ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1, 2, 3
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 16 Nov 2008
ตอบ: 11498
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Oct 17, 2013 01:51
เด็กหญิงพิมพวดี ผีระลึกชาติ(เรื่องจริง)

โดย....ดร.พรนพ พุกกะพันธุ์

ภาควิชาบริการธุรกิจ คณะวิทยาการจัดการ
สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
สถาบันราชภัฏธนบุรี



....ในยุคแห่งความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี นักธุรกิจเป็นจำนวนมาก ต่างก็แข่งขันกันหาผลประโยชน์ ทั้งที่ถูกต้องตามกฎหมาย และผิดกฎหมาย โดยไม่เคยคำนึงถึงความมีจริยธรรม....

เพราะไม่เชื่อในกฎแห่งกรรม เห็นเป็นเรื่องไร้สาระ พิสูจน์ไม่ได้ ไม่คำนึงถึงบาป บุญ คุณ โทษ....


เรื่องที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริง....มีตัวตนอ้างถึงได้....
รอการพิสูจน์จากท่าน....

อย่าได้ปรามาส ว่า ทำบุญ....ไม่มีผล / ทำบาป....ไม่มีผล กันต่อไปอีกเลย.

ลองติดตามดู นะครับ....


เมื่อวันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2544

เป็นวันที่ผมจะต้องไปสอนหนังสือแก่นักศึกษาภาค กศ.บป.
ที่สถาบันราชภัฎ บ้านสมเด็จเจ้าพระยา วิชาจริยธรรมทางธุรกิจ (Business Ethics) ซึ่งเป็นวิชาใหม่ที่จะสอนให้นักศึกษาภาควิชา บริหารธุรกิจ คณะวิทยาการจัดการ ได้เรียนรู้ถึงหลักการประกอบธุรกิจอย่างมีคุณธรรม เพื่อความสุขของสังคมที่อยู่ร่วมกัน

นักศึกษาเหล่านี้เป็นผู้อยู่ในวัยที่ทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง และมาเรียนภาคค่ำเพื่อปรับวุฒิของตนให้สูงขึ้น จะได้รับความรู้ใหม่ๆ เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพของตนอย่างมีหลักเกณฑ์ต่อไป

และในวันนี้ ผมก็มีความจำเป็นที่จะต้องไปงานฌาปนกิจศพของ....
คุณเสียง โหสกุล บิดาของไลออนเสรี โหสกุล อดีตผู้ว่าการไลออนส์สากล ภาค 310 E

ซึ่งในระยะนั้น ผมดำรงตำแหน่ง นายกสโมสรไลออนส์อิสระภาพ กรุงเพทฯ
ซึ่งผมและไลออนเสรี โหสกุส จำเป็นที่จะต้องติดต่อกันเป็นประจำ
ทั้งนี้เพราะสโมสรไลออนส์ เป็นสโมสรของผู้บำเพ็ญประโยชน์ มีสำนักงานใหญ่
ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา ดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ที่ด้อยโอกาส และไม่สามารถ
ที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ เนื่องจากขาด แคลนทุนทรัพย์

สมาชิกของสโมสรไลออนส์จะช่วยสโมสรฯ ในการแข่งขันกันทำความดี ตามนโยบายของสโมสรไลออนส์สากล เช่น ช่วยกันจัดกิจกรรมหาทุน นำเงินที่ได้มาเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหาร และบำเพ็ญประโยชน์ ไม่มีการแสวงหากำไร ช่วยผู้ยากไร้ด้วยความสมัครใจ นายกสโมสร และคณะกรรมการบริหารตำแหน่งต่างๆ ดำรงตำแหน่งอยู่ได้เพียง 1 ปี ก็จะต้องครบวาระ ผลัดให้สมาชิกคนอื่น ที่มีความรู้ความสามารถ ขึ้นมา บริหารงานแทน

ทุกสโมสรฯ จะเริ่มดำเนินงานจากเงินทุนบริจาคของสมาชิกเพียงเล็กน้อย แต่ด้วยความรู้ความสามารถของนายกสโมสร และเพื่อนสมาชิก ที่ได้ช่วยกันจัดกิจกรรมหาทุนเพียงปีละ 2 ครั้ง ก็มีเงินทุนเพียงพอที่จะใช้บริหารงาน และดำเนินกิจกรรมช่วยเหลือผู้อื่นที่ยากไร้ และด้อยโอกาสกว่าตน


ผลจากการแข่งขันกันกระทำความดี จะต้องทำเป็นรายงานกิจกรรม เสนอไปยังผู้ว่าการภาค และสโมสรไลออนส์สากล ที่เมืองโอ๊คปรู๊ค สหรัฐอเมริกา เป็นประจำทุกเดือน และผลของการกระทำความดีหากเข้าตากรรมการ ก็จะได้รับรางวัลเกียรติยศ และจัดพิธีมอบให้อย่างเป็นทางการ

ซึ่งผู้ได้รับโล่รางวัลเหล่านี้ ถือเป็นความภาคภูมิในใจผลสำเร็จของงาน ภายใต้การบริหารของตนตลอดระยะเวลา 1 ปี

งานฌาปนกิจศพคุณพ่อของไลออนเสรี โหสกุล ครั้งนี้ ได้สร้างความแปลกใจให้แก่ผมเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการฌาปนกิจศพ พร้อมกัน 2 ศพ

ศพหนึ่งคือ คุณเสียง โหสกุล ผู้เป็นบิดาของไลออนเสรีฯ


ส่วนอีกศพหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้ชิดกันเป็นศพเด็กผู้หญิง อายุประมาณ 9 ปี
ซึ่งเป็นบุตรสาวของคุณเสียงฯ และเป็นน้องสาวของไลออนเสรี โหสกุล

เธอชื่อ....พิมพวดี



เมื่อเวลาประมาณ 5-6 ปีที่ผ่านมา ผมได้เคยไปร่วมงานฌาปนกิจศพที่วัดมกุฎกษัตริยาราม หลายครั้ง และเมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าวัดไปสู่เมรุ ศาลาตั้งศพศาลาแรกด้านขวามือ

จะเห็นเป็นศาลาที่ค่อนข้างแปลกเพราะภายในที่บรรจุรูปของผู้บริจาคสร้างศาลา ได้ทำเป็นเสมือนวิมานบนสรวงสวรรค์ มีรูปของเด็กหญิงหน้าตาหน้ารักประดิษฐานอยู่ในวิมานนั้นศาลานี้ชื่อว่า พลับเพลาพิมพวดี



ศาลาตั้งศพนี้ สร้างความแปลกในให้แก่ผมก็คือ รูปผู้สร้างศาลาแทนที่จะเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งบรรดาลูกหลานได้สร้างให้แก่บรรพบุรุษที่ได้ล่วงลับไปแล้วเพื่อเป็นอนุสรณ์

กลับกลายเป็นรูปของเด็กหญิงที่หน้าตาน่ารักสถิตอยู่ในวิมาน....
แสดงว่าเธอเป็นที่รักของครอบครัว และผู้สร้างศาลาแห่งนี้จะต้องเป็นผู้มีฐานะดี....
มีความรู้ความเข้าในในศิลปวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างดีเยี่ยม....

