BLOG BOARD_B
ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Email: sale@soccersuck.com
ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
นักบอล ดิวิชั่น 1
Status: การที่เห็นผมอยู่เฉย ไม่ได้แสดงว่าผมรักชาติน้อยกว่า
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 1478
ที่อยู่: ทำงานอยู่ที่Chonburi
โพสเมื่อ: Sat Oct 05, 2013 14:07
##จัดเต็ม ความเป็นมาธนบัตรไทย
ถ้าใครอยากเห็นรูปธนบัตรสมัยรุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน กระทู้นีมีแน่นอนครับ

วิวัฒนาการธนบัตรไทย
ก่อนที่จะมีการนำธนบัตรเข้ามาใช้ร่วมกับเงินตราชนิดอื่น ๆ ในระบบการเงินของประเทศ ชนชาติไทยได้ใช้หอยเบี้ย ประกับ (ดินเผาที่มีตราประทับ) เงินพดด้วง ปี้กระเบื้อง และเหรียญกษาปณ์เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน

จนกระทั่งในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างชาติและเปิดเสรีทางการค้า ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น จนไม่สามารถผลิตเงินพดด้วงซึ่งเป็นเงินตราหลักในขณะนั้นได้ทันต่อความต้องการ ทั้งยังมีผู้ทำเงินพดด้วงปลอมออกใช้ปะปนในท้องตลาด จนเป็นปัญหาเดือดร้อนกันทั่วไป ในพุทธศักราช ๒๓๙๖ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้จัดทำเงินกระดาษชนิดแรกขึ้นใช้ในระบบเงินตราของประเทศ เรียกว่า หมาย
หมาย เป็นกระดาษสีขาวพิมพ์ตัวอักษรและลวดลายด้วยหมึกสีดำ ประทับตราพระราชสัญลักษณ์ประจำพระราชวงศ์จักรีรูปพระแสงจักร และพระราชลัญจกรประจำพระองค์รูปพระมหาพิชัยมงกุฎ ด้วยสีแดงชาด เพื่อป้องกันการปลอมแปลง หมายที่โปรดให้จัดทำมี ๓ ประเภท ได้แก่ หมายราคาต่ำ หมายราคากลาง (ตำลึง) และหมายราคาสูง อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่หมายเป็นเงินตราชนิดใหม่ ในขณะที่ราษฎรยังคงคุ้นเคยกับเงินพดด้วงซึ่งเป็นเงินตราโลหะมาแต่โบราณ จึงไม่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายตามพระราชประสงค์

...หมายราคาต่ำ..............หมายราคากลาง(ตำลึง)............หมายราคาสูง
ต่อมาระหว่างพุทธศักราช ๒๔๑๕ - ๒๔๑๖ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดปัญหาเหรียญกษาปณ์ชนิดราคาต่ำซึ่งเป็นเงินปลีกที่ทำจากดีบุกและทองแดงขาดแคลน ประกอบกับมีการนำ ปี้ ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่ใช้แทนเงินในบ่อนการพนันมาใช้แทนเงินตรา ในพุทธศักราช ๒๔๑๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้จัดทำเงินกระดาษชนิดราคาต่ำเรียกว่า อัฐกระดาษ ให้ราษฎรได้ใช้จ่ายแทนเงินเหรียญที่ขาดแคลน แต่อัฐกระดาษก็ไม่เป็นที่นิยมใช้เช่นเดียวกับหมาย

เงินกระดาษชนิดต่อมา คือ บัตรธนาคาร ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศสามธนาคารที่เข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย ได้แก่ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ ธนาคารชาร์เตอร์แห่งอินเดีย ออสเตรเลีย และจีน และธนาคารแห่งอินโดจีน ได้ขออนุญาตนำบัตรธนาคารออกใช้ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๓๒, ๒๔๔๑, และ ๒๔๔๒ ตามลำดับ เนื่องจากในช่วงเวลานั้นรัฐบาลประสบปัญหาไม่สามารถผลิตเหรียญกษาปณ์ได้ทันต่อการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจ
บัตรธนาคาร มีลักษณะเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดหนึ่งที่ใช้อำนวยความสะดวกในการชำระหนี้ระหว่างธนาคารกับลูกค้า ดังนั้น การหมุนเวียนของบัตรธนาคารจึงจำกัดอยู่ในวงแคบเฉพาะบุคคลที่มีความจำเป็นต้องติดต่อธุรกิจกับธนาคารดังกล่าวเท่านั้น อย่างไรก็ดี บัตรธนาคารมีส่วนช่วยให้ประชาชนรู้จักคุ้นเคยกับเงินที่เป็นกระดาษมากขึ้น และเนื่องจากมีระยะเวลาการนำออกใช้นานกว่า ๑๓ ปี (พ.ศ. ๒๔๓๒ - ๒๔๔๕) ทำให้การเรียกบัตรธนาคารทับศัพท์ว่า แบงก์โน้ต หรือ แบงก์ ในขณะนั้น สร้างความเคยชินให้คนไทยเรียกธนบัตรของรัฐบาลที่ออกใช้ในภายหลังว่า แบงก์ กร่อนเสียงมาจาก "แบงก์โน้ต" จนติดปากมาถึงทุกวันนี้

