเครดิตสูงกว่า 300,000 บาท หนี้ค้างรถอีก 600,000 บาท
ผ่อนรถ 5 ปีเดือนละ 10,000 บาท เพียงแค่ดอกเบี้ยบัตรเครดิตก็ตกเดือนละ 5,000 บาท
รวมแล้วผ่อนยอดผ่อนสองอย่างนั้นเกินกึ่งหนึ่งของเงินเดือน ... ช่วงนั้นอย่าว่าแต่เงินเก็บ
เงินกินยังแทบไม่เหลือ อยากมีบ้านสักหลังแต่กู้บ้านไม่ผ่านเพราะยอดหนี้สูงเกินไป
คิดได้ก็ตั้งสติ ... หยุดก่อหนี้ใหม่ ... ค่อยๆประนอมหนี้เก่าๆ และ ทยอยปลดหนี้ทั้งหมด
หลายปีผ่านมาพอมองย้อนกลับไปเขาบอกผมว่าหลายปีที่ผ่านมา ... มันเป็นช่วงเวลาที่หายไป




2. “หนี้” ที่ไม่ได้ก่อ

หนี้ตัวที่สองที่อยากกระซิบบอก คือ หนี้ที่มีลักษณะพิเศษชนิดหนึ่งเป็นหนี้ที่เกิดจากความไว้ใจ
ความพิเศษของหนี้ตัวนี้นั้นคือ คนรับเคราะห์นั้นไม่ใช่คนก่อหนี้ ... หนี้ที่ว่าคือ การค้ำประกัน
ค้ำประกันเงินกู้ซื้อรถยนต์ ค้ำประกันเงินกู้ซื้อบ้าน ค้ำประกันเงินกู้เพื่อธุรกิจ ค้ำประกัน ... ฯลฯ
เขากล่าวกันว่า ผู้ค้ำประกันเปรียบเสมือนประหนึ่งลูกหนี้กู้ร่วม...คนกู้ชิ่งหนีคนค้ำต้องรับผิดชอบ
ตอนขอให้ค้ำทุกอย่างเหมือนจะไปได้สวย ราบรื่น ... แต่ความแน่นอนล้วนแล้วแต่ไม่แน่นอน
ขอยกตัวอย่างไม่ต้องอื่นไกล ... ครอบครัวผมเอง ... เราก็ใช้ชีวิตปกติสุขของเราเรื่อยมา
จนวันหนึ่งเรากลับมีเป็นหนี้สินท่วมท้นจากหนี้ที่ไม่ได้ก่อ แต่เราโดนจากการค้ำประกันให้คนอื่น
คนก่อหนี้หนีหายสาบสูญ เหลือเพียงผู้ค้ำประกันที่ต้องรับผิดชอบต่อภาระทางการเงินที่เกิดขึ้น
มันเป็นช่วงเวลาที่ขมขื่น กับการต้องมาใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อ แต่ก็คงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง
เพราะเป็นเราเองที่ประมาท ... จากบทเรียนราคาแพงนี้ตอกย้ำเราว่า ... จงอย่าประมาท



3. “หนี้” ชนิดนี้ดี แต่ไม่มีจะดีกว่า

หนี้ตัวสุดท้ายที่อยากกระซิบบอกเรื่องหนี้ ... มันมาจากใจกลั่นออกจากความรู้สึกของผมเอง
หนี้ที่ดีก่อให้เกิดประโยชน์นั้นมีเยอะ แต่ผมคิดว่าถึงอย่างไรก็ตาม ไม่มีหนี้จะเป็นการดีกว่า
โดยเฉพาะการกู้หนี้ยืมสินมา เพื่อลงทุน เพื่อทำธุรกิจ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ดี
จะทำให้กิจการราบรื่น ต้นทุนต่ำ ผลตอบแทนดีอาจจะดีกว่าและ มากกว่าการที่ไม่กู้
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเรากู้มา เราก็จะมี “ภาระความรับผิดชอบ” ที่เพิ่มขึ้นตามมาด้วย
การกู้มาลงทุนหรือกู้มาทำธุรกิจนั้น โดยมากแล้วจำต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ถ้าเจ๊งก็โดนยึด
ใครๆก็คงไม่อยากกิจการของตัวเองเจ๊ง ... แต่มีอะไรการันตรีได้หรือไม่ว่ามันจะไม่เจ๊ง?
ดังนั้น ถ้ากู้มาก็ “ต้องรับความเสี่ยง” ที่หลักทรัพย์ค้ำประกันอาจจะโดนยึด บ้าน ที่ดิน ฯลฯ
ผมเองในหลายครั้งก็จำต้องกู้ แต่ถ้าเลือกได้ไม่กู้จะดีกว่า ...