จึงสร้างศาลาได้อย่างสวยงานมีคุณค่ามาก พลับพลาพิมพวดีแห่งนี้ ....
ได้อยู่ในความทรงจำของผมตลอดมา ....



จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นหนังสือที่ได้รวบรวมเหตุการณ์เกี่ยวกับจิตวิญญาณ สิ่งลี้ลับ กฎแห่งกรรม....ตายแล้วมาเกิดใหม่

และมีอยู่เรื่องหนึ่ง คือ พิมพวดี สื่อวิญญาณ โดยมีสาระสำคัญว่า วิญญาณของเด็กหญิงพิมพวดีที่ล่วงลับไปแล้วในชาตินี้ ไม่ไปเกิดใหม่ แต่ยังคงวนเวียนอยู่ในโลกทิพย์

และได้มาช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยทางสมองของนายแพทย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิระ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งในชาติก่อนนั้นเป็นบิดาของเธอเคยรับราชการในรัชกาลที่ 3
ทำหน้าที่เป็นผู้คุมนักโทษ ที่เรียกว่า ราชมัล เป็นคนลงโทษนักโทษ ทรมานนักโทษ และประหารชีวิตนักโทษ

แม้จะอ้างว่าเป็นการกระทำตามหน้าที่ หาได้รับการยกเว้นจากกฎแห่งกรรม....
และแรงอาฆาตจองเวรจากผู้ที่ต้องเสียชีวิตจากการกระทำนั้นไม่....



ในชาตินี้ คุณหนูพิมพวดี ได้มาเกิดในครอบครัวของตระกูลโหสกุลบิดา คือ....
นายเสียง โหสกุล และมารดา คือ นางสมพร พัฒนวิบูลย์ โดยมีพี่น้องรวมกัน 5 คน คือ

1. นายเสรี โหสกุล สมรสกับ นางสาวธนิดา โกมลารชุน
มีบุตร 2 คน คือ นายพีระศักดิ์ โหสกุล และนายสุทธิศักดิ์ โหสกุล

2. นายวัฒนา โหสกุล สมรสกับ นางสาวลินดา สเวนเช่น
มีบุตร และบุตรตรี 2 คน คือ นายแอนดรู โหสกุล และนางสาวเจสสิก้า โหสกุล

3. นายถาวร โหสกุล สมรสกับ นางสาวคัทลียา ขันธทัต
มีบุตร 3 คน คือ นายคธาวุฒิ โหสกุล นายโอฬาริก โหสกุล และนายปองพล โหสกุล

4. นายวันชัย โหสกุล สมรสกับ นางสาวประวิสสร บัวจรูญ
มีบุตรีและบุตร 3 คน คือ นางสาวปริญดา โหสกุล นางสาวรสวรรณ โหสกุล
และนายศิขัณฑ์ โหสกุล


5. เด็กหญิงพิมพวดี โหสกุล (ถึงแก่กรรมตั้งแต่เยาว์วัย อายุได้ 9 ปี 9 เดือน)




คุณเสียง โหสกุล บิดาในชาตินี้ของ เด็กหญิงพิมพวดีฯ ได้เริ่มต้นชีวิตโดยเป็นครูสอนภาษาจีนที่โรงเรียน มีนประสาท มีนบุรี และได้รู้จักกับคุณครูสมพร พัฒนวิบูลย์ ซึ่งเป็นครูสอนภาษาไทย หลังจากที่ได้รู้จักชอบพอกันระยะหนึ่ง จึงได้ประกอบพิธีมงคลสมรสกันในปี พ.ศ. 2482

ทั้งสองจึงได้ลาออกจากเป็นครูเพื่อไปช่วยงานที่บ้านคุณปู่ ซึ่งประกอบกิจการค้าเป็นครอบครัวใหญ่ที่คุณเสียงและภรรยาต้องทำงานหนัก เนื่องจากมีญาติพี่น้องและคนงานที่จะต้องดูแลไม่น้อยกว่า 30 คน ทั้งสองนึกถึงอนาคตที่จะต้องเลี้ยงดูลูกๆ จึงขอแยกครอบครัวออกมาจากบ้านคุณปู่เพื่อทำการค้าขายตามลำพัง เพื่อสร้างฐานะให้มั่นคง โดยมีเงินสดติดตัวมาเพียง 500 บาท ไปอาศัยอยู่กับน้าชายประกอบกิจการขายน้ำมันหล่อลื่น บริเวณตึกแถวข้างวัดสระเกศ ถนนบำรุงเมือง โดยนำเครื่องทองของหมั้นของภรรยาออกขายเป็นทุน

กิจการเริ่มดีขึ้น จึงได้ย้ายกิจการมาอยู่ที่ตึกแถว 2 ชั้นแห่งใหม่ บริเวณรมคลองโอ่งอ่าง หลังภูเขาทอง วัดสระเกศ ในช่วงที่ย้ายไปใหม่ๆ ร้านของคุณเสียงฯ ยังไม่มีชื่อ

แต่เนื่องจากที่ตั้งของร้านอยู่ตรงข้ามกับทางเข้ากุฎีของท่านเจ้าคุณ เจ้าอาวาสวัดสระเกศ (ภายหลังได้รับโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (อยู่ ญาโณทัย) และเป็นสมเด็จ พระอริยวงศาคตญาณฯ สมเด็จพระสังฆราชญาโณทัยมหาเถระในที่สุด)