.........บัตรธนาคารชนิดราคา ๔๐๐ บาท..............บัตรธนาคารชนิดราคา ๘๐ บาท...................บัตรธนาคารชนิดราคา ๕ บาท
.........ของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้.....ของธนาคารชาร์เตอร์แห่งอินเดีย ออสเตรเลีย และจีน...ของธนาคารแห่งอินโดจีน

ขณะเดียวกันรัฐบาลในสมัยนั้นได้พิจารณาเห็นว่าบัตรธนาคารที่สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศออกใช้อยู่ในขณะนั้น มีลักษณะคล้ายกับเงินตราที่รัฐบาลควรจัดทำเสียเอง ในพุทธศักราช ๒๔๓๓ จึงได้เตรียมการออกตั๋วเงินของกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เรียกว่า เงินกระดาษหลวง โดยสั่งพิมพ์จากห้างกีเชคเก้ แอนด์ เดวรีเอ้นท์ (Giesecke & Devrient) ประเทศเยอรมนี จำนวน ๘ ชนิดราคา เงินกระดาษหลวงได้ส่งมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๓๕ แต่เนื่องจากความไม่พร้อมของทางการในการบริหาร จึงมิได้นำเงินกระดาษหลวงออกใช้

เงินกระดาษหลวงชนิดราคา ๘๐ บาท, ๑๐๐ บาท และ ๔๐๐ บาท ตามลำดับ

จนกระทั่งพุทธศักราช ๒๔๔๕ จึงเข้าสู่วาระสำคัญในการออกธนบัตร กล่าวคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการให้ตรา พระราชบัญญัติธนบัตรสยาม รัตนโกสินทรศก ๑๒๑ ขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๕ อีกทั้งโปรดให้จัดตั้ง กรมธนบัตร ในสังกัดกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เพื่อทำหน้าที่ออกธนบัตรและรับจ่ายเงินขึ้นธนบัตร และเปิดให้ประชาชนนำเงินตราโลหะมาแลกเปลี่ยนเป็นธนบัตรตั้งแต่วันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๕ จึงนับว่าธนบัตรได้เข้ามามีบทบาทในระบบการเงินของไทยอย่างจริงจังนับแต่นั้นมา

ธนบัตรแบบ ๑
ธนบัตรแบบ ๑ รุ่น ๑ เป็นธนบัตรที่พิมพ์ด้านหน้าเพียงด้านเดียว จึงเรียกว่า "ธนบัตรหน้าเดียว" หรือ "ธนบัตรหลังขาว" มี ๕ ชนิดราคา ได้แก่ ๕ บาท ๑๐ บาท ๒๐ บาท ๑๐๐ บาท และ ๑๐๐๐ บาท พิมพ์ที่บริษัทโทมัส เดอ ลา รู จำกัด (THOMAS DE LA RUE & COMPANY LIMITED) ประเทศอังกฤษ เริ่มทยอยออกใช้ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๔๕ ในรัชกาลที่ ๕ จนถึงรัชกาลที่ ๖


ธนบัตรแบบ ๑ รุ่น ๒
เริ่มใช้เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ ถึง พ.ศ. ๒๔๖๘
เหมือนแบบ ๑ รุ่น ๑ ต่างกันตรงที่มีการนำตราครุฑพ่าห์มาใช้แทนตราอาร์มแผ่นดิน เนื่องจากในขณะนั้นได้ประกาศเปลี่ยนตราแผ่นดินจากตราอาร์มมาเป็นตราครุฑพ่าห์แทน มี ๒ ชนิดราคา คือ ๑ บาท และ ๕๐ บาท(สังเกตที่รูปแบงก์ ๑บาท และ ๕๐ บาท จะไม่เหมือนแบงก์อื่น) (ปรับปรุงราคา) ที่แก้ไขจากธนบัตรชนิดราคา ๑ บาท เหตุที่มีการพิมพ์ธนบัตรราคา ๑ บาทออกใช้ เพราะในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ ราคาแร่เงินได้เพิ่มสูงมากกว่าราคาที่กำหนดไว้บนเงินเหรียญ ทำให้ชาวบ้านหลอมเหรียญเงินเป็นเงินแท่งแล้วส่งไปขายต่างประเทศ เงินเหรียญหนึ่งบาทจึงขาดตลาด รัฐบาลจึงต้องพิมพ์ธนบัตรชนิดราคา ๑ บาทออกใช้