การกู้เงินนั้น ... บางที่มันอาจไม่คุ้มกับ “ดอกเบี้ยที่มองไม่เห็น”


ดังเช่นเรื่องนี้ ... ย้อนกลับไปเมื่อสองสามปีก่อน ขณะที่ครอบครัวผมพึ่งเริ่มบุกเบิกธุรกิจตัวใหม่
เราระดมเงินสดทุกบาททุกสตางค์และขายสินทรัพย์บางส่วนออกมาเพื่อทำทุนสำหรับกิจการนี้
จากแผนที่วางไว้และจากการทำงบจำลองและดูเหมือนว่ากิจการมันจะขาดเงินสดอยู่ช่วงหนึ่ง
ถ้าเราไม่มีเงินมาอุดรูรั่วนี้กิจการก็คงเดินต่อไปไม่ได้ ...

เราจึงตัดสินใจกู้เงินมาเพื่ออุดมัน ... ถึงแม้ว่าเราคิดว่าจะวางแผนมาอย่างดีและรัดกุม
อย่างไรก็ตาม จนแล้วจนรอด แผนก็ยังหลุด เงินรายได้ที่คาดว่าเข้ามาก็ปรากฏว่าล่าช้า
รายได้ไม่มีแต่หนี้ก็ต้องจ่ายเริ่มกังวล ... ความกังวลที่เกิดจากหนี้สินที่กู้ยืมมา
กลายเป็นความเครียด ... ความเครียดสะสมมากเข้า จนในที่สุดมันก็ระเบิดออก
จนเป็นปัญหาใหญ่โตและลุกลามนำไปสู่การโต้แย้งกันเองระหว่างคนในครอบครัว ...

ถึงแม้ว่าเราจะผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้ ... แต่ดอกเบี้ยที่มองไม่เห็นของการกู้ครั้งนั้น
มันเป็นดอกเบี้ยมีราคาแพงมากเกินไปสำหรับผม ... หลังจากครั้งนั้น ผมได้บอกกับตัวเองว่า
ผมจะไม่เสี่ยงกู้เงินและทำเช่นนั้นอีกแล้ว เพราะ ผมรู้สึกว่ามันไม่คุ้มกับสิ่งที่ผมต้องเสียไป


ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า 3 ข้อควรระวังที่ผมอยากกระซิบบอกเรื่องหนี้นี้
น่าจะพอเป็นประโยชน์ และ ช่วยเสริมเกราะป้องกันสร้างแรงคุ้มกันให้กับทุกท่านได้บ้าง


สุดท้ายนี้ ...


ผมเชื่อว่าเราจะอยู่รอดปลอดภัย ถ้าเราใช้ชีวิตอยู่บนความพอเพียง ใช้ชีวิตโดยไม่ประมาท
มีเท่าที่จำเป็นต้องใช้ ใช้เท่าที่จำเป็นต้องมี ใช้ชีวิตอยู่บนความพอดี ...

ดังพุทธสุภาษิตได้กล่าวเพื่อเตือนสติไว้ว่า ... “การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก”
ตัวผมเองก็ตอบไม่ได้ว่า ... การไม่มีหนี้จะก่อให้เกิดความสุขหรือเปล่า?
แต่ที่แน่ๆ ... การไม่มีหนี้จะทำให้เราเป็นทุกข์น้อยลงแน่นอน
เรามา ละ ลด เลิกเป็นหนี้ กันเถอะครับ

…[^_^]…
[/size]
แก้ไขล่าสุดโดย ssman เมื่อ Mon Dec 09, 2013 08:49, ทั้งหมด 1 ครั้ง
My Locker
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 27 May 2010
ตอบ: 1416 (บอร์ดเก่า 6888)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Dec 11, 2013 10:20
อายุน้อยร้อยล้าน ผมชอบตอนนี้จริงๆ ทึ่งครับ จากเด็กลูกจ้างกรรมกร เงินแทบไม่มีพอซื้อข้าวกิน พลิกชีวิตได้ขนาดนี้ นับถือจริงๆ ครับ สร้างแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจหรือลงทุนได้ดีเลยทีเดียว ขอเพียงเราอย่าดูถูกตัวเอง คิดใหญ่แล้วค่อยๆ ก้าว ค่อยๆ ศึกษาความรู้ที่จำเป็นต้องใช้ในการทำธุรกิจหรือลงทุน คิดแล้วต้องลงมือทำ เพราะไม่อย่างนั้นเราก็ได้แต่คิดเท่านั้นเองแต่ไม่ได้ทำ ความเสี่ยงและอุปสรรคล้มลุกคุกคานมันเป็นเรื่องที่เราเลี่ยงไม่ได้ องค์ความรู้+ประสบการณ์ และใจสำคัญมาก ที่จะเป็นตัวพาเราไปสู่ความสำเร็จได้