คุณเสียง และภรรยา จึงได้มีโอกาสเข้าไปกราบนมัสการท่านอยู่บ่อยๆ และท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็ได้ให้ความเอ็นดูแก่ครอบครัวโหสกุลเป็นอย่างมาก ทั้งยังกรุณาตั้งชื่อร้านให้ว่า เสรีวัฒนา ซึ่งเป็นการนำชื่อของบุตรชายสองคนแรก มาตั้งเป็นนามมงคล แก่กิจการของครอบครัวตลอดมา

ในปี พ.ศ. 2489 ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สงบลงแล้ว ประมาณ 1 ปี

ครอบครัวโหสกุล ได้ย้ายมาเซ้งตึกแถวสี่ชั้น ที่หัวมุมถนนหลวงกับถนนมิตรพันธ์
ฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ ซึ่งแต่เดิมเป็นที่ตั้งของห้างฝรั่งชาติเยอรมัน

โดยยังคงนำชื่อ เสรีวัฒนา มาเป็นชื่อร้านใหม่นี้ด้วย

ในปี พ.ศ. 2493 จึงได้กำเนิดบุตรสาวคนสุดท้อง โดยตั้งชื่อให้เธอว่า พิมพวดี

ในปี พ.ศ. 2503 ความเศร้าโศกครั้งยิ่งใหญ่ได้มาเยี่ยมเยียนตระกูลโหสกุล

โดยบุตรสาวคนเล็กที่ชื่อ พิมพวดี ซึ่งเป็นที่รักของทุกคนในครอบครัวได้เสียชีวิต
เพราะเป็นไข้เลือดออก ที่โรงพยาบาลศิริราช ด้วยวัยเพียง 9 ปี 9 เดือน

ซึ่งก่อให้เกิดความโศกเศร้าเสียใจให้แก่คุณเสียง และคุณสมพร โหสกุล เป็นอย่างมาก เพราะเป็นบุตรีคนเดียวและจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย คุณเสียงฯมีความเสียใจมากถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ เห็นรูปของลูกสาวสุดที่รักคราวใดเป็นต้องร้องไห้โฮ

หรือถ้าหากใครเผลอเอ่ยถึงบุตรสาวคนนี้ทีไร คุณเสียงฯ เป็นต้องปล่อยโฮทุกครั้งไป

เพื่อลดความอาลัยอาวรณ์ คุณเสียงฯถึงกับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เวลาว่าง จากที่เคยออกไปฟังเพลง เต้นรำ หรือดูโทรทัศน์ที่บ้าน กลับไปเรียนภาษาอังกฤษแทน นับตั้งแต่การเรียนขั้นพื้นฐานด้วยตนเอง

ต่อมาจึงไปเรียนกับอาจารย์เสนาะ ตันบุญยืน และภรรยา คือแหม่มไอรีน และเรียนการอ่าน เขียน ภาษาอังกฤษกับครูชาวอเมริกัน (Mr. Vance M. Buamgartner) ที่ได้มอบหมายงานการบ้านให้คุณเสียงทำครั้งละมาก ๆ เพื่อให้ลืมความโศกเศร้า

จนกระทั่งสามารถสนทนากับชาวต่างประเทศได้ และเขียนจดหมายภาษาอังกฤษ โต้ตอบกับบรรดาตัวแทนในต่างประเทศได้เป็นอย่างดี
ในช่วงแห่งความเศร้าโศกเสียใจ ด้วยการจากไปอย่างไม่มีวันกลับขอบบุตรีเพียงคนเดียว ทำให้คุณเสียงฯ เกิดความคิดที่จะต้องสร้างถาวรวัตถุขึ้นเป็นอนุสรณ์

จึงได้ไปเข้าเฝ้าเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฐายี) เจ้าอาวาสวัดมกุฎกษัตริยาราม (ในขณะนั้น) กราบทูลว่า มีความประสงค์จะหาที่ในบริเวณวัดที่เหมาะๆ สร้างศาลาสักหลักหนึ่ง เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ลูกสาว และถวายวัด ไว้สำหรับตั้งศพของบรรดาญาติโยมทั่วไป

ซึ่งท่านได้ให้การสนับสนุน โดยทรงอนุญาตให้รื้อกุฎีหลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ข้างอาคารสำนักงานผลประโยชน์ของวัดเป็นสถานที่ก่อสร้างศาลา

โดยใช้ขื่อว่า พลับพลาพิมพวดี ดังที่ปรากฏอยู่จนทุกวันนี้


(เจ้าประคุณสมเด็จฯ เมตตามาในงานพิธี)

ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างอนุสรณ์สถานของบุตรสาวให้สวยที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้

จึงได้มอบหมายให้ อาจารย์ น.ต. สมภพ ภิรมย์ สถาปนิกชื่อดังในขณะนั้น เป็นผู้ออกแบบศาลาทรงไทยประยุกต์ ซึ่งท่านก็ได้กรุณาออกแบบและควบคุมตรวจงานด้วยตนเองอย่างใกล้ชิด งานก่อสร้างได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีตามที่คุณเสียงฯคาดหวังไว้

ในส่วนของการตกแต่งภายในนั้น ด้านผนังทึบกรุด้วยหินอ่อน ตรงกลางผนังประดับด้วยวิมานทรงไทย ทำด้วยไม้สักแกะสลักลงรักปิดทองคำเปลว ตั้งอยู่เหนือแท่นหินอ่อนภายในวิมานได้ตั้งรูปถ่ายของบุตรสาวสุดที่รัก พร้อมพานพุ่ม และเครื่องบูชา

สำหรับงานแกะสลักตัววิมานนั้น ทั้งคุณเสียง และคุณสมพรฯ ได้ใช้ความเพียรพยายามสืบเสาะหาช่างแกะสลักที่มีฝีมือเป็นเลิศมาสร้าง และช่างที่ได้ชื่อว่ามีฝีมือเป็นเลิศที่ได้เลือกสรรมานั้น กว่าจะทำงานได้เสร็จสมบูรณ์เป็นที่ถูกใจ ต้องลงมือทำงานถึง 3 ครั้ง 3 ครา การก่อสร้าง พลับพลาพิมพวดี จึงได้เสร็จสิ้นลงในราวปลายปี พ.ศ. 2504