ธนบัตรแบบ ๒
เป็นธนบัตรที่พิมพ์ทั้งสองด้าน ด้านหน้าเป็นภาพลายเฟื่องประกอบรัศมี ๑๒ แฉก ด้านหลังเป็นภาพพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ จึงเรียกกันว่า "ธนบัตรแบบไถนา" ธนบัตรแบบ ๒ มี ๒ รุ่น ๖ ชนิดราคา ได้แก่ ๑ บาท ๕ บาท ๑๐ บาท ๒๐ บาท ๑๐๐ บาท และ ๑๐๐๐ บาท พิมพ์ที่บริษัท โทมัส เดอ ลา รู จำกัด เริ่มทยอยออกใช้ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๖๘ ในรัชกาลที่ ๖ จนถึงรัชกาลที่ ๗

ธนบัตรแบบ ๒ รุ่น ๑ พิมพ์ข้อความว่า "สัญญาจะจ่ายเงินให้แก่ผู้นำธนบัตรนี้มาขึ้นเป็นเงินตราสยาม" ที่ด้านหน้าของธนบัตรทุกชนิดราคา


ธนบัตรแบบ ๒ รุ่น ๒ เปลี่ยนข้อความเป็น "ธนบัตร์เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย"


ธนบัตรแบบ ๓
เป็นธนบัตรแบบแรกที่เชิญพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ไทยเป็นภาพประธานบนด้านหน้า โดยมีภาพอันแสดงถึงวัฒนธรรมประเพณีและสถาปัตยกรรมไทย ตลอดจนทัศนียภาพต่าง ๆ เป็นภาพประกอบ ส่วนด้านหลังเป็นภาพวัดพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ มีลายน้ำเป็นรูปช้างสามเศียรไอราพต บริเวณพื้นวงกลมสีขาวด้านหลัง และมีการพิมพ์ข้อความแจ้งโทษของการปลอมแปลงธนบัตรเป็นครั้งแรก มี ๔ ชนิดราคา ได้แก่ ๑ บาท ๕ บาท ๑๐ บาท และ ๒๐ บาท พิมพ์ที่บริษัท โทมัส เดอ ลา รู จำกัด เริ่มทยอยออกใช้ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๗๗ ในรัชกาลที่ ๗ จนถึงรัชกาลที่ ๘

รุ่น ๑ (พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ รัชกาลที่ ๗)

ธนบัตรแบบที่ ๓ รุ่น ๒
เริ่มใช้เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๑ พิมพ์โดยบริษัท โทมัส เดอ ลา รู ประเทศอังกฤษ เป็นธนบัตรที่มีลักษณะลวดลายเช่นเดียวกับแบบ ๓ รุ่น ๑ ต่างกันตรงที่เปลี่ยนพระบรมฉายาลักษณ์จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชกาลที่ ๘) สมัยทรงพระเยาว์ มี ๔ ชนิดราคา คือ ๑ บาท ๕ บาท ๑๐ บาท และ ๒๐ บาท

รุ่น ๒ (พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ รัชกาลที่ ๘)

ธนบัตรแบบ ๔(โทมัส)
เริ่มใช้เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ด้านหน้าเชิญพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเมื่อทรงพระเยาว์เป็นภาพประธาน โดยมีภาพปูชนียสถานที่สำคัญ ได้แก่ วัดพระสมุทรเจดีย์ พระปฐมเจดีย์ ป้อมมหากาฬกับบรมบรรพต พระที่นั่งดุสิดาภิรมย์กับพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม เป็นภาพประกอบของธนบัตรแต่ละชนิดราคาตามลำดับ ส่วนด้านหลังเป็นภาพพระที่นั่งอนันตสมาคม ลายน้ำในพื้นที่วงกลมด้านหลัง เปลี่ยนจากรูปช้างไอราพตเป็นรูปรัฐธรรมนูญประดิษฐานอยู่บนพานแว่นฟ้า หรือเรียกกันว่า พานรัฐธรรมนูญมี ธนบัตรแบบ ๔ (โทมัส) มี ๒ รุ่น รุ่นหนึ่ง พิมพ์ข้อความด้านหน้าธนบัตรว่า "รัฐบาลสยาม" ๕ ชนิดราคา คือ ๑ บาท ๕ บาท ๑๐ บาท ๒๐ บาท และ ๑,๐๐๐ บาท


