ช่วงนี้เป็นช่วงสิ้นปีแล้วตามธรรมเนียมก็ใกล้จะถึงช่วงประกาศผลรางวัล บัลลง ดอร์ของทุกๆปีกันแล้วจึงอยากนำเสนอประวัติศาสตร์ของรางวัลนี้และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของรางวัลนี้กันครับผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ ถ้าเกิดถูกใจรบกวนฝากเลียเเละโหวตด้วยครับ
บัลลง ดอร์(Ballon d'Or)
รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของทวีปยุโรปหรือที่รู้จักกันในทั่วไปว่า รางวัล “บัลลง ดอร์” (Ballon d'Or) ซึ่งคำว่า”บัลลง ดอร์” มาจากภาษาฝรั่งเศสแปลว่า “ลูกฟุตบอลทองคำ” ซึ่งจัดโดยนิตยสาร “ฟร๊องซ์ ฟุตบอล”(France Football) นิตยสารฟุตบอลที่เป็นที่ยอมรับในวงกว้างของฝรั่งเศสและในยุโรป ซึ่งจะทำการมอบให้กับนักฟุตบอลที่มีผลงานโดดเด่นในรอบปีนั้นๆโดยแต่เดิมรางวัลนี้จะมอบให้กับผู้เล่นที่เล่นในยุโรปซึ่งเป็นรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของทวีปยุโรปแต่ในภายหลังในปี ค.ศ.2010 ” ฟีฟ่า”(FIFA)ได้นำมารวมกับรางวัล “ผู้เล่นยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี”( FIFA World Player of the Year) กลายมาเป็นรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของโลกหรือ “ฟีฟ่า บัลลง ดอร์”(FIFA Ballon d’Or)ในปัจจุบัน
จุดกำเนิด
จุดเริ่มต้นของ “บัลลง ดอร์” นั้นต้องย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1956 โดย “กาเบรียล ฮาโนลท์ (Gabriel Hanolt) บรรณาธิการของนิตยาสาร “ฟร๊องซ์ ฟุตบอล”(France Football) ในยุคสมัยนั้นมีแนวคิดริเริ่มที่จะให้ผู้สื่อข่าวเพื่อนร่วมอาชีพของเขาที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการฟุตบอลของยุโรปมาช่วยกันโหวตและแสดงความคิดเห็นกันเพื่อสรรหานักฟุตบอลสัญชาติยุโรปและเล่นในทวีปยุโรปที่มีผลงานโดดเด่นเพื่อเป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปโดยรางวัลอันทรงเกียรติในปีแรกนั้นตกเป็นของ
“เซอร์ แสตนลี่ย์ แมตธิวส์”ตำนานชาวอังกฤษที่ขณะนั้นเล่นให้กับสโมสร”แบล็คพูล”ของอังกฤษซึ่งผู้มีสิทธิ์โหวตในขณะนั้นจะเป็นนักข่าวในสังกัดเท่านั้นและจากกฎกติกาทำให้ผู้เล่นระดับตำนานของโลกที่อยู่นอกยุโรปและไม่ได้มีสัญชาติยุโรปอย่าง
“เปเล่” “มาราโดน่า” และ “การินชา”ไม่เคยได้สัมผัสรางวัลอันทรงเกียรตินี้
เปลี่ยนแปลงกฎ
-ในปี ค.ศ.1995 ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการโหวตคือไม่จำเป็นต้องมีสัญชาติอยู่ในยุโรปแต่ยังคงต้องเล่นอยู่ในสโมสรของยุโรปภายใต้ “ยูฟ่า”(UEFA)ทำให้ผู้เล่นที่ไม่ได้มีสัญชาติในยุโรปที่ได้รับรางวัลคนแรกคือ “จอร์จ เวอาห์”ศูนย์หน้าตำนานตลอดกาลของทีมชาติ “ไลบีเรีย”และสังกัดสโมสร เอซี มิลาน ในปีเดียวกันนี้
-ในปี ค.ศ.2007 ได้มีการเพิ่มผู้มีสิทธิ์โหวตแต่เดิมจากนักข่าวในยุโรปจำนวน 52คนเป็นนักข่าวจากทั่วโลกจำนวน96คนแทน
ฟีฟ่า บัลลง ดอร์ (FIFA Ballon d’Or)
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของรางวัลนี้คือในปี ค.ศ.2010 “ฟีฟ่า” (FIFA)ภายใต้การนำของ “เซปป์ แบล็ตเตอร์”ประธานคนปัจจุบันมีนโยบายที่จะรวมรางวัล “บัลลง ดอร์” (Ballon d’Or)เข้ากับรางวัล“ผู้เล่นยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี”( FIFA World Player of the Year) เพราะมีความคิดเห็นว่าเป็นการมอบรางวัลที่มีความซ้ำซ้อนกันโดยได้เซ็นสัญญากับทางนิตยาสาร “ฟร๊องซ์ ฟุตบอล”(France Football) ในปี ค.ศ.2010 และได้เปลี่ยนการโหวตใหม่โดยการรวมระหว่างนักข่าวจากทั่วโลก (บัลลง ดอร์) กับผู้ฝึกสอนและกัปตันทีมชาติ (ผู้เล่นเล่นยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี) รางวัล”ฟีฟ่า บัลลง ดอร์” (FIFA Ballon d’Or)จึงถือกำเนิดขึ้นในปี ปี ค.ศ.2010 โดยผู้ที่ได้รางวัลนี้ครั้งแรกคือ อัจฉริยะจากต่างดาว “ลิโอเนล เมสซี”สัญชาติ”อาร์เจนตินา”แห่งสังกัด