My Locker
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 26 Jul 2010
ตอบ: 3084 (บอร์ดเก่า 14337)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Dec 12, 2013 09:38
ประกาศฉบับที่ 1.100008903879374659


เรื่อง : ขอถอนตัวออกจากชมรมนักลงทุน

เนื่องด้วยปัจจัยหลายๆอย่างในพื้นที่ SS แห่งนี้มีระดับความหนาวเย็นมากขึ้น ทำให้ระบบความอบอุ่นเก่าๆของบอร์ดหายไปมาก และพักหลังก็เริ่มหมดไฟจิตสาธารณะ ผมเชื่อว่าในการลงทุน หลายๆท่านคงมุ่งมั่นศึกษาหาความรู้ต่อยอดการลงทุนกันเองอยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นนิสัยที่ดีของนักลงทุนในการหมั่นศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ถึงไม่มีผมทุกคนก็ยังคงหาความรู้ใหม่เสมอแน่นอน ในช่วงนี้ผมฝากประธาน SSMAN นำความรู้มาเติมให้เรื่อยๆต่อไปนะครับ โชคดีสำหรับการลงทุนทุกท่าน

My Locker
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 27 May 2010
ตอบ: 1416 (บอร์ดเก่า 6888)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Dec 16, 2013 11:44



Monday, 16 December 2013
กองทุนรวม สิ่งที่เจ้าของไม่มีสิทธิ์ควบคุม

Value Investor มีแนวคิดในการลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็นหุ้นว่า เวลาเราลงทุนซื้อหุ้นก็เหมือนกับว่าเราเป็น “เจ้าของกิจการ” การเป็นเจ้าของกิจการนั้นหมายความว่าเราย่อมมีสิทธิที่จะได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมเวลาบริษัทหรือธุรกิจมีกำไรและเราเห็นว่าควรจะนำเงินมาแบ่งให้เจ้าของตามที่สมควร การเป็นเจ้าของนั้นหมายความว่าเราสามารถที่จะติดตามข้อมูลข่าวสารที่สำคัญของกิจการ และสุดท้ายที่สำคัญที่สุดก็คือ เราต้องสามารถที่จะแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงสุดของบริษัทเช่นเดียวกับการอนุมัติแผนหรือการดำเนินงานที่สำคัญยิ่งยวดของกิจการได้

เป็นความจริงที่ว่าสำหรับบริษัทที่มีเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ถือหุ้นเกิน 50% ของบริษัท ก็เป็นเรื่องยากที่เราในฐานะผู้ถือหุ้นรายย่อยจะสามารถเข้าไปกำหนดหรือแต่งตั้งผู้บริหารสูงสุดของบริษัทหรือเข้าไปมีสิทธิมีเสียงให้บริษัทจ่ายปันผลให้ถูกใจเราได้ แต่บ่อยครั้งเราก็เข้าไปลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทนั้น เหตุผลก็เพราะเราเชื่อว่า ในฐานะของผู้ถือหุ้นใหญ่ เขาก็คงควบคุมการบริหารงานของบริษัทให้ดีที่สุดเช่นเดียวกับการจ่ายปันผลในอัตราที่เหมาะสม เพราะนั่นเป็นผลประโยชน์ของเขาเองด้วย แต่สำหรับบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นที่กระจายตัวมาก ไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่เลย เป็นบริษัทมหาชนจริง ๆ ในกรณีแบบนี้ ผู้ถือหุ้นรายย่อยก็มีความหมายและอาจจะมีความสามารถที่จะควบคุมการบริหารงานของบริษัทได้ผ่านกลไกทางกฎหมายและกฎเกณฑ์ของการเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประชุมใหญ่ประจำปีของผู้ถือหุ้น

