มาดูสัตว์ที่มีลูกดุ๊กดิ๊กๆอยู่บนหลังน่ารักๆ ดีกว่าครับ
มาดูสัตว์โลกน่ารักที่แบกไข่ไว้บนหลังและเลี้ยงลูกไว้บนหลังกันเต๊อะ 55 จะไปบอลโลก
ตัวแรก แมลงดาสวน
ชื่อท้องถิ่น: แมลงก้าน มวนตะพาบ มวนหลังไข่
ชื่อวงศ์: Belostomatidae
ชื่อวิทยาศาสตร์:Sphaerodema sp.
ชื่อสามัญอังกฤษ: Giant water bugs
ลักษณะ : มีขนาดเล็กกว่าแมลงดานามาก ลักษณะลำตัวกว้างแบนและสั้น มีสีดำหรือน้ำตาลเข้ม มีขาหน้าแบบขาจับใช้สำหรับจับเหยื่อ ขาคู่กลาง และขาคู่หลังเป็นขาสำหรับว่ายน้ำ ที่ปลายท้องมีแพนหางสั้นๆ ลักษณะเป็นแผ่นเล็ก ๆ 2 แผ่นสำหรับช่วยในการหายใจ
วิธีวางไข่ของแมลงดาสวนตัวเมียจะออกไข่โดยมียางเหนียว ๆ ติดไว้บนหลังของแมลงดาตัวผู้ ให้แบกไข่ติดตัวไปด้วยจนกว่าไข่จะฟักเป็นตัว ขนาด 16 – 18 มิลลิเมตร
มันอาศัยอยู่ในร่องน้ำ แหล่งน้ำจืด บริเวณที่น้ำนิ่งและไหลช้าๆ โดยจะเกาะตามพืชน้ำ กินแมลงอื่น หอยตัวเล็ก และปลาตัวเล็กๆ เป็นอาหาร
แมลงชนิดนี้นำมาประกอบอาหารได้ เช่น คั่ว ทอด หรือตำเป็นน้ำพริก อร่อย
VIDEO
ตัวที่สอง แมงมุมสุนัขป่า หรือแมงมุมหมาป่า (Wolf spider), Lycosa pseudoannulata (Boesenberg and Strand)
Order: Araneae
Family: Lycosidae
แมงมุมสุนัขป่า L. pseudoannulata ตัวโตเต็มที่มีสีน้ำตาลอ่อนถึงดำ ส่วนหลังมีรูปร่างคล้ายช้อนส้อม (fork-shaped mark) และส่วนขอบท้องมีแถบสีขาว ตัวเมียมีขนาดลำตัวยาวประมาณ 8-18 มิลลิเมตร ตัวผู้ยาว 5-9 มิลลิเมตร ตัวอ่อนที่ฟักออกใหม่ๆ จะอาศัยเกาะติดบนหลังของแม่
แมงมุมสุนัขป่า เป็นตัวห้ำที่สำคัญของเพลี้ยกระโดดและเพลี้ยจักจั่น โดยเฉพาะเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ผีเสื้อหนอนกอ ริ้นน้ำจืดและแมลงวัน เข้าทำลายโดยอาศัยอยู่ตามบริเวณผิวน้ำกับโคนต้นข้าว เพื่อคอยดักเหยื่อ สามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว โดยจะวิ่งไปมาบนผิวน้ำระหว่างกอข้าวหนึ่งไปยังอีกกอ
เป็นแมงมุมที่ไม่สร้างใยดักเหยื่อแบบแมงมุมทั่วไป จะจับเหยื่อกินโดยตรงสามารถกินเหยื่อได้ตั้งแต่ตัวยังมีขนาดเล็ก แมงมุมสุนัขป่าชนิดนี้ไม่ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเพราะจะกัดกินกันเอง
แมงมุมหมาป่าเพศเมียมีถุงไข่เกาะติดส่วนท้อง จนกระทั่งไข่ฟักเป็นตัวและตัวอ่อนยังคงเกาะติดอยู่อีกระยะเวลาหนึ่ง
VIDEO
ตัวที่สาม จะพูดถึงแมงป่องช้าง
ชื่อสามัญ : แมงป่องช้าง
Common name : Giant scorpion
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Heterometrus sp.
Order :Scorpiones
Family : Scorpionidae
แมงป่องเป็นสัตว์ที่มีประสิทธิภาพในการมองเห็นต่ำ แต่มีสิ่งทดแทนคือเส้นขนนับไม่ถ้วนที่ใช้รับความรู้สึกจากการเคลื่อนไหวของอากาศ ทำให้แมงป่องไวต่อเสียงมาก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่แมงป่องจะชูหางขึ้นทันทีที่มีเสียง หรือมีการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆ รอบตัว เมื่อมีเหยื่อหรือศัตรูเข้ามาใกล้ และสามารถฉีดพิษสู่เหยื่อได้อย่างแม่นยำ
ปล้องพิษอยู่บริเวณปล้องสุดท้าย มีลักษณะพองกลมปลายเรียวแหลม คล้ายรูปหยดน้ำกลับหัว บรรจุต่อมพิษ มีเข็มที่ใช้ต่อย เรียกว่า "เหล็กไน" (sting apparatus) สำหรับฉีดพิษ
ลักษณะพิเศษของแมงป่อง (ไม่เฉพาะแมงป่องช้าง) ที่ต่างไปจากสัตว์มีเปลือกแข็งชนิดอื่นๆ เกิดจากสารชนิดหนึ่งซึ่งยังไม่ทราบแน่นอน ฝังตัวอยู่เป็นชั้นบางๆ ในเปลือกของแมงป่อง สารชนิดนี้ทำให้เปลือกแมงป่องเรืองแสงสีเขียวภายใต้แสง UV ถึงแม้แมงป่องตายไปแล้วเป็นเวลานาน คุณสมบัติเรืองแสงนี้ก็ยังคงอยู่ จากฟอสซิลแมงป่องอายุหลายร้อยปีพบว่า แม้ว่าเปลือกจะไม่คงรูปร่างแล้ว แต่สารเรืองแสงยังคงฝังตัวติดกับหินฟอสซิล นอกจากนี้ ตัวอย่างดอง หรือแม้กระทั่งแมงป่องทอดที่มีขายทั่วไป ยังคงมีการเรืองแสงอยู่แทบไม่แตกต่างจากแมงป่องที่มีชีวิตแม้แต่น้อย
ลูกแมงป่องเกิดใหม่จะปีนขึ้นไปเกาะกลุ่มเป็นก้อนสีขาวยั้วเยี้ยบนหลังแม่แมงป่อง ซึ่งระยะนี้แม่แมงป่องจะกินอาหารและน้ำน้อยมาก และไม่เคลื่อนย้ายไปไหนหากไม่จำเป็น เพราะต้องคอยระวังภัยให้ลูก ส่วนลูกแมงป่องจะอยู่บนหลังแม่นานถึงสองสัปดาห์โดยไม่กินน้ำและอาหาร
อาหารของแมงป่องช้าง ได้แก่ พวกสัตว์ตัวเล็กๆ เช่น แมงมุม บึ้ง กิ้งกือ หนอน และแมลงอื่นๆ โดยจะกินขณะที่เหยื่อยังไม่ตาย แมงป่องช้างจะใช้ก้ามจับเหยื่อก่อนแล้วใช้หางที่มีเหล็กไนต่อยเหยื่ออย่างรวดเร็ว ซ้ำหลายๆ ครั้ง จนกระทั่งเหยื่อตายแมงป่องจึงจะใช้ก้ามเล็กๆ 1 คู่ ตัดอาหารออกเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนที่จะกิน
VIDEO