ย้อนอดีตทีมดัง # 4 - [กุหลาบไฟ] แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส
สูงสุดคืนสู่สามัญ วลีนี้ยังคงใช้ได้เสมอ ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานเพียงใดก็ตาม เปรียบเหมือนหนึ่งในอดีตแชมป์พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 1994-95 “กุหลาบไฟ” แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส
สโมสรฟุตบอลแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ตั้งอยู่ที่เมืองแบล็คเบิร์น แคว้นแลงคาเชียร์ ประเทศอังกฤษ ก่อตั้งสโมสรขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ. 1875 ใช้สนาม อีวู้ด พาร์ค เป็นสนามเหย้า และใช้สีขาว-น้ำเงิน เป็นสีประจำทีม
ในปี 1878 แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ได้ลงทะเบียนกับสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (FA) และกลายเป็น 1 ใน 23 ทีม จากแคว้นแลงคาเชียร์ จากนั้น ในปี 1879 ทีมกุหลาบไฟ ก็ได้มีโอกาสร่วมแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ เป็นครั้งแรก และได้เข้าชิงแชมป์เอฟเอ คัพ ครั้งแรก ในปี 1882 แต่พ่ายให้กับ โอลด์ เอโตเนี่ยน ไป 0-1 แต่หลังจากนั้น เดอะ โรเวอร์ส กวาดแชมป์เอฟเอ คัพ ได้ถึง 5 สมัย ในรอบ 7 ปี คือ ในปี 1884, 1885, 1886, 1890 และ 1891 จากนั้น ก็มาได้แชมป์อีกครั้ง ในปี 1928 ในขณะที่ในศึกฟุตบอลดิวิชั่น 1 พวกเขาคว้าแชมป์มาครองได้ 2 สมัย ในฤดูกาล 1911-12 และ 1913-14 และคว้าแชมป์แชริตี้ ชีลด์ ได้ 1 สมัย ในปี 1912
จากนั้น ทีมกุหลาบไฟ ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการวนเวียนขึ้นลง ระหว่างดิวิชั่น 1-2-3 และไม่มีโอกาสเฉียดเข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์ใดๆ อีกเลย จนกระทั่ง ถึงช่วงทศวรรษที่ 90 ได้มีมหาเศรษฐีผู้ทำธุรกิจเหล็กกล้า นามว่า แจ็ค วอล์คเกอร์ เข้ามาเทคโอเวอร์ทีม และได้ลงทุนมหาศาลในการสร้างทีมใหม่ จากที่จบที่อันดับ 19 ในดิวิชั่น 2 ฤดูกาล 1989-90 จนทะลุขึ้นมาถึงลีกสูงสุด (ที่เพิ่งเปลี่ยนชื่อเป็น พรีเมียร์ ลีก) ได้อีกครั้ง ในฤดูกาล 1992-93 ภายใต้การคุมทีมของเคนนี่ ดัลกลิช อดีตตำนานของหงส์แดง ลิเวอร์พูล โดยวอล์คเกอร์ได้อนุมัติเงิน 3.5 ล้านปอนด์ ในการซื้อตัวดาวรุ่ง ที่ได้รับการยกย่องว่ากำลังร้อนแรงที่สุดในขณะนั้น อย่างอลัน เชียเรอร์ จากเซาแธมป์ตัน และเชียเรอร์ ก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ยิงไป 16 ประตู พาทีมคว้าอันดับที่ 4 ได้ในฤดูกาลนั้น ฤดูกาลต่อมา เชียเรอร์ก็ยิงอีกถึง 31 ประตู พาทีมกุหลาบไฟลุ้นแชมป์พรีเมียร์ ลีก แต่สุดท้าย ก็ได้เพียงแค่รองแชมป์ โดยที่แชมป์นั้นตกเป็นของทีมปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ในฤดูกาล 1994-95 เป็นฤดูกาลที่บรรดากองเชียร์ของทีมกุหลาบไฟ จะจารึกไว้ในความทรงจำตลอดไป เมื่อพวกเขาเถลิงบัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ ลีก ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก โดยตัวผู้เล่นของแบล็คเบิร์นชุดนั้น นำโดยคู่หู SAS อลัน เชียเรอร์ กับ คริส ซัตตัน โดยเชียเรอร์ ยิง 34 ประตู คว้าตำแหน่งดาวซัลโว ส่วนซัตตันยิงไป 15 ประตู นอกจากนั้นก็ยังมี