บางคนอาจจะพูดว่านั่นคือ “ความฝัน” จะเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยจะมีคะแนนเสียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรในบริษัทได้ นักลงทุนส่วนใหญ่ที่มีหุ้นไม่กี่ร้อยหุ้นจะเสียเวลาไปควบคุมหรือให้ความเห็นในที่ประชุมผู้ถือหุ้นทำไม? ถ้าเขาไม่พอใจการบริหารงานของบริษัทเขาก็คงขายหุ้นทิ้งมากกว่าที่จะพยายามไปแก้ไขอะไรในบริษัท ดังนั้น การควบคุมกิจการของนักลงทุนนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ นั่นฟังดูมีเหตุผล แต่ความจริงก็คือกระบวนการของตลาดทุนสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ นั่นก็คือ ถ้ามีคนไม่พอใจการบริหารงานของบริษัทมาก ๆ และทยอยขายหุ้นทิ้งไปเรื่อย ๆ ราคาหุ้นก็จะตกลงไปเรื่อย ๆ และนั่นจะทำให้มีนักลงทุนบางคนเห็นโอกาสที่จะเข้าไปซื้อหุ้นจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และเข้าไปควบคุมบริษัทได้ผ่านการลงคะแนนเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้น หลังจากนั้น เขาก็จะสามารถเข้าไปปรับเปลี่ยนผู้บริหารหรือวิธีการดำเนินงานที่จะทำให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีและจ่ายปันผลให้กับตัวเองได้มากคุ้มค่า ราคาหุ้นก็อาจจะปรับตัวขึ้นมาก ซึ่งจะทำให้เขาได้กำไรอย่างงดงาม และนี่ก็คือกระบวนการของตลาดทุนที่สามารถควบคุมบริษัทจดทะเบียนให้ดำเนินการในสิ่งที่เป็นผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นได้

หลักทรัพย์ที่เป็น “หุ้น” ของแต่ละบริษัทนั้น ไม่มีปัญหาในเรื่องของการควบคุม เนื่องจากเรามีกฎเกณฑ์ชัดเจนว่าต้องมีการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีและมีกฎเกณฑ์อื่น ๆ ตามที่กำหนดโดยหน่วยงานรัฐที่บริษัทจะต้องปฏิบัติ แต่ในกรณีของกองทุนรวมต่าง ๆ ที่นำเงินของกองทุนไปลงทุนในหุ้นหรือทรัพย์สินหรือกิจการต่าง ๆ ที่มีธรรมชาติเป็น “หุ้น” นั้น การควบคุมกลับทำไม่ได้หรือทำได้น้อยมาก เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่า “ผู้ถือหน่วยลงทุน” นั้น ไม่ใช่ “ผู้ถือหุ้น” และไม่มีการประชุมผู้ถือหน่วยลงทุนประจำปีที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเข้ามามีสิทธิมีเสียงจัดการ “การบริหารหน่วยลงทุน” ให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนมากที่สุด นอกจากนั้น ผู้ถือหน่วยลงทุนนั้น โดยปกติจะเป็นนักลงทุนรายย่อยที่เข้ามาลงทุนด้วยเหตุผลเดียวนั่นคือ ต้องการได้ผลตอบแทนเป็นรายปีในอัตราที่ตนเองคาดว่าจะได้จากการลงทุนที่บริหารโดยคนที่เสนอตัวตั้งแต่แรก ถ้าผู้บริหารทำไม่ดี สิ่งที่ผู้ถือหน่วยจะทำได้ก็คือ ขายหน่วยลงทุนนั้นทิ้ง อาจจะโดยการขายคืนกับกองทุนหรือขายในท้องตลาดแล้วแต่กรณี ผู้ถือหน่วยไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปเทคโอเวอร์กองทุนแล้วปลดผู้บริหารกองทุนออก

ในกรณีของกองทุนรวมหุ้นนั้น ผมคิดว่าความจำเป็นที่จะต้องควบคุมผู้บริหารกองทุนนั้นมีไม่มากนัก การขายหน่วยลงทุนทิ้งเมื่อเราดูว่าเขาบริหารไม่ดีเป็นทางออกที่เหมาะสมและนั่นจะทำให้บริษัทต้องปรับปรุงการบริหารงานให้ดีขึ้นเพื่อดึงดูดลูกค้ามาซื้อหน่วยลงทุนใหม่ อย่างไรก็ตาม ในกรณีของกองทุนรวมอื่นเช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หรือกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานนั้น ผมคิดว่าการที่เจ้าของหน่วยลงทุนไม่มีสิทธิหรือมีน้อยมากในการควบคุมการบริหารกองทุนนั้น เป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่ทำให้นักลงทุนเสียประโยชน์ในกรณีที่ผู้บริหารกองทุนทำงานไม่ดีและไม่เป็นผลประโยชน์ต่อผู้ถือหน่วยลงทุนที่ถือว่าเป็นเจ้าของที่แท้จริงของทรัพย์สินที่เข้าไปลงทุน เหตุผลก็เพราะ ในหลาย ๆ กรณี เงินในกองทุนทั้งหมดนั้นถูกเอาไปลงทุนในทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวเช่น เป็นตึก ๆ เดียว เป็นสนามบินเดียว เป็นระบบรถไฟฟ้า ต่าง ๆ เป็นต้น นี่เท่ากับว่ากองทุนก็คือเจ้าของทรัพย์สินที่มีลักษณะเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนขึ้นอยู่กับการดำเนินงานของตัวทรัพย์สินที่ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ รวมถึงฝีมือหรือความสามารถของผู้บริหารทรัพย์สินนั้น ดังนั้น เราควรจะต้องมีเครื่องมือที่จะทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถควบคุมกิจการได้ ไม่ใช่บอกแค่ว่าถ้าไม่พอใจก็ให้ขายหน่วยลงทุนทิ้ง