ธนบัตรแบบที่ ๔ รุ่น ๒ เริ่มใช้เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๕
พิมพ์โดยบริษัท โทมัส เดอ ลา รู ประเทศอังกฤษ เป็นธนบัตรที่มีลักษณะลวดลายเช่นเดียวกับธนบัตรแบบที่ ๔ ต่างกันตรงที่เปลี่ยนคำว่า "รัฐบาลสยาม" เป็น "รัฐบาลไทย" ทุกชนิดราคา มี ๔ ชนิดราคา คือ ๑ บาท ๕ บาท ๑๐ บาท และ ๑,๐๐๐ บาท


ธนบัตรแบบ ๔ (กรมแผนที่)
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง ขยายตัวมายังทวีปเอเชียจนกลายเป็นสงครามมหาเอเชียบูรพา โดยญี่ปุ่นได้ยกกองทัพเข้ามาในประเทศไทยเพื่ออาศัยเป็นฐานทัพในการสู้รบและยึดครองประเทศข้างเคียงซึ่งเป็นอาณานิคมของประเทศคู่สงคราม ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะจำยอมต้องทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น
จากการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ทำให้การสั่งพิมพ์ธนบัตรจากบริษัท โทมัส เดอ ลา รู ประเทศอังกฤษ ไม่สามารถกระทำได้ รัฐบาลไทยจึงขอให้รัฐบาลญี่ปุ่นช่วยพิมพ์ธนบัตรให้ (ธนบัตรแบบ ๕) แต่เมื่อสงครามทวีความรุนแรงขึ้น รัฐบาลเห็นว่าสถานการณ์ไม่เป็นที่น่าไว้วางใจนัก ถึงแม้จะได้สั่งพิมพ์ธนบัตรจากประเทศญี่ปุ่นแล้วก็ตาม หากญี่ปุ่นไม่สามารถขนส่งธนบัตรมาได้ ก็จะทำให้ประเทศไทยขาดแคลนธนบัตรอย่างยิ่ง รัฐบาลไทยจึงตัดสินใจพิมพ์ธนบัตรขึ้นใช้เอง โดยใช้วัตถุดิบที่พึงหาได้ภายในประเทศ และมอบหมายให้ กรมแผนที่ทหารบก กรมอุทกศาสตร์ และโรงพิมพ์ของเอกชนบางแห่ง เป็นผู้จัดพิมพ์ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดจากพนักงานของธนาคารแห่งประเทศไทย แม้ว่าธนบัตรที่พิมพ์ขึ้นใช้เองนี้จะมีคุณภาพต่ำ แต่ก็สามารถช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนธนบัตรได้ตลอดช่วงสงคราม ธนบัตรที่พิมพ์ขึ้นใช้เองในช่วงสงคราม ได้แก่ ธนบัตรแบบ ๔ (กรมแผนที่) ธนบัตรแบบ ๖ ธนบัตรแบบ ๗ และธนบัตรแบบพิเศษ


ธนบัตรแบบ ๔ ซึ่งพิมพ์จากกรมแผนที่ทหารบก มีรูปแบบเหมือนกับธนบัตรแบบ ๔ ที่พิมพ์จากบริษัท โทมัส เดอ ลา รู จำกัด
แต่ได้พิมพ์คำว่า "กรมแผนที่" ไว้ที่ขอบล่างของธนบัตรทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และใช้กระดาษจากโรงงานกระดาษไทย จังหวัดกาญจนบุรี มี ๔ ชนิดราคา ได้แก่ ๑ บาท ๑๐ บาท ๒๐ บาท และ ๑๐๐ บาท เริ่มทยอยออกใช้เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๕

ธนบัตรแบบ ๕
ด้านหน้าเชิญพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเมื่อทรงพระเยาว์เป็นภาพประธาน โดยมีลายเฟื่อง อุโบสถและวิหารวัดภูมินทร์ พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ประตูซุ้มยอดมงกุฎวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม และพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทกับพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เป็นภาพประกอบของแต่ละชนิดราคา ส่วนด้านหลังเป็นภาพพระบรมมหาราชวัง ด้านวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มี ๗ ชนิดราคาได้แก่ ๕๐ สตางค์ ๑ บาท ๕ บาท ๑๐ บาท ๒๐ บาท ๑๐๐ บาท และ ๑๐๐๐ บาท พิมพ์ที่โรงพิมพ์ธนบัตร กระทรวงการคลัง ประเทศญี่ปุ่น เป็นธนบัตรที่ใช้ระบบพิมพ์แบบเส้นราบ ไม่มีลายน้ำ ได้ย้ายพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลมาพิมพ์ไว้ทางด้านขวาของธนบัตร แทนที่จะพิมพ์ทางด้านซ้ายตามที่เคยปฏิบัติมา เนื่องจากประเทศอยู่ในภาวะสงคราม กระดาษและหมึกพิมพ์ขาดแคลน เริ่มทยอยออกใช้เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๕