ทิม เชอร์วู้ด กัปตันทีม, สจ๊วร์ต ริบลี่ย์ จรวดทางเรียบ, เดวิด แบทตี้, เจสัน วิลค็อกซ์, เฮนนิ่ง เบิร์ก, แกรม เลอ โซ, โคลิน เฮนดรี้ และทิม ฟลาวเวอร์ส โดยจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พลพรรคกุหลาบไฟ กลับมาคว้าแชมป์ได้ คือ การที่เอริค กองโตน่า ดาวยิงคนสำคัญของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กระโดดกังฟูคิก ใส่แฟนบอลคริสตัล พาเลซ จนทำให้โดนแบนยาวถึง 9 เดือน อีกทั้ง 2 ปีกตัวหลัก อย่างไรอัน กิ๊กส์ กับอังเดร แคนเชลสกี้ส์ บาดเจ็บตั้งแต่ช่วงกลางฤดูกาล เลยทำให้ทีมกุหลาบไฟ เก็บแต้มแซงได้ในช่วงนี้
และก็เป็นปีที่น่าจดจำอย่างยิ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของฟุตบอลอังกฤษ เมื่อการไล่ล่าแชมป์ดำเนินมาอย่างเข้มข้นตลอดฤดูกาล จนต้องตัดสินกันในนัดสุดท้าย โดยในตอนนั้น ทีมกุหลาบไฟ มีแต้มนำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่เพียงแค่ 2 คะแนน และนัดสุดท้ายต้องไปเยือน ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ ซึ่งถือเป็นงานที่หนักพอสมควร ในขณะที่แมน ยูไนเต็ด ต้องบุกไปเยือนอัพทัน พาร์ค ของขุนค้อน เวสต์แฮม
โดยก่อนเกมมีการพูดกันอย่างหนาหู ถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของเคนนี่ ดัลกลิช ผู้จัดการทีม ซึ่งเป็นตำนานนักเตะของลิเวอร์พูล ซึ่งคาดเดากันไปต่างๆ นานา ว่าลิเวอร์พูลจะยอมให้แชมป์ตกเป็นของแบล็คเบิร์น เนื่องจากไม่ต้องการให้แมน ยูไนเต็ด ทีมคู่ปรับตลอดกาลได้แชมป์ไปครอง จึงเป็นเกมที่แฟนบอลจับตามองกันเป็นพิเศษว่าท้ายที่สุดผลจะออกมาเป็นอย่างไร
เมื่อเริ่มการแข่งขันและเกมส์ผ่านไปได้ 20 นาที แบล็คเบิร์น ก็ขึ้นนำด้วยประตูของ อลัน เชียร์เรอร์ จากการผ่านเข้ากลางทางด้านปีกขวาของ สจ๊วต ริปลี่ย์ ซึ่งในขณะนั้น แมนฯยู กลับโดนขึ้นนำในนาทีที่ 31 จากการทำประตูของ ไมเคิ่ล ฮิวจ์ ดูเหมือนว่าความฝันที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก ของ แบล็คเบิร์น กำลังใกล้เข้ามาทุกที เมื่ออะไรๆ ก็ดูเป็นใจไปซะหมด
แต่แล้วในครึ่งหลัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับตาลปัตรไปหมด ในนาทีที่ 54 ไบรอัน แม็คแคลร์ สามารถยิงประตูตีเสมอให้แมนฯ ยู ได้สำเร็จ ขณะที่อีกสนาม จอห์น บาร์นส์ ก็ทำประตูตีเสมอให้ทีมหงส์แดงได้เช่นกัน สถานการณ์ในตอนนั้น ถ้าแมนฯยู ยิงได้อีกแค่ประตูเดียว ก็จะได้เป็นแชมป์ไปในทันที เพราะมีประตูได้-เสียดีกว่า แบล๊คเบิร์น อยู่
แมนฯ ยู ในตอนนั้น บุกเข้าใส่เวสต์แฮมอย่างบ้าคลั่ง และมีโอกาสยิงจนนับครั้งไม่ถ้วน จนมาถึงจุดไคลแม็กซ์ของเกมส์ ในนาที่ 89 เวลาที่แฟนบอลกุหลาบไฟทุกคน แทบหยุดหายใจ เมื่อฟรีคิกปลิดวิญญาณของ เจมี่ เร้ดแนปป์ ส่งลูกเข้าไปนอนแน่นิ่งอยู่ที่ก้นตาข่ายอย่างสวยหมดจด เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างที่วาดหวังไว้มาตลอดทั้งฤดูกาลกำลังจะพังทลายไปแล้วหมดสิ้น