ตัวอย่างที่ผมอยากจะยกมาให้เห็นถึงจุดอ่อนในเรื่องของการควบคุมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ก็คือ ถ้าสมมุติว่ามีอาคารสำนักงานให้เช่าแห่งหนึ่งอยู่ใน “ทำเลทอง” และอาคารนี้มีเจ้าของเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่มีผู้ถือหน่วยจำนวนมาก คนที่ซื้อหน่วยลงทุนนั้นถูกทำให้เชื่อว่าตึกนี้จะมีผู้เช่าเต็มและทำรายได้ซึ่งจะจ่ายเป็นปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยคิดเป็น 8% ต่อปี อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดตึกแล้วก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถหาผู้เช่าได้มากเท่าที่ควรเนื่องจากปัญหาหลายอย่าง ผลตอบแทนของผู้ถือหน่วยแทบจะไม่มีโดยที่ผู้บริหารดูเหมือนจะไม่ได้แก้ไขอะไรที่เหมาะสม ราคาของหน่วยลงทุนตกต่ำลงไปกว่าครึ่ง คิดไปแล้ว ถ้าเราสามารถซื้อหน่วยได้ทั้งหมดเราจะใช้เงินอาจจะแค่ 1 พันล้านบาท แต่ตัวอาคารสิ่งก่อสร้างที่มีอยู่นั้น สามารถขายในท้องตลาดได้ 2 พันล้านบาท ในฐานะที่เป็น VI ผมคิดว่านี่คือโอกาสที่ผมจะทำกำไรได้ถ้าผมสามารถเทคโอเวอร์กองทุนและเปลี่ยนผู้บริหารที่จะสามารถหาผู้เช่าและสร้างรายได้มาจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยคุ้มค่า หรือถ้าทำไม่ได้ก็สามารถขายตึกและคืนเงินให้กับเจ้าของหน่วยลงทุนได้ในอัตราที่สูงกว่าราคาหน่วยในตลาดหุ้นถึง 2 เท่า แต่ประเด็นก็คือ ถึงผมจะซื้อหน่วยลงทุนได้แต่ผมก็คงไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงผู้บริหารอาคารได้ มันเป็นกรณีที่ “เจ้าของไม่มีสิทธิ”

ผมคิดว่าน่าจะมีกรณีที่การบริหารมีปัญหาแต่เจ้าของแก้ไม่ได้เพราะไม่มีสิทธิในกรณีของกองทุนรวมต่าง ๆ ยกเว้นกองทุนรวมหุ้นอีก และมันจะเกิดขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากเหตุผลเรื่องฝีมือหรือความสามารถในการบริหารแล้ว ยังมีประเด็นของเรื่องความขัดแย้งของผลประโยชน์ระหว่างผู้บริหารกับตัวทรัพย์สิน นั่นคือ ผู้บริหารนั้นมีธุรกิจและกิจกรรมเกี่ยวข้องกับตัวทรัพย์สินมากมายและลึกซึ้งซึ่งจะทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเสียประโยชน์ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่มีช่องทางที่จะเข้าไปควบคุมเกี่ยวข้อง ประเด็นเหล่านี้บางทีจะค่อย ๆ เกิดมากขึ้นในอนาคตและนี่ก็คือความเสี่ยงที่ทำให้ผมเองไม่อยากรับและทำให้ผมเองหลีกเลี่ยงการลงทุนในกองทุนเหล่านี้ ผมเองคิดว่าถ้าทรัพย์สินดีและผมอยากจะลงทุน ผมจะลงทุนในบริษัทที่ขายทรัพย์สินให้กับกองทุนดีกว่า เพราะนอกจากจะได้ราคาดีแล้ว อนาคตเขาก็อาจจะยังบริหารหรือควบคุมทรัพย์สินเหล่านั้นที่เขาอาจจะต้องใช้อยู่เป็นหลัก เขาน่าจะได้เปรียบในการทำข้อตกลง คนที่เสียเปรียบน่าจะเป็นผู้ถือหน่วยลงทุน
My Locker
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 27 May 2010
ตอบ: 1416 (บอร์ดเก่า 6888)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Dec 16, 2013 11:49
petemaker พิมพ์ว่า:
ประกาศฉบับที่ 1.100008903879374659