ธนบัตรแบบ ๖
พิมพ์ที่ กรมแผนที่ทหารบกและกรมอุทกศาสตร์ มี ๒ ชนิดราคา ได้แก่ ๒๐ บาท และ ๑๐๐ บาท โดยชนิดราคา ๒๐ บาท มีรูปแบบเหมือนกับธนบัตรแบบ ๔ ซึ่งพิมพ์จากบริษัท โทมัส เดอ ลา รู จำกัด ส่วนชนิดราคา ๑๐๐ บาท มีรูปแบบเหมือนกับธนบัตรแบบ ๔ ซึ่งพิมพ์จากกรมแผนที่ทหารบก ใช้กระดาษที่ผลิตจากโรงงานกระดาษไทย จังหวัดกาญจนบุรี เริ่มออกใช้เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๘


ธนบัตรแบบพิเศษ
ในระหว่างสงครามมีการจัดพิมพ์ธนบัตรบางชนิดราคาขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้ในโอกาสต่าง ๆ แต่ในที่สุดก็มีการนำธนบัตรเหล่านี้ออกใช้เช่นเดียวกับธนบัตรหมุนเวียนปกติ และเนื่องจากเป็นธนบัตรที่มีรูปแบบแตกต่างกันจึงไม่อาจจัดเข้าแบบใด ๆ ได้ ธนบัตรดังกล่าวมีทั้งที่พิมพ์จากประเทศอังกฤษ อินโดนีเซีย และกรมแผนที่ทหารบก มี ๔ ชนิดราคา ได้แก่ ๕๐ สตางค์ ๑ บาท ๕๐ บาท และ ๑๐๐๐ บาท

พิมพ์ที่ประเทศอินโดนิเซีย ออกใช้ พ.ศ. ๒๔๘๖


พิมพ์ที่โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหารบก ออกใช้ พ.ศ. ๒๔๘๕


พิมพ์ที่ประเทศอังกฤษ ออกใช้ พ.ศ. ๒๔๘๙


พิมพ์ที่โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหารบก ออกใช้ พ.ศ. ๒๔๘๘


พิมพ์ที่โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหารบก ออกใช้ พ.ศ. ๒๔๘๖

ธนบัตรแบบ ๗
พิมพ์ที่โรงพิมพ์เอกชนหลายแห่งที่มีผลงานอยู่ในระดับมาตรฐานขณะนั้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปควบคุมดูแลการพิมพ์อย่างใกล้ชิด แต่เนื่องจากพิมพ์ขึ้นใช้ในช่วงปลายสงครามซึ่งกระดาษและหมึกพิมพ์มีอยู่อย่างจำกัด คุณภาพและสีของธนบัตรจึงไม่ดีเท่าที่ควร มีลักษณะลวดลายเหมือนกับธนบัตรแบบที่ ๔ ที่สั่งพิมพ์จาก บริษัทโทมัส เดอ ลา รู ประเทศอังกฤษ แต่มีขนาดเล็กกว่า บางครั้งประชาชนจึงเรียก "แบงก์ขนมโก๋" มี ๔ ชนิดราคา ได้แก่ ๑ บาท ๕ บาท ๑๐ บาท และ ๕๐ บาท เริ่มออกใช้เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๘


ธนบัตรแบบ ๘
เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพายุติลงในเดือนสิงหาคม ๒๔๘๘ รัฐบาลไทยได้สั่งพิมพ์ธนบัตรไปยังบริษัท โทมัส เดอ ลา รู จำกัด อีกครั้ง แต่โรงพิมพ์ของบริษัทได้รับความเสียหายจากสงคราม ไม่สามารถพิมพ์ให้ได้ รัฐบาลไทยจึงติดต่อให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจัดพิมพ์ธนบัตรให้ชั่วคราว โดยโรงพิมพ์ธนบัตร กระทรวงการคลัง (Bureau of Engraving and Printing, Treasury Department) ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ทำแม่แบบแม่พิมพ์ธนบัตร และว่าจ้างให้บริษัท ทิวดอร์ เพรส จำกัด (Tudor Press Inc.) เป็นผู้พิมพ์ ลักษณะลวดลายบนธนบัตรคล้ายกับธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะชนิดราคา ๒๐ และ ๑๐๐ บาท มีสัดส่วนเหมือนธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา จึงมีคำเรียกธนบัตรรุ่นนี้ในหมู่นักสะสมว่า "แบงก์ดอลล่าร์" ด้านหน้าเชิญพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเมื่อทรงพระเยาว์เป็นภาพประธาน และภาพพระปฐมเจดีย์เป็นภาพประกอบของแต่ละชนิดราคา ส่วนด้านหลังเป็นภาพรัฐธรรมนูญประดิษฐานเหนือพานแว่นฟ้า มี ๕ ชนิดราคา ได้แก่ ๑ บาท ๕ บาท ๑๐ บาท ๒๐ บาท และ ๑๐๐ บาท เริ่มออกใช้เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๙ ในรัชกาลที่ ๙ เนื่องจากธนบัตรแบบแปดสั่งพิมพ์ในรัชกาลที่ ๘ แต่ส่งเข้ามาถึงประเทศไทย เมื่อเดือนตุลาคม ๒๔๘๙ ซึ่งขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว



ธนบัตรแบบ ๙
มีรูปแบบเหมือนกับธนบัตรแบบ ๔ แต่เปลี่ยนพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์เป็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ลายน้ำเป็นรูปพานรัฐธรรมนูญ พิมพ์หมายเลขหมวดด้วยหมึกสีแดง มี ๖ ชนิดราคา ได้แก่ ๕๐ สตางค์ ๑ บาท ๕ บาท ๑๐ บาท ๒๐ บาท และ ๑๐๐ บาท พิมพ์ที่บริษัท โทมัส เดอ ลา รู จำกัด เริ่มทยอยออกใช้เมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๑
ด้วยเหตุที่ธนบัตรแบบเก้า มีระยะเวลาการนำออกใช้นานกว่า ๒๐ ปี ประชาชนจึงคุ้นเคยกับสีของธนบัตรแต่ละชนิดราคาจนยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ จึงอาจกล่าวได้ว่า สีของธนบัตรแบบเก้า เป็นต้นแบบของการกำหนดสีของธนบัตรในปัจจุบัน
สำหรับธนบัตรชนิดราคา ๕๐ สตางค์(รูปแบบจะไม่เหมือนแบงก์อื่น) ประเทศไทยได้สั่งพิมพ์ไว้และตกค้างตั้งแต่ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง มีการนำออกมาใช้เพียงครั้งเดียว เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๑


ธนบัตรแบบที่ ๙ เลขดำ
เริ่มใช้เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๑ พิมพ์โดยบริษัทโทมัส เดอ ลา รู ประเทศอังกฤษ พิมพ์หมวดหมายเลขด้วยหมึกสีดำลายน้ำโดยยังคงลายน้ำเป็นรูปพานรัฐธรรมนูญมี ๕ ชนิดราคา คือ ๑ บาท ๕ บาท ๑๐ บาท ๒๐ บาท และ ๑๐๐ บาท


ธนบัตรแบบที่ ๙ เลขดำ ลายน้ำ ร.๙
เริ่มใช้เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๑ พิมพ์โดยบริษัทโทมัส เดอ ลา รู ประเทศอังกฤษ หมวดหมายเลขพิมพ์ด้วยสีดำ เปลี่ยนพระบรมฉายาลักษณ์เป็นทรงเครื่องทรงยศจอมทัพ พิมพ์หมายเลขหมวดด้วยหมึกสีดำ และเปลี่ยนลายน้ำจากพานรัฐธรรมนูญเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙
มี ๕ ชนิดราคา คือ ๑ บาท ๕ บาท ๑๐ บาท ๒๐ บาท และ ๑๐๐ บาท


ธนบัตรแบบ ๑๐
ด้วยเหตุที่ธนบัตรแบบ ๙ ชนิดราคา ๑๐๐ บาท ออกใช้ติดต่อกันนานกว่า ๒๐ ปี และพิมพ์ด้วยการพิมพ์เส้นนูนสีแดงเพียงสีเดียว จึงมีการปลอมแปลงมาก รัฐบาลจึงได้เปลี่ยนแบบธนบัตรชนิดราคา ๑๐๐ บาทใหม่ โดยด้านหน้าเชิญพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเป็นภาพประธาน ส่วนด้านหลังเป็นภาพเรือสุพรรณหงส์ และกำหนดให้พิมพ์สอดสีหลายสีและพิมพ์เส้นนูนสีน้ำเงินเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสี ธนบัตรแบบสิบมีเพียงชนิดราคาเดียว พิมพ์ที่บริษัท โทมัส เดอ ลา รู จำกัด เริ่มออกใช้เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๑ นักสะสมธนบัตรเรียกว่า "แบงก์ร้อยเรือหงส์" และยกเลิกข้อความบอกโทษของการปลอมหรือแปลงธนบัตรเอาไว้ด้วย