นับตั้งแต่นั้นมาบรรดาญาติ ๆ พี่น้องของตระกูล โหสกุล จะร่วมกันไปทำบุญให้น้องสาวคนสุดท้องเป็นประจำปีละ 2 ครั้ง คือ ทุกวันที่ 25 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิด และทุกวันที่ 2 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันที่เด็กหญิงพิมพวดีเสียชีวิต และคุณเสียงฯ จะส่งคนไปทำความสะอาดใหญ่ล่วงหน้าหนึ่งวันก่อนวันทำบุญทุกครั้งไม่เคยขาด

กิจการค้าของคุณเสียงฯ เจริญก้าวหน้าขึ้นมาตามลำดับ นับตั้งแต่กิจการค้าน้ำมันเครื่องยนต์ มาเป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายอะไหล่เครื่องยนต์ และร่วมลงทุนกับหุ้นส่วนชาวญี่ปุ่นทำการผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์ เพื่อป้อนโรงงานประกอบเครื่องยนต์ในประเทศ

เมื่อได้รับการส่งเสริมการลงทุนเรียบร้อยแล้ว กิจการในเครือ เสรีวัฒนา ได้ทยอยเปิดดำเนินกิจการติดต่อกันมา คือ

บริษัท ไดน่าเมททอล จำกัด เปิดดำเนินกิจการเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2517
บริษัท อ๊าร์ท เสรีนา ปิสตัน
บริษัท เชอร์รี่ เสรีนา จำกัด (เดิมชื่อ ชีน่า แก๊สเก็ต)
บริษัท เอ็น ที อาร์ จำกัด
บริษัท T.R.W. FUJI Co. Ltd

โดยมี บริษัท เสรีวัฒนาอุตสาหกรรม จำกัด ซึ่งคุณเสียง โหสกุลเป็นประธาน เป็นบริษัทแม่ฝ่ายไทย และบุตรชายทั้งสี่คน ได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่สำคัญ ในการบริหารงานร่วมกับหุ้นส่วนจากต่างประเทศ

ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกล และด้วยประณิธานอันแรงกล้าที่จะสร้างรากฐานของครอบครัวให้มั่นคงไว้ให้แก่ลูกหลาน ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน คุณเสียงไม่เคยหยุดคิด หยุดทำ

จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต คุณเสียงฯ บิดาในชาตินี้ของ ดญ.พิมพวดี โหสกุล
ก็ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา เมื่อวันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2544
รวมอายุได้ 84 ปี 11 เดือน 6 วัน

ข้อความต่อจากนี้ เป็นคำบอกเล่าของ....

นายแพทย์อาจินต์ บุณยเกตุ อดีตแพทย์ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลวชิระ จังหวัดภูเก็ต บิดาของ ด.ญ.พิมพวดี ในอดีตชาติ (สมัยรัชการที่ 3 ) และได้กลับมาเกิดใหม่ในชาตินี้ ทั้งสองคน

แต่ ด.ญ.พิมพวดี ได้กลับมาเกิดใหม่เป็นบุตรสาวของคุณเสียงฯ
และได้เสียชีวิตตั้งแต่เยาว์ แต่วิญญาณของเธอยังไม่ได้ไปเกิดในภพใหม่
ยังคงวนเวียนอยู่ในโลกทิพย์

และวิญญาณของเธอได้มาช่วยนายแพทย์อาจินต์ บุณยเกตุ เมื่อครั้งต้องผ่าตัดประสาทสมอง ซึ่งต้องทนทุกข์ทรมานมานานกว่า 10 ปี

เป็นอุทาหรณ์ให้คนสมัยใหม่ ที่ไม่มีความเชื่อในบาป บุญ คุณโทษ
กระทำผิดไร้จริยธรรมก็ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครลงโทษได้
ตายแล้วสุญ ไม่ต้องชดใช้กรรมที่เกิดขึ้น


สิ่งที่ท่านคิด อาจไม่ถูกต้อง ยากที่จะแก้ไขถ้ายังมีมิจาฉาทิฐิ เห็นผิดเป็นชอบ....

เหตุที่ผมจะนำเรื่องนี้มาเขียนเล่าให้ท่านอ่านเพราะ ในปลายปี 2529 ตรงกับวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2530 คณะพรรคสูงอายุหลายท่าน ซึ่งผมขออนุญาตเอ่ยนามของท่านไว้ ณ ที่นี้ คือ คุณหญิงวัลลีย์ วีระปีย์, พล.ร.ต.ประจวบ และ แพทย์หญิงอำภิกา พลกล้า, คุณสมบัติ คงจำเนียร และ ม.ร.ว.ทอศรี ภรรยา ศาสตราจารย์ น.พ.สมบัติ สุคนธพันธ์ แห่ง ร.พ.ศิริราช, น.พ.สมพงษ์ บุรุษรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กทม. พล.ต.กรมพิจิตร คดีพล, คุณเสนาะ นิลกำแหง อดีตเสรีไทยสายอังกฤษ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองและอีกหลายท่าน รวมทั้งผมด้วย ได้จัดคณะท่องเที่ยวสูงอายุไปพักผ่อนทางเหนือพร้อมกันก็แวะเล่นกอล์ฟกันทุกสนามที่ผ่านได้แก่ จ.นครสวรรค์ จ.พิษณุโลก แม่เมาะ จ.ลำปาง และสุดท้ายที่ จ.เชียงใหม่

สมาชิกที่ได้ไปเที่ยวกันคราวนี้ ร่วมสามสิบคน อายุรวมกันเห็นจะกว่า 1,640
เราออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืดวันที่ 9 ธ.ค. และกลับกรุงเทพตอนค่ำวันที่ 2 ม.ค. เลยปีใหม่หนึ่งวัน และในปี 30 31

ก็ประพฤติกันแบบนี้อีก ไม่รู้จักเบื่อหน่ายกันบ้าง หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ....

ในระหว่างเดินทางทั้งไปและกลับ ในรถทัวร์ที่เช่าเขาไปเพื่อบรรเทาง่วงเราก็เฮฮากันไป สนุกสนานกันไป ซึ่งหนุ่มสาวคงหาว่าเราเชยเต็มที เพราะมีนิทานเก่าๆ เอาออกมาเล่ากัน เพลงที่ร้องกันในรถก็โน่น เอาเพลงของพรานบูรณ์ ของจำรัก สุวคนธ์ ของท่าน ม.ล.พวงร้อย นานๆ ทีจึงจะมีเพลงปัจจุบันสักเพลงสอง อย่างดีก็จะมีของครูเอื้อ นานๆ ก็มีของดนุพล แก้วกาญจน์ สุชาติ ชวางกูร สักเพลงสองเพลง

ซึ่งถ้าหากเจ้าตัวมานั่งฟังอยู่ด้วย คงจะพูดว่า อนิจจัง เพลงของเราเป็นอย่างนี้ไปแล้วหรือนี่?