เรื่อง : ขอถอนตัวออกจากชมรมนักลงทุน

เนื่องด้วยปัจจัยหลายๆอย่างในพื้นที่ SS แห่งนี้มีระดับความหนาวเย็นมากขึ้น ทำให้ระบบความอบอุ่นเก่าๆของบอร์ดหายไปมาก และพักหลังก็เริ่มหมดไฟจิตสาธารณะ ผมเชื่อว่าในการลงทุน หลายๆท่านคงมุ่งมั่นศึกษาหาความรู้ต่อยอดการลงทุนกันเองอยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นนิสัยที่ดีของนักลงทุนในการหมั่นศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ถึงไม่มีผมทุกคนก็ยังคงหาความรู้ใหม่เสมอแน่นอน ในช่วงนี้ผมฝากประธาน SSMAN นำความรู้มาเติมให้เรื่อยๆต่อไปนะครับ โชคดีสำหรับการลงทุนทุกท่าน

 


อ่าว 555 ไม่ต้องถอนตัวก็ได้นิครับ เสี่ยพีท
My Locker
ออฟไลน์
แขวนสตั๊ด
Status:
เข้าร่วม: 18 Dec 2007
ตอบ: 52422 (บอร์ดเก่า 25323)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Dec 27, 2013 15:23
ถึงจะเงียบเหงา แต่ในนี้ความรู้เพียบเลย ค่อยๆอ่าน ค่อยๆเก็บไป
There is no good in anything until it is finished and Do not regret what you have done.
My Locker
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
เข้าร่วม: 09 Sep 2013
ตอบ: 127
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jan 10, 2014 20:38
เงียบจังเลยครับ แต่ไม่เป็นไร มีอะไรก็ถาม ทิ้งไวละกันครับ รู้ก็จะช่วยตอบครับ
แก้ไขล่าสุดโดย nueng44506 เมื่อ Fri Jan 10, 2014 23:27, ทั้งหมด 1 ครั้ง
My Locker
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
เข้าร่วม: 08 May 2006
ตอบ: 740 (บอร์ดเก่า 532)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Feb 03, 2014 10:15
ssman พิมพ์ว่า:

ผมเองคิดว่าถ้าทรัพย์สินดีและผมอยากจะลงทุน ผมจะลงทุนในบริษัทที่ขายทรัพย์สินให้กับกองทุนดีกว่า เพราะนอกจากจะได้ราคาดีแล้ว อนาคตเขาก็อาจจะยังบริหารหรือควบคุมทรัพย์สินเหล่านั้นที่เขาอาจจะต้องใช้อยู่เป็นหลัก เขาน่าจะได้เปรียบในการทำข้อตกลง คนที่เสียเปรียบน่าจะเป็นผู้ถือหน่วยลงทุน
 



ผมอยากรู้อ่าครับ พอดีเพิ่งเรื่มกองทุนรวมศึกษาครับ ตรงคำว่าลงทุนในบริษัทที่ขายทรัพย์สินให้กับกองทุนดีกว่า เพราะนอกจากจะได้ราคาดีแล้ว อนาคตเขาก็อาจจะยังบริหารหรือควบคุมทรัพย์สินเหล่านั้นที่เขาอาจจะต้องใช้อยู่เป็นหลัก


คือบริษัทประเภทไหนหรอครับ
ขอบคุณค้าบบบบบบบบ
My Locker
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 27 May 2010
ตอบ: 1416 (บอร์ดเก่า 6888)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Feb 10, 2014 09:15
6 หนังน่าดู เกี่ยวกับวิกฤติการเงิน Financial Crisis (วิธีเรียนลัด คือการศึกษาจาก Case Study จากหนัง)

http://pantip.com/topic/31564829

ทั้ง 6 เรื่อง เป็นทั้งหนังและเชิงหนังสารคดี จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวิกฤติการเงิน Financial Crisis จุดวิกฤติเหตุการณ์ทางการเงินในอดีตที่สำคัญมาทำเป็นหน้ง หรือสร้างมาจาก Base On True Story นั่นเอง สิ่งที่ได้คือ เป็นวิธีการเรียนลัด Case Study อีกวิธีหนึ่งที่ดี เรียนรู้ได้เร็วกว่าที่เราจะไปค้นคว้าหาอ่านเอง เพราะหนังประเภทนี้จะมีแหล่งข้อมูลอ้างอิง สรุปกระชับได้ใจความ และได้แง่คิด มีความน่าสนใจ ที่สำคัญให้ง่ายต่อการไปศึกษาต่อยอดได้อีก
มาดูกันว่ามีเรื่องอะไรบ้าง