ธนบัตรแบบ ๑๑
เป็นธนบัตรที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทยมากขึ้น ด้วยการนำลายไทย สถาปัตยกรรมไทย ซึ่งมีลักษณะโดดเด่นเป็นศิลปะประจำชาติมาเป็นองค์ประกอบสำคัญของธนบัตร นอกจากนี้ ยังมีลักษณะสำคัญคือ ด้านหน้าพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ทรงฉลองพระองค์ครุย และภาพประกอบด้านหน้ามีความสัมพันธ์กับภาพประธานด้านหลัง ธนบัตรแบบสิบเอ็ด เริ่มใช้เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๒ พิมพ์โดยโรงพิมพ์ธนบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นครั้งแรก เป็นธนบัตรที่ฝังเส้นใยทึบแสงที่พิมพ์คำว่า "ประเทศไทย" ไว้เป็นระยะ ๆ มี ๕ ชนิดราคา ได้แก่ ๕ บาท ๑๐ บาท ๒๐ บาท ๑๐๐ บาท และ ๕๐๐ บาท

ภาพประธานด้านหลัง พระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง


ภาพประธานด้านหลัง พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม


ภาพประธานด้านหลัง เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช


ภาพประธานด้านหลัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง


ภาพประธานด้านหลัง พระปรางค์สามยอด ตำบลท่าหิน อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี

ธนบัตรแบบ ๑๒
เป็นธนบัตรที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแผ่พระเกียรติคุณของสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าที่ได้รับการถวายพระราชสมัญญาภิไธย "มหาราช" ภาพประธานด้านหน้า พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องแบบจอมทัพ และได้เชิญพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ที่ได้รับการเทิดพระเกียรติดังกล่าว มาเป็นภาพประธานด้านหลังของธนบัตร มี ๓ ชนิดราคา ได้แก่ ๑๐ บาท ๒๐ บาท และ ๑๐๐ บาท เริ่มใช้เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๑

ภาพประธานด้านหลัง พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว ณ ลานพระราชวังดุสิต


ภาพประธานด้านหลัง พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ณ สวนสาธารณะทุ่งนาเชย จ. จันทบุรี


ภาพประธานด้านหลัง พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ อนุสรณ์ดอนเจดีย์ จ. สุพรรณบุรี

ธนบัตรแบบ ๑๓
มีจุดมุ่งหมายเพื่อร่วมเฉลิมฉลองงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี จึงนำภาพเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่สำคัญ ๆ นับแต่แรกสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวง และการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยมาเป็นภาพประธานด้านหลัง มี ๒ ชนิดราคา ได้แก่ ๕๐ บาท และ ๕๐๐ บาท พิมพ์โดยโรงพิมพ์ธนบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย เริ่มใช้เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๘

ภาพประธานด้านหน้า พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องแบบจอมทัพ ทรงฉลองพระองค์ครุย
ภาพประธานด้านหลัง พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ อาคารรัฐสภา และพระที่นั่งอนันตสมาคม


ภาพประธานด้านหน้า พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องแบบจอมทัพ
ภาพประธานด้านหลัง พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ณ เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง

ธนบัตรแบบ ๑๔
มีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์แห่งพระราชวงศ์จักรี ที่ทรงพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ มี ๓ ชนิดราคา ได้แก่ ๑๐๐ บาท ๕๐๐ บาท และ ๑๐๐๐ บาท
เริ่มใช้เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๕ พิมพ์โดยโรงพิมพ์ธนบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ภาพประธานด้านหน้า พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องแบบจอมทัพ

ภาพประธานด้านหลัง พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ภาพประธานด้านหลัง พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ณ เชิงเขาแก่นจันทร์ จ.ราชบุรี และพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จ
พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ณ วัดอัมพวันเจติยาราม จ.สมุทรสงคราม


ภาพประธานด้านหลัง พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ขณะเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรที่สร้างฝายและอ่างเก็บน้ำ ณ บ้านบากง อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส

ธนบัตรแบบ ๑๕
ธนบัตรแบบนี้ยังคงมีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์แห่งพระราชวงศ์จักรีที่ทรงพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ และปรับขนาดความกว้างของธนบัตรให้เท่ากันทุกชนิดราคา เพื่อความสะดวกในการพกพา มี ๕ ชนิดราคา ได้แก่ ๒๐ บาท ๕๐ บาท ๑๐๐ บาท ๕๐๐ บาท และ ๑๐๐๐ บาท เริ่มใช้เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ พิมพ์โดยโรงพิมพ์ธนบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย

ภาพประธานด้านหลัง พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ภาพพระราชกรณียกิจเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินที่สำเพ็ง และภาพสะพานพระราม ๘


(รุ่นหนึ่ง) พิมพ์บนวัสดุพอลิเมอร์


(รุ่นสอง) แบบปรับปรุง พิมพ์บนกระดาษ
ภาพประธานด้านหลัง พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ภาพลูกโลกดาว กล้องโท
แก้ไขล่าสุดโดย JOllJ เมื่อ Sat Oct 05, 2013 14:14, ทั้งหมด 1 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ


ออฟไลน์
นักบอล ดิวิชั่น 1
Status: การที่เห็นผมอยู่เฉย ไม่ได้แสดงว่าผมรักชาติน้อยกว่า
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 1478
ที่อยู่: ทำงานอยู่ที่Chonburi
โพสเมื่อ: Sat Oct 05, 2013 14:55
[RE: ##จัดเต็ม ความเป็นมาธนบัตรไทย]
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน


ออนไลน์
ดาวซัลโวยุโรป
Status: 6395
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 27 Oct 2009
ตอบ: 8392
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Oct 05, 2013 15:02
[RE: ##จัดเต็ม ความเป็นมาธนบัตรไทย]
นี่มันบอร์ดวิชาการซัดๆ
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ฝากเพจฟุตบอล https://www.facebook.com/mutd4289
ฝากร้านโซฟา https://www.facebook.com/smstore4289
ฝากร้านบน NocNoc https://shorturl.at/1zCTm
ออฟไลน์
นักบอล ดิวิชั่น 1
Status: การที่เห็นผมอยู่เฉย ไม่ได้แสดงว่าผมรักชาติน้อยกว่า
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 1478
ที่อยู่: ทำงานอยู่ที่Chonburi
โพสเมื่อ: Sat Oct 05, 2013 15:12
[RE: ##จัดเต็ม ความเป็นมาธนบัตรไทย]
siamargentine พิมพ์ว่า:
นี่มันบอร์ดวิชาการซัดๆ  

คงไม่ถึงขนาดนั้นคับ 555 ไม่ได้ยกทฤษฎี สมการ เชิงวิชาการมา แค่เนื้อหามันเยอะก็เท่านั้น แค่ตะโกนในใจ เสร็จซะที
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน


ออฟไลน์
แข้งดัทช์ลีก
Status: คนที่ไม่กล้าแม่แต้จะเริ่มต้น จะเป็นคนขี้แพ้ไปตลอดช
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 08 Sep 2013
ตอบ: 710
ที่อยู่: Old Trafford
โพสเมื่อ: Sat Oct 05, 2013 15:26
[RE: ##จัดเต็ม ความเป็นมาธนบัตรไทย]
สุดยอด ความรู้
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

'We're not bad people. We just come from a bad place.'
ออฟไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status: It's not that I'm evil I just don't like to preten
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 01 Apr 2008
ตอบ: 26646
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Oct 05, 2013 16:18
[RE: ##จัดเต็ม ความเป็นมาธนบัตรไทย]
ผมสงสัย แบงค์ 20 แบบก่อนหน้านี้เริ่มใช้ตั้งแต่ 2540 แต่ทำไมผมพึ่งเห็นช่วงประมาณ 2546-47 แบบล่าสุดด้วย เห็นบอกว่าเริ่มตั้งแต่ ต้นปี55 แต่เห็นใช้จริงๆก็ไม่กี่เดือนนี้
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอล ดิวิชั่น 1
Status: การที่เห็นผมอยู่เฉย ไม่ได้แสดงว่าผมรักชาติน้อยกว่า
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 1478
ที่อยู่: ทำงานอยู่ที่Chonburi
โพสเมื่อ: Sat Oct 05, 2013 16:37
[RE: ##จัดเต็ม ความเป็นมาธนบัตรไทย]
หมาแดกแฟบ พิมพ์ว่า:
ผมสงสัย แบงค์ 20 แบบก่อนหน้านี้เริ่มใช้ตั้งแต่ 2540 แต่ทำไมผมพึ่งเห็นช่วงประมาณ 2546-47 แบบล่าสุดด้วย เห็นบอกว่าเริ่มตั้งแต่ ต้นปี55 แต่เห็นใช้จริงๆก็ไม่กี่เดือนนี้  


แบงก์20ขุดที่14 ภาพด้านหลังองค์ร.8 เริ่มใช้จริงๆ วันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๔๖ แต่ที่เห็นในเนื้อหานั้นเป็นแบงก์50ของชุดที่14 ที่เริ่มใช้เป็นใบแรกครับ ผมคิดว่าเค้าคงอ้างอิงตามแบงก์อันไหนออกใช้ก่อนก็เอาอันนั้น เหมือนเป็นตัวเเทนเป็นวันเริ่มใช้ของชุดนั้นทั้งชุด แต่ความจริงคือทยอยผลิตออกมาแลกเปลี่ยนทีละมูลค่าแบงก์ครับ ที่ท่านเข้าใจน่ะถูกแล้วครับ แบงก์20ที่ท่านว่า ใช้จริงๆตอนปี46ครับ น่าจะเคลียนะ
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน


ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel