What really happened at half-time in Istanbul
ปล1. ผมแปลจากบางส่วนของหนังสือ 'Carra: My Autobiography'
ปล2. ถ้าใครเห็นว่าเหมาะสม รบกวนช่วยกดโหวตกระทู้ด้วยนะครับ อยากให้ได้อ่านกันเยอะๆ

ช่วงพักครึ่งของนัดชิงชนะเลิศ UEFA Champions league ที่อิสตันบูล คาร่าพบว่าตัวเขาเองกำลังเหม่อมองไปยังความสิ้นหวัง
ใน 45 นาทีแรก เอซีมิลานแสดงถึงฟอร์มการเล่นที่ราวกับมีเวทมนต์ ทำให้ลิเวอร์พูลต้องตามหลังถึงสามประตูต่อศูนย์
ความหวังในการคว้าแชมป์สมัยที่ 5 แทบจะดับสิ้น ขณะที่คาร่าและเพื่อนร่วมทีมของเขาเดินเข้าห้องแต่งตัวเพื่อรับฟังทีมทอล์คของราฟา
หลายคนถามผมว่า ก่อนหมดครึ่งเวลาแรก ในตอนนั้นผมคิดอะไรอยู่
ขณะที่ผมเดินกลับเ้้ข้าห้องแต่งตัว สิ่งที่ผมคิดมันเป็นการผสมกันระหว่าง ความสิ้นหวัง และ ความขายขี้หน้า
ผมไม่สามารถแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองแฟนบอล ป้ายแบนเนอร์และ เสื้อสีแดง ในสนามอตาเติร์ก
ผมมองลงไปยังพื้น และสิ่งที่ผมเห็นมีเพียงความผิดหวัง ความฝันของผมมันกลายเป็นฝุ่นผงไปหมดแล้ว
ผมแทบไม่ได้คิดถึงเกมเลย ผมคิดถึงแ่ต่ครอบครัวและเพื่อนของผม ผมเสียใจ
ความคิดโง่ๆลอยผ่านเข้ามาในหัวของผม อย่างเช่น คนที่บ้านจะว่ายังไงล่ะกับเหตุการณ์แบบนี้
กลับไปเราคงโดนหัวเราะเยาะแน่ๆ ผู้คนทั้งเมือง ทั้งประเทศ หรืออาจจะทั้งโลกคงเ้ห็นเราเป็นตัวตลก
นอกจากความเสียใจแล้ว มันยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความละอายแก่ใจ เดอะค็อปมากันเต็มสนามแต่เรากลับไม่อาจทำให้พวกมีความสุขเขาได้
ผมเกือบจะคิดว่าเราไม่น่ามาถึงรอบนี้เลย เราผ่านทีมอย่างยูเวนตุสและเชลซี แต่เราอาจจะกำลังจะทำให้มิลานสร้างประวัติศาสตร์ด้วยชัยชนะที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์นัดชิงบอลยุโรป
พวกเขา(มิลาน)เคยชนะบาร์เซโลน่าและสเตอัว บูคาเรส 4-0 ในนัดชิงปี 1994และ1989 ผมกลัวว่าเราจะสร้างประวัติศาสตร์ อาจจะห้าหรือหกลูก ยันสกอร์ไว้ที่ 3-0 เพื่อรักษาศักดิ์ศรีไว้ แค่นั้นแหละที่ผมคิด
ไม่มีใครพูดอะไรเลยขณะที่เราไปถึงห้องเตะตัว เราอาจจะสร้างสิบห้านาทีแห่งความบ้าคลั่งได้ แต่ในตอนนั้น มันไม่มีความคิดแบบนั้นหรอก
สถาณการณ์แบบนั้นคือบททดสอบที่โหดที่สุด ในการทดสอบว่าคุณจะไม่ยอมแพ้
แต่มันง่ายกว่าที่ยอมรับว่าความพยายามของเรามันจบแล้ว ความพยายามตลอดเก้าเดือนกำลังถึงจุดจบ
มันไม่ใช่ตัวตนของผมเลยที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆแบบนี้ เราแค่ต้องเงยหน้าขึ้นและออกไปทำหน้าที่ของตัวเองซะ
โชคดีเหลือเกินที่มีบุคคลคนหนึ่งในห้องนั้น ที่พร้อมจะสร้างสปิริตของเราที่เสียไปกลับขึ้นมาใหม่
ราฟา เบนิเตซ ได้ใส่ความเชื่อมั่นของแอนฟิลด์ลงไปในห้องแต่งตัวห้องนั้น
ผมไม่รู้จะชื่นชมเขายังไงแล้ว กับความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์แบบนั้นของเขา ไม่ว่ามันจะเลวร้ายขนาดไหน แนวทางของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย และนี่แหละคือช่วงเวลาที่เราต้องการความสุขุมเยือกเย็นของเขามากที่สุด
ลึกๆแล้วผมเชื่อว่าเขาก็คงรู้สึกเช่นเดียวกับเรา เขาคงอดคิดถึงครอบครัวของเขา หรือ สิ่งที่ชาวสเปนจะพูดถึงความล้มเหลวครั้งนี้ไม่ได้หรอก