1. Margin Call (2011)

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่โด่งดังในบรรดาวงการนักลงทุน ไม่มีนักลงทุนคนไหนที่จะไม่รู้จัก เป็นช่วงวิกฤติการเงินช่วงปี 2008 ที่ถือว่ารุนแรงเลยทีเดียว บริษัทวานิชธนกิจ ที่เก่าแก่ล้มเจ๊งไม่เป็นท่า แล้วทุกอย่างก็ล้มครืนลงตามกันมาแบบโดมิโน่ เรื่องนี้ออกแนวเครียดไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพราะมีการเรียกประชุมระดับ CEO และตำแหน่งใหญ่ๆ กันทั้งคืน การเดินเรื่องเครียดได้ใจครับเรื่องนี้






[center]@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@[/center]

2. Too Big To Fail (2011)

เรื่องนี้ผมก็ยังไม่ได้ดูแฮะ เดี๋ยวต้องหาดูซะหน่อย แต่เรื่องนี้มีนักแสดงหน้าคล้าย เบนเนเก้ ด้วย 555 เป็นเรื่องที่สร้างมาจากหนังสือของ Andrew Ross Sorkin
ทำไมต้อง “อุ้ม” สถาบันการเงิน
ภาพยนตร์ของ HBO เรื่อง Too Big to Fail นำเหตุการณ์วิกฤติในภาคสถาบันการเงินของสหรัฐอเมริกา มาเล่าแบบเล่นให้ดู คงจะทำให้คนนอกวงการเงินเข้าใจเรื่องปี 2008 ที่นำไปสู่การปิดเลห์แมน บราเดอร์ส และการเพิ่มทุนให้ธนาคารโดยใช้เงินของรัฐ ได้ชัดขึ้น ในภาพยนตร์มีการถกเถียงกันระหว่างการซื้อหนี้เน่ากับการเพิ่มทุนให้ธนาคาร และการถกเถียงกันว่า การเพิ่มทุนมีข้อดีข้อด้อยอย่างไร จะแก้ปัญหาอย่างไรเพื่อลดข้อด้อย และคงข้อดี และทัศนคติของผู้มีจุดยืนทางการเมืองที่ต่างกันต่อการเพิ่มทุนโดยรัฐเข้าไปในธนาคารเอกชน (คือตอนที่ตัวละครบอกว่า ฝ่ายหนึ่งจะเรียกว่า bailout อีกฝ่ายหนึ่งจะเรียกว่า nationalized) คือฝ่ายหนึ่งจะเห็นว่าเข้าไป “อุ้ม” อีกฝ่ายจะหาว่าเข้าไป “ยึด”








[center]@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@[/center]

3. Inside Job (2010)

เป็นหนังสารคดียอดเยี่ยม เจาะลึกขุดคุ้ยต้นตอสาเหตุที่มาที่ไปความเน่าเฟะ ที่มาของวิกฤติ 2008 ดูเรื่องนี้แล้วได้ความรู้เชิงลึกมาก และรวมถึงการไปสัมภาษณ์จริงกับผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ซึ่งบางคนที่เป็นต้นตอของสาเหตุ ก็เลี่ยงไม่ยอมให้สัมภาษณ์ และตอนสัมภาษณ์บางคน ถามบางประเด็นจี้จุดก็ไม่ยอมรับ นิสัยแบบนักการเมืองที่เห็นแก่ตัว






[center]@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@[/center]

4. Frontline: The Warning (2009)

The Warning เป็นเรื่องราวของทนายหญิงชื่อ Brooksley E. Born เกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าโภคภัณฑ์ Commodity Futures Trading Commission ซึ่งเล็งเห็นภัยพิบัติทางเศรษฐกิจและพยายามที่จะผลักดันให้มีการกำกับดูแลมากขึ้น แต่พบการต่อต้านจากยักษ์ใหญ่ทางการเงินที่มีอำนาจและมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงที่ยากที่จะโน้มน้าว (ล๊อบบี้) ให้ตลาดเป็นอิสระจากการแทรกแซงของรัฐบาล (แปลลวกๆ ประมาณนั้น)