เป็นอันว่าการท่องเที่ยวเล่นกอล์ฟก็ได้สิ้นสุดลงที่สนามเชียงใหม่

พอวันที่ 2 ม.ค. เราก็เดินทางกลับออกจากเชียงใหม่ ราวๆ 8 นาฬิกา
พอรถออกไปได้หน่อย ก็ประพฤติอย่างขาไปอีก ทีนี้พอถึงนครสวรรค์หลังอาหารกลางวัน ซึ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวไก่เจ้าเก่านั่นแหละ เราก็ออกเดินทางต่อ

พรรคพวกในคณะต้องการเปลี่ยนบรรยากาศ จึงขอให้คุณหญิงวัลลีย์บอกผมว่า
ขอฟังเรื่องวิญญาณที่ผมพบในรูปของเด็กหญิงพิมพวดี ที่ยังติดอยู่ในใจหลาย ๆ คน

หลายคนที่ได้อ่านเรื่องของผมทีท่านศาสตราจารย์เอียน สตีเว่นสัน นักวิญญาณศาสตร์สัมภาษณ์ผม แล้วนำไปตีพิมพ์เป็นเรื่องหนึ่งในหนังสือของท่านเผยแพร่ในอเมริกา เมื่อราวๆ พ.ศ. 2506 หรือ 2507 ก็สนใจ และรวมทั้งบางท่านที่เคยอ่านหนังสือรายสัปดาห์ฉบับนั้นด้วยว่าเป็นจริงอย่างไร....


ทุกคนในรถเงียบสงบ อย่างฟังปาฐกถาที่น่าฟัง....

ในเมื่อผมได้พูดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ได้เกิดกับตัวผม....

ไม่ว่าจะพูดที่ไหนกี่สิบกี่ร้อยครั้งก็อย่างนี้ ผมจะเริ่มเล่าเรื่องว่า....

ผม(นายแพทย์อาจินต์ บุณยเกตุ)ได้ป่วยด้วยโรคปวดประสาทสมองเส้นที่ห้า (ประสาทสมองมี 12 คู่) เริ่มเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่นอายุราว ๆ 16-17 ปี ตอนนั้นพอดีเกิดสงครามอินโดจีนและก็เป็นเรื่อยมาระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นๆ หายๆ โดยมีอาการปวดประสาทด้านขวาตั้งแต่เบ้าตาขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม ปวดอยู่ซีกเดียว

ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มแน่นอายุยังน้อย อาการก็ไม่ค่อยทรมานรุนแรงมากนัก กินยาแก้ปวดแรงๆ ก็พอบรรเทาไปได้ เคยขอให้อาจารย์ที่ศิริราชตรวจ ท่านก็บอกว่า สายตามีส่วนช่วยทำให้ปวดได้ เพราะสายตาไม่ดี ผมก็เลยสวมแว่นตามาตั้งแต่อายุ 20 ปี จนถึงบัดนี้

สรุปว่า ผมป่วยด้วยโรคนี้มานานเป็นสิบๆ ปี....

ตอนที่เป็นนายแพทย์ ผู้อำนวยการที่จังหวัดภูเก็ต ก็ยังเป็น
ตอนไปศึกษาต่อที่อเมริกาก็เป็นทั้งสามปี แพทย์ที่อเมริกาชวนผ่าตัด ผมก็ยอม
แต่พอจะผ่ามันก็เกิดหายปวด เพราะมันเป็นๆ หายๆ หมอที่นั่นก็เลยไม่กล้าผ่า

พอศึกษาจนจบก็กลับมารับราชการต่อตามโรงพยาบาลอีกหลายแห่ง
ตอนปี พ.ศ. 2504 ผมเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ ฝ่ายวิชาการ
เกิดปวดมากจนทนไม่ไหว ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ตอนนี้เอง

โรคนี้ไม่รู้สาเหตุ แต่เดี๋ยวนี้ (พ.ศ.2508) คุณหมอสิริ บุณยะรัตเวช หัวหน้าศัลยกรรม ร.พ.รามาธิบดี ผู้เชี่ยวชาญทางศัลยกรรมสมองและประสาท ท่านผู้นี้เอง ที่รักษาผมหายขาด ด้วยการฉีดยาเข้าในสมอง ไปทำลายต้นตอของประสาทเส้นนี้ ให้หมดสภาพไปเลย

ท่านบอกว่า หนึ่งในสาเหตุของโรคนี้ คือเส้นโลหิตในสมองเส้นหนึ่งไปเบียดสมองเส้นที่ห้านี้ เมื่อเส้นโลหิตขยายตัวตามจังหวะการเต้นของหัวใจ มันก็จะเบียดกระตุ้นเส้นประสาทนี้ทุกทีคนโบราณเรียกว่า ลมตะกัง หมอปัจจุบันเรียกว่า ไมเกรน หรือ "ติ๊ดเตอลารูไทรเจมินัลนิวราลเจีย" เป็นชื่อเดียวกัน การรักษา ยากมาก

ตอนปี พ.ศ. 2504 นั้น คุณหมอสิระยังไม่กลับจากการเดินทางต่อจากอังกฤษ
ท่านเรียนจนสำเร็จเป็นราชบัณฑิตในวิชาศัลยศาสตร์ แห่งประเทศอังกฤษ
ท่านกลับมาตอน พ.ศ. 2507 หรือราวๆ นั้น

ท่านศาสตราจารย์ น.พ.อุดม โปษกฤษณะ เป็นผู้รักษาผม มีศาสตราจารย์ น.พ.วิชัย บำรุงผล แห่งภาควิชา ศัลยกรรม และ ศาสตราจารย์ น.พ.สมบัติ สุคนธพันธ์ ฝ่ายโรคทางยามาร่วมด้วย ทั้งสองท่านเหล่านี้ เป็นเพื่อนกัน

ก็เลยตั้งใจมากเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่หาย....