“เอฟซี บาร์เซโลนา”ซึ่งหมายความว่าผู้เล่นจากทั่วทุกมุมโลกสามารถได้รางวัลนี้เเต่ในเชิงคุณภาพเเละมาตรฐานก็ต้องยกให้ฟุตบอลยุโรปอยู่ดี โดยที่ทางฝั่ง “ยูฟ่า” (UEFA) เองก็มาจัดรางวัล”ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป”( UEFA Best Player in Europe Award)เช่นเดียวกันโดยจัดครั้งแรกในปี ค.ศ. 2010 โดยผู้เล่นคนแรกที่ได้รางวัลก็คือ“ลิโอเนล เมสซี”นั่นเองและผู้เล่นที่ได้รางวัลในปีล่าสุด (ค.ศ.2013) คือ “ฟร้องค์ ริเบรี” ปีกมหากาฬชาวฝรั่งเศสแห่งค่าย “บาร์เยิน มิวนิค”
กระแสแง่ลบและข้อถกเถียง
หลังจากเปลี่ยนรางวัลเป็นรูปแบบใหม่มีข้อถกเถียงและกระแสแง่ลบมากมายไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการโหวตแบบใหม่ ความไม่โปร่งใส
- ค.ศ.2010 “ลิโอเนล เมสซี” ผู้ชนะเลิศในปีนั้นโดนโจมตีว่าไม่เหมาะกับรางวัลเนื่องจาก “เวสลี่ย์ ชไนเดอร์”ยอดเพลย์เมเกอร์ชาวดัตช์ของ “อินเตอร์ มิลาน”โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมพาต้นสังกัดผงาดคว้าเทรบเบิลแชมป์หรือว่าจะเป็น
“อันเดรส อินเนียสต้า”ยอดกองกลางจากบาร์เซโลน่าที่มีดีกรีเป็นแชมป์โลกพร้อมยิงประตูชัยในรอบชิงชนะเลิศ
และ “ชาบี้ เออร์นานเดซ”จอมทัพดีกรีแชมป์โลกที่เล่นได้คงเส้นคงวาทั้งในสโมสรและทีมชาติโดยเป็นข้อถกเถียงกัน ต้องยอมรับว่า “ลิโอเนล เมสซี”ทำได้สุดยอดในแง่ผลงานส่วนตัวซึ่งในปีนั้นเจ้าตัวทำลายสถิติเป็นว่าเล่นให้กับตัวเองและต้นสังกัดแต่ผลงานความสำเร็จในปีนั้นเจ้าตัวเทียบกับ3คนข้างต้นไม่ได้และ 3 นักเตะข้างต้นที่ชวดรางวัลไปแสดงถึงคุณภาพในแง่ความสำเร็จจึงยังคงเป็นที่ถกเถียงกันว่ารางวัลนี้ควรจะเป็นของใครระหว่างคนที่ทำผลงานส่วนตัวได้ดีกับคนที่เป็นกลไกในแง่ความสำเร็จในปัจจุบันรางวัลนี้จึงถูกวิจารณ์ว่าไม่ใช่รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลกแต่เป็นรางวัลขวัญใจชาวโลกแทน
- ค.ศ.2010 โกรัน ปานเดฟ ผู้มีสิทธิ์โหวตในฐานะกัปตันทีมชาติ ”มาซิโดเนีย”กล่าวว่าจากการโหวตในตำแหน่งโค้ชยอดเยี่ยมประจำปีที่เจ้าตัวโหวตให้ “โชเซ่ มูริณโญ่”แต่ผลโหวตของเจ้าตัวกลับเป็นโหวตให้กับ “บิเซนเต้ เดล บอสเก้” กุนซือทัพกระทิงดุแทน
- ค.ศ.2011 “โชเซ่ มูริณโญ่” กุนซือ”เรอัล มาดริด”ในขณะนั้นออกมาโจมตีว่ารางวัลในปีนั้นก็ถูกล็อกผลให้กับ “ลิโอเนล เมสซี” เป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่งเขากล่าวว่ารางวัลควรจะเป็นของ “คริสเตียโน โรนัลโด้”ปีกจอมถล่มประตูพันล้านลูกทีมของเขาในเวลานั้นพร้อมให้เหตุผลว่า “โรนัลโด้” ประสบความสำเร็จทั้งในแง่ส่วนตัวและกับต้นสังกัดหลังพาต้นสังกัดเถลิงแชมป์ “ลาลีกา สเปน”
- ค.ศ.2013 “อาร์เซน เวงเกอร์”กุนซือขงเบ้งแดนน้ำหอมของปืนใหญ่ “อาร์เซนอล” ให้สัมภาษณ์ว่าไม่สนใจให้เครดิตรางวัลนี้เนื่องจากให้เหตุผลว่าตัวเขาคัดค้านการให้รางวัลนักเตะเป็นตัวบุคคล พร้อมชี้ว่ากันประสานงานกันในทีมฟุตบอลสำคัญกว่า
ทำเนียบรางวัล บัลลง ดอร์ (Ballon d'Or)
1956: Stanley Matthews (ENG) Blackpool
1957: Alfredo Di Stefano (ESP)Real Madrid C.F.
1958: Raymond Kopa (FRA) Real Madrid C.F.
1959: Alfredo Di Stefano (ESP) Real Madrid C.F.
1960: Luis Suarez (ESP) Barcelona
1961: Omar Sivori (ITA) Juventus
1962: Josef Masopust (CZE) Dukla Prague
1963: Lev Yachine (USSR) Dynamo Moscow
1964: Denis Law (SCO) Manchester United
1965: Eusebio (POR) Benfica
1966: Bobby Charlton (ENG) Manchester United
1967: Florian Albert (HUN) Ferencvárosi TC
1968: George Best (NIR) Manchester United
1969: Gianni Rivera (ITA) A.C. Milan
1970: Gerd Mueller (GER) Bayern Munich
1971: Johan Cruyff (NED) Ajax
1972: Franz Beckenbauer (GER) Bayern Munich
1973: Johan Cruyff (NED) Barcelona
1974: Johan Cruyff (NED)Barcelona
1975: Oleg Blokhine (USSR)Dynamo Kyiv
1976: Franz Beckenbauer (GER)Bayern Munich
1977: Alan Simonsen (DEN) Borussia Mönchengladbach
1978: Kevin Keegan (ENG) Hamburg
1979: Kevin Keegan (ENG) Hamburg
1980: Karl-Heinz Rummenigge (GER) Bayern Munich
1981: Karl-Heinz Rummenigge (GER) Bayern Munich
1982: Paolo Rossi (ITA) Juventus
1983: Michel Platini (FRA) Juventus
1984: Michel Platini (FRA)Juventus
1985: Michel Platini (FRA)Juventus
1986: Igor Belanov (USSR) Dynamo Kyiv
1987: Ruud Gullit (NED) A.C. Milan
1988: Marco van Basten (NED)A.C. Milan
1989: Marco van Basten (NED)A.C. Milan
1990: Lothar Matthaeus (GER)Inter Milan
1991: Jean-Pierre Papin (FRA) Marseille
1992: Marco van Basten (NED) A.C. Milan
1993: Roberto Baggio (ITA) Juventus
1994: Hristo Stoichkov (BUL) Barcelona
1995: George Weah (LBR)A.C. Milan
1996: Matthias Sammer (GER)Borussia Dortmund
1997: Ronaldo (BRA)Inter Milan
1998: Zinedine Zidane (FRA)Juventus
1999: Rivaldo (BRA) Barcelona
2000: Luis Figo (POR) Real Madrid
2001: Michael Owen (ENG)Liverpol
2002: Ronaldo (BRA)Real Madrid
2003: Pavel Nedved (CZE)Juventus
2004: Andrei Shevchenko (UKR) A.C. Milan
2005: Ronaldinho (BRA)Barcelona
2006: Fabio Cannavaro (ITA)Juventus
2007: Kaka (BRA)A.C. Milan
2008: Cristiano Ronaldo (POR) Manchester United
2009: Lionel Messi (ARG)Barcelona
2010: Lionel Messi (ARG)Barcelona
2011: Lionel Messi (ARG)Barcelona
2012: Lionel Messi (ARG)Barcelona
เเยกตามสโมสร
1.Juventus 7คน 9ครั้ง
2.A.C.Milan 6คน 8ครั้ง
3.Barcelona 6คน 10ครั้ง
4.Real Madrid 4คน 5ครั้ง
5.Bayern Munich 3คน 5ครั้ง
6.Manchester United 4คน 4ครั้ง
เเยกตามสัญชาติ
1.Germany 5คน 7ครั้ง
2.Netherland 3คน 7ครั้ง
3.France 4คน 6ครั้ง
4.Italy 5คน 5ครั้ง
5.Brazil 4คน 5ครั้ง
6.England 4คน 5ครั้ง
เเยกตามบุคคล
1.Lionel Messi (ARG) 4ครั้ง
2.Johan Cruyff (NED) 3ครั้ง
3.Michel Platini (FRA) 3ครั้ง
4.Marco van Basten (NED) 3ครั้ง
5.Alfredo Di Stefano (ESP) 2ครั้ง
6.Franz Beckenbauer (GER) 2ครั้ง
7.Kevin Keegan (ENG) 2ครั้ง
8.Karl-Heinz Rummenigge (GER)2ครั้ง
9.Ronaldo (BRA) 2 ครั้ง
ได้ติดต่อกัน
1.Lionel Messi (ARG) 4สมัยติด
2.Johan Cruyff (NED) 3สมัยติด
3.Michel Platini (FRA) 3สมัยติด
CR.en.wikipedia.org
th.wikipedia.org