แต่ไม่กี่อึดใจต่อมา ทุกอย่างเปลี่ยนไป เสียงนกหวีดสุดท้าย ที่ อัพตัน พาร์ค จบลงที่ผลเสมอ 1-1 ของ แมนฯ ยู ทำให้ทุกคนเริ่มตั้งสติได้ ไม่มีใครสนใจลูกยิงของ เจมี่ เรดแนปป์ อีกต่อไป ลืมไปด้วยซ้ำว่า ทีมของตัวเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ทุกคนในแอนฟิลด์ออกอาการดีใจอย่างสุดขีด ไม่เว้นแม้แต่แฟนลิเวอร์พูล ซึ่งพอใจอย่างมากที่แมนฯยู ไม่ได้แชมป์ และทีมตัวเองก็ไม่ต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นทีมที่ไม่มีสปิริต ที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณ เวสต์แฮม ที่สู้อย่างเต็มที่ แม้ไม่ต้องลุ้นอะไรแล้วก็ตาม
แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ นับเป็นการรอคอยเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ที่ยาวนานมาก หลังการเป็นแชมป์ลีกสูงสุดตั้งแต่ปี 1914 เป็นต้นมา ทิม เชอร์วู้ด เป็นผู้ชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ ลีก พร้อมเสียงปรบมือของแฟนบอลทั่วทั้งสนาม คู่หู SAS (Sutton and Shearer) ได้รับการกล่าวขวัญมาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย อาทิเช่น เคนนี่ ดัลกลิช ได้เป็นผู้จัดการทีมยอดเยี่ยม อลัน เชียเรอร์ คว้ารางวัลรองเท้าทองคำ จากการทำทั้งหมด 34 ประตู และคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมควบคู่ไปด้วย รวมถึงนักเตะอีกหลายคนติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปี ทั้ง อลัน เชียร์เรอร์, ทิม เชอร์วู้ด, โคลิน เฮนดรี้, แกรม เลอ โซ และทิม ฟลาวเวอร์ส
แผนผัง 11 คนแรก และตัวสำรองของ แบล็คเบิร์น ชุดแชมป์พรีเมียร์ ลีก
ระบบ 4-4-2
.......................ซัตตัน.................เชียเรอร์.......................
วิลค็อกซ์..........เชอร์วู้ด................แอ๊ตกิ้นส์...............ริปลี่ย์
เลอ โซ............เพียร์ซ...................เฮนดรี้.................เบิร์ก
.................................ฟลาวเวอร์ส..................................
สำรอง : มิมส์, เกล, เคนน่า, วอร์เฮิร์สท์, แบ๊ตตี้, สเลเตอร์, กัลลาเกอร์, นีเวลล์
ผู้จัดการทีม : เคนนี่ ดัลกลิช
ผู้ช่วยผู้จัดการทีม : เรย์ ฮาร์ฟอร์ด
ประธานสโมสร : แจ๊ค วอล์คเกอร์
ในฤดูกาลถัดมา แบล็คเบิร์น จบที่อันดับ 7 ของตาราง และก็เสียนักเตะอย่างอลัน เชียเรอร์, โทนี่ เกล, เดวิด แบทตี้ ทำให้แบล็คเบิร์นพยายามซื้อนักเตะอย่างซีเนอดีน ซีดาน แต่ไม่สำเร็จ ซีดานย้ายไปยูเวนตุส ส่วนแบล็คเบิร์นตกชั้นลงไปเล่นเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ในปี 1998 และหายนะของทีมก็มาถึง ในปี 2000 เมื่อแจ็ค วอล์คเกอร์ ได้เสียชีวิตด้วยวัย 71 ปี ทำให้สโมสรขาดสภาพคล่องเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ดี ในฤดูกาล 2001-02 ทีมกุหลาบไฟก็สามารถเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นพรีเมียร์ ลีก ได้สำเร็จอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับคว้าแชมป์เวิร์ทธิงตัน ลีก คัพ มาครองได้สำเร็จ ตั้งแต่นั้นมา แบล็คเบิร์น อยู่ในพรีเมียร์ลีกมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งในฤดูกาล 2011-12 แบล็คเบิร์นต้องตกชั้นลงไปสู่เดอะ แชมเปี้ยนชิพ อีกครั้ง โดยอยู่ที่อันดับ 19 ของตาราง
ขณะนี้ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส อยู่ในอันดับที่ 9 ของเดอะ แชมเปี้ยนชิพ และยังคงรอวันที่จะได้กลับขึ้นมาโลดแล่นในพรีเมียร์ ลีก อีกครั้งหนึ่ง...