Brooksley E. Born




[center]@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@[/center]

5. The Flaw (2010)

เรื่องคร่าวๆ เป็นเรื่องของประธานธนาคารกลางบอกกับทางคนในสภาคองเกรส ว่าเขา พบข้อบกพร่อง ในโมเดล ชี้ให้เห็นสัญญาณเตือนที่ผิดพลาด เรื่องนี้ก็ยังไม่ได้ดูเล่าโปรยเรื่องไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ แต่ถ้าดูเรื่อง Inside Job จะครอบคลุมเรื่องนี้ด้วย






6. Enron: The Smartest Guys in the Room (2005)

เกย์ที่ฉลาดที่สุดในห้อง เอ้ย ไม่ใช่นะ
มหากาพย์ Enron เรื่องนี้แสดงภาพที่ดีของยุค “ข้าเก่ง ข้าแน่ ข้ามาแล้ว” ได้อย่างดีที่สุดเล่มหนึ่งเลยเชียว แสดงภาพการเติบโตของบริษัทๆหนึ่งจากบริษัทเล็กๆ กระโดดมาเป็นยักษ์ใหญ่ของประเทศ (และพยายามจะเป็นของโลกซะด้วย) แต่ท้ายที่สุด ความเห็นแก่ตัว ความโลภ และ corruption ก็ทำให้เรื่องนี้มีจุดหักเหที่สนุกยิ่งกว่านั่งรถไฟเหาะ และพาให้หลายๆองค์กรที่เกี่ยวข้องต้องประสบปัญหา (เช่น Arther Andersen) จนบางรายถึงขั้นล่มสลายตามไปด้วยอย่างน่าเสียดาย
เครดิต http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=vink&month=26-11-2006&group=3&gblog=5




ข้อมูลจาก
http://billmoyers.com/content/six-films-on-the-financial-crisis/

My Locker
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 23 May 2011
ตอบ: 1035 (บอร์ดเก่า 1420)
ที่อยู่: anfield
โพสเมื่อ: Wed Feb 26, 2014 21:06



เล่นไม่เป็นง่ะสอนหน่อย
My Locker
ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ข.
Status:
เข้าร่วม: 05 Dec 2009
ตอบ: 1905 (บอร์ดเก่า 975)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Mar 07, 2014 16:40
สมาชิกใหม่ครับ
อยากทราบว่าบอร์ดนี้สามารถพูดชื่อหุ้น ราคาหุ้น ได้หรือไม่ครับ


ROBBEN vs. Spain!!
My Locker
ออฟไลน์
ดาวเตะลา ลีกา
Status:
เข้าร่วม: 29 Mar 2009
ตอบ: 22156 (บอร์ดเก่า 22410)
ที่อยู่: Hueco Mundo Castle
โพสเมื่อ: Sat Mar 15, 2014 03:46
เกิดอะไรกับสมาชิกเก่าชมรมเหรอ แจ้งลบไปซะแล้ว


http://www.soccersuck.com/users/jail/#78528
My Locker
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 177 (บอร์ดเก่า 11)
ที่อยู่: morning
โพสเมื่อ: Sun Apr 27, 2014 22:57
อยากทราบว่าพอจะมีหนังสือแนะนำไหมครับ

อยากมีความรู้เกี่ยวกับด้านอสังหาริมทรัพย์อะครับ

My Locker
ออฟไลน์
ดาวเตะกัลโช่
Status:
เข้าร่วม: 21 May 2011
ตอบ: 1654 (บอร์ดเก่า 437)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jun 20, 2014 11:17
สถานะการณ์ตอนนี้เป็นไงมั่งครับ ผมชอบรัฐประหารจังลงดอยมาหลายตัว พอมีตัวไหนแนะนำบ้างไหมครับ ตัวไหนน่าเข้า รบกวนหน่อยครับ เงียบๆเหลือเกินช่วงนี้
My Locker
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
เข้าร่วม: 22 Aug 2009
ตอบ: 60 (บอร์ดเก่า 112)
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Aug 11, 2014 16:30
เข้ามาเติมเชื้อให้บอร์ด ตอนนี้ติดดอย 2 ตัว LIVE AQ-W2
ถือหุ้นปันผล 4 ตัว SCC BBL CPALL KKP(อาการหนักสุด)
My Locker
ไปหน้าที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9
ไปที่หน้า
GO
ดูทีวีย้อนหลัง
แสดงความเห็น