แต่ดูเขาสิ พยายามกระตุ้นให้เราทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยภาษาอังกฤษตะกุกตะกัก
'ขอให้นายโชคดีนะ' ผมคิดในใจ
ผมมองเห็นอารมณ์บางอย่าง ขณะที่เขาพยายามอธิบายแท็คติคที่เปลี่ยนใหม่เป็นชุดด้วยการคิดและพูดอย่างรวดเร็ว มันแสดงให้เห็นว่าเขาน่ะนิ่งขนาดไหน
อย่างแรก เขาบอกให้ตราโอเล่ไปอาบน้ำ ซึ่งเป็นการพูดอย่างสุภาพแทนการบอกว่าถูกเปลี่ยนตัวออก
ฌิบริล ซิสเซ่ จะถูกส่งลงมาเป็นปีกขวา
ขณะที่ ฌิมี่ ตราโอเล่ กำลังถอดเสื้อ สตีฟ ฟินแน่นและเดฟ แกลลีย์ กำลังเถียงกันสนั่น ฟินแน่นบาดเจ็บที่ขาหนีบ และเดฟบอกราฟาว่าเขาจำเป็นต้องเปลี่ยนตัว
แต่ราฟาเลือกที่จะขอให้ฟินแน่นเล่นต่อ
"เราเหลือโควต้าเปลี่ยนตัวแค่สองคน เพราะเราเสียแฮรี่ คิวล์ไปแล้ว ผมยังไม่อยากเปลี่ยนถึงสองคนตั้งแต่ตอนนี้"
เขาจึงบอกให้ตราโอเล่ใส่เสื้อ
จากนั้น ราวกับว่ามีบางอย่างแวบเข้ามาในหัวของเขา เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
"ฮามันน์จะลงไปแทนฟินแน่น เราจะเล่น 3-5-2" เขาพูดมันออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ซึ่งอย่างน้อยๆ ก็สร้างความเชื่อมั่นให้ผมได้ล่ะ
"ปีร์โล่ทำเกมอยู่กลางสนาม หลุยส์กับสตีวี่ นายคอยคุมเขาไว้ เราจะอัดกลางลงไปให้มากกว่าพวกเขา อย่าให้ปีร์โล่ได้จ่าย"
ผมเชื่อว่าการที่เขาตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ แสดงว่าเขาก็เตรียมการมาไว้ก่อนแล้วล่ะ เราเคยใช้แผนนี้มาแล้วที่ตูริน ถึงแม้วันนั้นมันจะเน้นตั้งรับก็เถอะ
ผมคิด "โอเค ถึงแม้อีกสี่สิบห้านาทีอาจจะสายเกินไป อย่างน้อยเราก็ได้พยายาม"
สองคนที่กำลังจะลงไปคือ ฮามันน์และซิสเซ่ แต่ติดอยู่อย่างหนึ่ง
"ราฟา ผมว่าตอนนี้ในสนามเรามี 12 คนนะ"
ซิสเซ่จึงต้องรอไปก่อน
เมื่อเราออกมาจากห้องแต่งตัวที่เต็มไปด้วยความหดหู่ สิ่งหนึ่งที่คุณไม่อยากเห็นเลยคือ สีหน้าแห่งความมุ่งมั่นของมัลดินี่
เมื่อเราลงสนาม ผมค่อนข้างมั่นใจเลยว่ามิลานคงจะชนะในท้ายที่สุด แต่สเกาซ์เซอร์กว่าสี่หมื่นคนที่สนามเหมือนจะไม่คิดเช่นนั้น
แม้จะอยู่ไกล ผมได้ยินเพลง YOU'LL NEVER WALK ALONE และเืมื่อเดินพ้นอุโมงออกมา มันดังขึ้นเรื่อยๆ เว้นแต่มันไม่ใช่เวอร์ชันปกติ

มีหลายครั้งนะ ที่เดอะค็อปเปลี่ยนจากเวอร์ชั่นคลาสสิคของ Gerry Marsden ทุกๆแมตช์ในแอนฟิลด์ก่อนเริ่มเกม จะเป็นการร้องเพื่อกระตุ้นพวกเราและข่มขวัญคู่แข่ง
หากเรากำลังจะชนะในบิ๊กแมตช์ มันจะเป็นการร้องแบบเพื่อเฉลิมฉลอง
และมีอีกหลายๆครั้ง ที่ทุกๆคำที่เปล่งออกมามีความหมายที่ยิ่งใหญ่ และในครั้งนี้ ช่วงพักครึ่งที่อิสตันบูล แฟนๆร้องมันออกมาด้วยความเห็นอกเห็นใจ มากกว่าที่จะเป็นความเชื่อมั่น
มันช้า และเศร้า ราวกับพวกเขากำลังสวดขอพรให้แก่พวกเรา
สำหรับผม มันเหมือนกับพวกเขาพยายามจะบอกเราว่า "ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พวกเราภูมิใจในตัวนาย พวกเราจะอยู่ข้างนาย เพราะฉะนั้นอย่าได้ท้อแท้"
ในขณะเดียวกันมันก็เหมือนเป็นการเตือน ขณะที่ผมเดินไปประจำตำแหน่ง ผมรู้สึกเหมือนพวกเขากำลังบอกเราว่า "อย่าทำให้เราผิดหวังไปมากกว่านี้อีก"
อเล็กซ์ มิลเลอร์ โค้ชของเราบอกกับเราว่า "ลงไปยิงประตูให้ได้ เพื่อแฟนๆ"
นั่นแหละสิ่งที่เราคิด ยิงได้ให้ซักลูก เพื่อรักษาเกียรติไว้
Pump_kin13 พิมพ์ว่า:
ต้องดูให้จบนะครับ อารมณ์สุดๆๆแบบบอกไม่ถูก