ผมได้ถูกรับตัวไว้เพื่อตรวจละเอียด และรักษาที่ตึกวิบูลลักษณ์ ชั้นล่าง ห้องที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เสียแล้ว ได้รับการดูแลเยียวยารักษาอย่างดีจากครูบาอาจารย์ และเพื่อนฝูง

แต่อาการปวดประสาทก็รุนแรงมาก แทบจะผูกคอตายไปหลายหน....


คืนหนึ่งเวลาประมาณสองทุ่มเศษ ๆ โรคปวดประสาทมาเอาผมอีก ทีนี้ปวดดิ้นเลย พยาบาลจะให้กินยาฉีดยาตามแพทย์สั่งไว้ ก็ไม่สงบ เมื่อเป็นเช่นนั้นผมก็นอนหลับตาเอามือกุมขมับข้างที่ปวด แล้วก็ภาวนาบริกรรม พุทโธๆ ๆ ๆ ทำอาปานุสสติ ไปเรื่อยๆ

ที่ผมทำแบบนี้ได้เพราะเมื่อปี พ.ศ. 2500 ผมบวชพระที่วัดราชาธิวาส หนึ่งพรรษา
วัดนี้เป็นวัดวิปัสสนากรรมฐาน ผมก็ได้รับการอบรมเรื่องนี้มาด้วย พอทำสมาธิวิปัสสนาสักครู่อาการปวดก็สงบลง มันก็เป็นเช่นนี้ คือ ปวดสักพัก แล้วก็บรรเทา

พอสงบ ผมก็สงบจิตทำสมาธิต่อไป....

ประมาณสามทุ่มเศษๆ ผมก็หลับตาเห็น....เด็กหญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง....
ก็ลืมตาถามภรรยาและพยาบาลพิเศษที่เฝ้าอยู่สองคนนี้ว่า.... "ใครมา?"
ได้รับคำตอบว่า ดึกแล้ว....ไม่มีใครมาหรอก....

ผมก็หลับตาเข้าสมาธิต่อ พอสักครู่ ก็เห็นชัดว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
รูปร่างอ้วนเหลือกำลัง อ้วนยังกับเป็นโรคชนิดหนึ่ง แต่หน้าตายังเด็ก มายืนอยู่ข้างเตียง เธอแต่งตัวด้วยชุดของโรงพยาบาล

เมื่อเห็นเช่นนั้น ผมก็เอ่ยปากออกถามว่า....หนูเป็นใครมาทำไมที่นี่....
ผมพูดออกมาดังๆ เพื่อให้สองคนนั้นได้ยิน รวมทั้ง คุณใบ กล้าหาญ ซึ่งรับราชการอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์ จนทุกวันนี้ และไปเฝ้าผมอยู่ด้วย....

ภรรยาผม มาเขย่าแขนแล้วพูดว่า เธอ นี่อยู่นี่ๆ ก็คงคิดว่าผมป่วยมากจนเพ้อ....
ผมก็บอกว่า ไม่ได้เพ้อ หรือเสียสติอะไรหรอก.... แต่ว่า....มีใครเห็นไหม?
หนูอ้วนมานั่งอยู่ข้างเตียงนี่.... สองคนนั้นตอบว่า.... "ไม่มีใครอีกแล้ว...."

ผมสังเกตเห็นว่าทั้งสองคนนั้นขยับตัวเข้ามาชิดกัน ภรรยาทำท่าจะสวดมนต์
หรือพนมมือไหว้พระปลกๆ

แต่ผมก็ยังข้องใจ.... เพราะหนูคนนั้นยังนั่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยม!

ผมก็เลยพูดออกมาดัง ๆ กับภรรยา และพยาบาลในห้องว่า....

จะคุยกับหนูคนนี้นะ ช่วยจดๆ จำๆ ไว้ด้วย แล้วผมก็ถามด้วยเสียงดังๆ ว่า
หนูเป็นใคร....มาทำไมในห้องนี้?
แม่หนูตอบว่า หนูเคยป่วยในห้องนี้ และตายในห้องนี้เมื่อประมาณสองปีมาแล้ว
โดยผมจะคอยทวนคำตอบ ดัง ๆ ....ภรรยาผมคอยฟังและคอยจด....
เอ้อ! หนูเคยมาป่วยที่ห้องนี้....หนูเป็นอะไรตาย?
ป่วยด้วยโรคอ้วนตายค่ะ
ภรรยา และพยาบาลช่วยกันจดใหญ่.... หนูเป็นลูกหลานใครกันจ๊ะ?
ตาหนูเป็นพระยาค่ะ ชื่อของท่านขึ้นต้นด้วยตัว.. อ.. ลงท้ายด้วย ..สิริ

ผมทวนคำพูดของเธอดังๆ ให้ได้ยินกันทุกคน....
งั้นหนูก็เป็นหลาน.... ผมพยายามนึก สักครู่ก็นึกออก แล้วพูดออกมาว่า....
หลานเจ้าคุณอัชราชทรงสิริ ใช่ไหมล่ะ?
หนูคนนั้นก็ตอบว่า ใช่ค่ะ! คุณอาเก่งมาก
แล้วพ่อของหนูล่ะ?
คุณอาไม่รู้จักหรอกค่ะ
ผมถามต่อไปว่า หนูมีพี่น้องกี่คน?
มีสามคนค่ะ หนูเป็นผู้หญิงคนเดียว
ผมทบทวนคำพูดดังๆ ทุกคำ เพื่อให้ผู้ที่กำลังฟังได้ยินด้วย....

หนูมานี่มีความประสงค์อะไรจ๊ะ
หนูมีเพื่อนคนหนึ่ง เขาเสียชีวิตเมื่อปีหลายที่ตึกเด็ก....
เขาบอกว่าเขาเป็นลูกคุณอาเมื่อชาติที่แล้ว เขาอยากจะมาหา ....
และมาช่วยคุณอาให้หายป่วยจากโรคนี้ เขาให้หนูมาบอกคุณอาก่อนค่ะ


จากนั้น คุณแม่หนูอ้วนก็หายไป.... หายวับไปเลย....

ผมก็ลุกขึ้นนั่ง เล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ภรรยา กับพยาบาลฟัง....
พยาบาลคนนั้น ตื่นเต้นมาก พลางบอกกับผมว่า....

ที่ตึกนี้และห้องนี้ เมื่อประมาณปี 2502 มีเด็กผู้หญิงถึงแก่กรรมที่ตึกนี้ ....
ห้องนี้หรือเปล่า? เพราะเธอแปลกใจและสนใจมาก ที่ผมพูดกับแม่หนูคนนั้นเป็นเรื่องเป็นราวตั้งนาน....

จากนั้นผมก็เข้านอน โดยไม่ลืมภาวนาบริกรรม พุทโธๆ ๆ ไปด้วย

ประมาณห้าทุ่มคืนเดียวกันนั้นเอง ด้วยอาการปวดประสาทอย่างรุนแรง....
ทำให้ผมตื่นขึ้นมาอีก.... แต่สองคนที่อยู่ในห้องหลับไปแล้ว....

ตอนนี้ เงียบสงัด แต่ผมนอนกุมขมับ กุมศีรษะด้านขวาอยู่คนเดียว ด้วยความปวด
ที่ออกจะรุนแรงเอาการอยู่ ผมก็ได้ยินเสียงแว่วๆ ที่หู ว่า....

เธอ! พ่อเธอนอนอยู่นี่ยังไง....เข้ามาซิ
ผมลืมตาขึ้นมองก็ไม่เห็นมีอะไร....แต่พอหลับตาก็ได้ยินเสียงขึ้นมาอีกว่า....
เข้ามาซิ เข้ามาเถอะ!


ผมลืมตาขึ้นอีกที ทีนี้เห็นเด็กสองคนเข้ามายืนข้างเตียงผม คนหนึ่งอ้วน ก็คนเก่า
อีกคนหนึ่งอยู่ในวัย 12 ขวบ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เธอเดินมาข้างเตียงผม ....
แล้วพูดว่า ....พ่อ! หนูมาช่วยพ่อ

ผมจึงเรียกภรรยาและนางพยาบาลให้ตื่น แล้วถามว่า ....

"เห็นเด็กผู้หญิงสองคนตรงนี้ไหม?....เด็ก ๆ มายืนอยู่ที่นี่แนะ!"

พยาบาลเปิดไฟในห้องสว่างพรึ่บ แล้วบอกว่า.... "ไม่เห็นมีใครมาซักคนนี่คะ?"
มีซิ มีแม่หนูสองคนมาเยี่ยม แล้วก็ยืนอยู่ตรงนี้ นี่ไงล่ะ....
พลางผมก็ยื่นมือออกชี้ไปที่ตัวเด็ก....
คุณใบยกเก้าอี้มาสองตัว ให้แขกที่มองไม่เห็นตัวนั่งข้างเตียงทันที....
ภรรยาผม กับพยาบาลตื่นขึ้นนั่ง ขยับตัวเข้ามาชิดกัน....
แล้วทั้งสองก็พนมมือทำท่าสวดมนต์อีกรอบ....

หนูอ้วนยืนอยู่สักครู่แล้วก็ลาไป คุณอาคะ หนูไปก่อนนะคะ ว่าแล้วก็หายวับไปทันที
เหลือแต่แม่หนูตัวเล็กคนเดียว....

ตอนนี้เธอนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงนอนผม ข้อศอกสองข้างเท้าที่นอนยันคางไว้....
แล้วถามว่า...."คุณพ่อปวดศรีษะมากหรือคะ?"
ผมตอบว่า.... "ตอนนี้ปวดมากจ้ะ!"
เธอยื่นมือข้างหนึ่งมากุมหรือกดศีรษะ ด้านที่ปวดของผมไว้แล้วบอกว่า สักครู่จะทุเลา
ต่อจากนั้นสักพัก อาการปวดก็สงบ....
ผมจึงถามเธอว่า.... "หนูเป็นใคร? แล้วทำไม มาเรียกว่า พ่อ?"
ตอนนี้สองคนนั้นเริ่มจดอีก.... ชาติที่แล้วหนูเป็นลูกของพ่อ....
ผมก็ทวนคำพูดของแม่หนูว่า.... อ้อ ชาติที่แล้วเป็นลูกของพ่อ

ต่อไปนี้ เป็นคำสนทนาของผมกับเด็กผู้หญิงคนนั้น....
โดยผมถามดังๆ และทวนคำตอบดังๆ เช่นเคย....

ชาติก่อนนี้ หนูเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง
เป็นผู้หญิงค่ะ
หนูเป็นอะไรตายในชาติก่อน?
หนูไปเล่นน้ำแล้วไถลลื่น และตกน้ำตาย
หนูตายที่ไหน?
ตกน้ำตาลที่โรงโม่

ผมไม่รู้จักท่าโรงโม่ จึงถามเธอว่า โรงโม่อยู่ที่ไหน?
ก็แถวๆ ท่าเตียนนี่แหละ ไม่ไกลเท่าไหร่
ตอนที่ตกน้ำตายหนูอายุเท่าไหร่?
ก็สิบกว่าขวบค่ะ

ชาติก่อนนี้ พ่อเป็นอะไร
ชาติก่อนนี้พ่อรับราชการในรัชกาลที่ 3 เป็นผู้คุมนักโทษและราชมัล
....ราชมัล เป็นอย่างไร พ่อไม่รู้จัก?
ราชมัล เป็นผู้คุม เป็นคนลงโทษนักโทษ ทรมานนักโทษ รวมทั้งประหารชีวิตนักโทษด้วย

ผมได้ฟังแล้วตกใจมาก เพราะชาตินี้ผมไม่เคยเบียดเบียนใคร ไม่ชอบการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอย่างใดทั้งสิ้น

แล้วจึงถามแม่หนูนั้นว่า ที่พ่อป่วยนี้ ป่วยมานานเป็นเพราะอะไร แล้วเมื่อไหร่จะหาย?
เธอตอบว่า ป่วยเพราะกรรมเก่าที่ทำไว้แต่ชาติก่อน พ่อมีหน้าที่เกี่ยวกับนักโทษ ควบคุมลงโทษ ทรมานเขา กรรมก็ตามมาสนองในชาตินี้

ผมแย้งว่า ก็ทำตามหน้าที่หน้าที่ คือ ควบคุมทรมานเขา เราไม่ทำ เราก็ผิด....
แม่หนูก็ตอบว่า....ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งรูปร่างอ้วนใหญ่ สูงดำ ถูกคดีฆ่าชาวบ้านตาย ทำทารุณต่างๆ แก่ราษฎร....ความจริงนั้น เขาไม่ได้ทำ แต่ชาวบ้านมารวมหัวกันใส่ความเขา พระอัยการก็คุมตัวมาลงโทษ สอบถามเขา เขาไม่ได้ทำ ก็ไม่รับ ราชมัลก็คือ พ่อ ได้ลงโทษเขา จับเขาเข้าขื่อเข้าคาตอกเล็บ แล้วเอาเครื่องมือมาบีบขมับเขา บีบขมับจนเขาสลบ เพราะความเจ็บปวด เขาก็ไม่รับว่าเป็นผู้ร้าย พ่อก็ลงโทษบีบขมับเขาอีก เพื่อให้เขารับสัตย์ว่าเป็น เขาก็ไม่รับ ในที่สุดก็ทนทรมานไม่ไหว ก็ขาดใจตาย!


ก่อนตาย... เขาผูกใจอาฆาตพยาบาทไว้ว่า จะจองเวรไปทุกชาติจนกว่าจะหมดเวร....
....ตอนนี้กรรมมาตามทันอย่างเต็มที่แล้ว.... จึงได้ป่วยเช่นนี้


ต่อหน้าสอง
แก้ไขล่าสุดโดย สายเลือดผี เมื่อ Thu Oct 17, 2013 03:38, ทั้งหมด 3 ครั้ง
10
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออนไลน์
นักเตะท้ายซอย
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 06 Mar 2010
ตอบ: 8121
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Oct 17, 2013 01:54
[RE: เด็กหญิงพิมพวดี ผีระลึกชาติ(เรื่องจริง)]
มาซะดึกเลย



3
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 5957
ที่อยู่: Manchester & Yokohama
โพสเมื่อ: Thu Oct 17, 2013 01:57
ถูกแบนแล้ว
[RE: เด็กหญิงพิมพวดี ผีระลึกชาติ(เรื่องจริง)]
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แข้งลีกเอิง
Status: เอ้ายิ้ม นึง ส่อง ซั่ม
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 02 Jul 2010
ตอบ: 10648
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Oct 17, 2013 01:58
[RE: เด็กหญิงพิมพวดี ผีระลึกชาติ(เรื่องจริง)]
อ่านคร่าวๆ ผมไม่เชื่อเรื่องแบบนี้เลย


แต่ขอบคุณเรื่องราวนะครับ

1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
I'm a gooner
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 1023
ที่อยู่: ผมอยู่ข้างหลังคุณ!
โพสเมื่อ: Thu Oct 17, 2013 02:09
ถูกแบนแล้ว
[RE: เด็กหญิงพิมพวดี ผีระลึกชาติ(เรื่องจริง)]
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ดาวเตะพรีเมียร์ลีก
Status: รับปรึกษาปัญหา iPhone,iPad,iPod
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 9371
ที่อยู่: ความทรงจำของคนที่รักเรา
โพสเมื่อ: Thu Oct 17, 2013 02:10
[RE: เด็กหญิงพิมพวดี ผีระลึกชาติ(เรื่องจริง)]
เช้ามาอ่านได้ป่ะเนี่ย ดูภาพประกอบแล้ว
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 142
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Oct 17, 2013 02:16
[RE: เด็กหญิงพิมพวดี ผีระลึกชาติ(เรื่องจริง)]
ไม่ต้องนงต้องนอนกันแล้วมั้ง
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะตำบล
Status: ฉันดีใจที่มีเธอ :))
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 1513
ที่อยู่: ตรงไหนที่มีเธอ ตรงนั้นจะมีเรา ♥
โพสเมื่อ: Thu Oct 17, 2013 02:25
[RE: เด็กหญิงพิมพวดี ผีระลึกชาติ(เรื่องจริง)]
เรื่องนี้อ่านมาสามรอบแล้ว แต่ชอบ
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
มุขไม่ฮา พาโดนแบน : ชมรมคนนอนเช้า Maysa BNK48 Graduate 28-8-18 First stage


ออฟไลน์
นักบอล ดิวิชั่น 1
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 20 Feb 2011
ตอบ: 1305
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Oct 17, 2013 02:48
[RE: เด็กหญิงพิมพวดี ผีระลึกชาติ(เรื่องจริง)]
เคยอ่านตอนเด็กๆ

ขอบอกว่า นอนไม่หลับ
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 13 Aug 2009
ตอบ: 24424
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Oct 17, 2013 02:57
[RE: เด็กหญิงพิมพวดี ผีระลึกชาติ(เรื่องจริง)]
ดูยูทูปน่ากลัว
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
คอมเมนเตเตอร์
Status: devil since1989
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 05 Jun 2008
ตอบ: 7597
ที่อยู่: ดาวอังคาร
โพสเมื่อ: Thu Oct 17, 2013 03:00
[RE: เด็กหญิงพิมพวดี ผีระลึกชาติ(เรื่องจริง)]
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 162
ที่อยู่: ได้ทุกที่
โพสเมื่อ: Thu Oct 17, 2013 03:01
[RE: เด็กหญิงพิมพวดี ผีระลึกชาติ(เรื่องจริง)]
ลงชื่อไว้เดี๋็ยวมาอ่านตอนเช้า
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

เอื๊อกก !!!
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 12 Jul 2010
ตอบ: 9955
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Oct 17, 2013 03:07
ถูกแบนแล้ว
[RE: เด็กหญิงพิมพวดี ผีระลึกชาติ(เรื่องจริง)]
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 11 Jan 2011
ตอบ: 22526
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Oct 17, 2013 03:14
[RE: เด็กหญิงพิมพวดี ผีระลึกชาติ(เรื่องจริง)]
ง่า ยังไม่จบนิ พิมต่อให้จบสิครับ
อยากรู้ว่าเรื่องราวเป็นยังไงต่อ
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ฝากเพจเล่นเกมหมาด้วยครับ https://www.facebook.com/playdoggame
ออฟไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 16 Nov 2008
ตอบ: 11498
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Oct 17, 2013 03:24
[RE: เด็กหญิงพิมพวดี ผีระลึกชาติ(เรื่องจริง)]
B[Last] พิมพ์ว่า:
ง่า ยังไม่จบนิ พิมต่อให้จบสิครับ
อยากรู้ว่าเรื่องราวเป็นยังไงต่อ  

เพิ่งสังเกตุ สงสัยเผลอไปลบ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ไปหน้าที่ 1, 2, 3
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel