ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
หน้าแรกบอร์ด >> ปริศนาห้องประตูแดง...ปฐมบทแห่งฆาตกร
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออนไลน์
ปลายอาชีพค้าแข้ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 27 Feb 2011
ตอบ: 25098
ที่อยู่: Theater of Dreams
โพสเมื่อ: Thu Sep 05, 2013 20:59
ปริศนาห้องประตูแดง...ปฐมบทแห่งฆาตกร
ปริศนาห้องประตูแดง...ปฐมบทแห่งฆาตกร

บทนำ

ก๊อก...ก๊อก....ก๊อก.....ก๊อก.ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องค่อนข้างถี่ดังขึ้นในบรรยากาศยามเช้า ทำให้ราทิตย์หนุ่มวัย 25 ปี หน้าตาสไตล์หนุ่มเกาหลี แต่มีเคราเล็กน้อย ผมยาวประบ่า ต้องลุกขึ้นมาเปิดประตูห้องในลักษณะงัวเงีย ทันทีที่ประตูเปิดออกสิ่งแรกที่เขาเห็นคือ สายตากลมโตของหญิงอ้วนวัยกลางคน สวมชุดนอนลายดอกสีฟ้า กำลังจ้องมองไปยังอีกร่างหนึ่งที่บัดนี้กำลังนอนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว บนเตียงนอนแสนนุ่มภายในห้องของเขา

เอา..นี่ อ่านซะ แล้วจัดการให้เรียบร้อยภายในหนึ่งชั่วโมง
หญิงอ้วนคนนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงห้วน พลางยัดกระดาษใบหนึ่งใส่มือของราทิตย์ก่อนที่จะเดินย่ำเท้าจากไปชนิดที่ใครก็ตามที่พบเห็นในเวลานี้ คงเดาได้เลยว่าหล่อนไม่ได้อารมณ์ดีเหมือนอากาศยามเช้าแน่ ราทิตย์ค่อยๆ อ่านข้อความบนกระดาษนั้นจนได้ใจความ อาการงัวเงียของเขาก็หายเป็นปลิดทิ้ง พร้อมกับเรียกใครคนหนึ่งที่นอนอยู่บนเตียง

ราทิน ตื่น...ตื่น แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของชื่อ ยังไม่ค่อยเต็มใจที่จะลุกขึ้นนัก ด้วยความหงุดหงิดราทิตย์จึงต้องกระชากขาชายหนุ่มผู้นั้นอย่างแรง ทำให้เจ้าตัวถึงกับโวยลั่น แต่พอเห็นสีหน้าของราทิตย์ยามนี้ ถึงกับเป็นอันต้องเงียบลง
มีอะไรหรือ พี่ราทิตย์ เสียงนั้นถามขึ้นมา หลังจากที่สงบอารมณ์ลงไปแล้ว
แก ไปทำอะไรเค้าอีก ไอ้ราทิน ราทิตย์พูดขึ้นด้วยเสียงกร้าว พี่เคยเตือนแกแล้วใช่มั้ย
หึ พี่คิดจะทำกับผมขนาดนั้น พี่จะให้ผม.. เสียงคำพูดนั้นชะงักลงกลางคัน เมื่อราทิตย์ยกมือห้าม ก่อนที่เขาจะบอกน้องชายของตนเองว่า เอาล่ะ อย่าเพิ่งพูด เรามีเวลาหนึ่งชั่วโมง จัดการเก็บข้าวของให้เสร็จ ไป
หนึ่งชั่วโมงผ่านไปราทิตย์ กับชายหนุ่มอายุราวๆ 18 ปี ผู้ซึ่งหน้าตาคล้ายกับเขา แต่ผมสั้นกว่า หูทั้งสองข้างเจาะเป็นรูค่อนข้างใหญ่ กำลังเดินสะพายกระเป๋าออกจากหอพัก ในมือของทั้งคู่มีกระเป๋าใส่สัมภาระเล็กน้อย
ท่ามกลางความสนใจของบรรดาผู้ที่พบเห็น ดูเหมือนว่าราทิตย์จะไม่สนใจกับสายตาเหล่านั้น คงมีแต่น้องชายที่แอบชำเลืองไปดูบ้าง พร้อมกัดฟันแน่น

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บทที่ 1 สู่รังใหม่

ไหน บอกพี่มาซิ ว่าเกิดอะไรขึ้น ป้าแนนถึงไล่เราออก ราทิตย์เอ่ยถามขึ้นขณะกำลังเดิน
ก็ตอนผมกลับมาถึงหอเมื่อคืนบังเอิญเจอไอ้บ้าแซม ลูกยัยป้านั่นนะสิ เดินเข้ามาไถเงินผม มันขู่ว่าถ้าไม่ให้อีกคราวนี้มันจะเอายาบ้ามายัดใส่ตรงประตูห้องเราแล้วแจ้งตำรวจ ราทิน อธิบาย
แกก็เลยชกเขา ใช่มั้ย ราทิตย์ถาม เปล่าพี่ หนนี้ผมเดือดมาก เลยจัดการถีบยอดหน้ามันซะเลย ดีนะที่มีคนเห็นซะก่อน ไม่งั้นมันได้นอนหยอดน้ำข้าวต้มแน่ ราทิน พูดอย่างคับแค้นใจ
ราทิตย์ถอนหายใจ พลางส่ายหัว เมื่อไรแกจะเลิกนิสัยแบบนี้ รู้มั้ยชั้นลำบากแค่ไหนที่ต้องหาที่อยู่ใหม่ และต้องดูแลแกไปด้วย คืนนี้เราจะหาที่นอนใหม่ได้รึป่าวยังไม่รู้เลย สิ้นคำพูดเขาโบกแท็กซี่สีฟ้าคันหนึ่งให้จอด แล้วขนของใส่ท้ายหลังรถ ทั้งสองพี่น้องเปิดประตูขึ้นไปนั่งเบาะหลัง

ลุง ไปสุทธิสารครับ ราทิตย์รีบบอกโชว์เฟอร์ แล้วรถก็ออกไปอย่างรวดเร็ว
ไปทำไมหรือพี่ราทิตย์ น้องชายถามอย่างงงๆ
เออ พี่จะไปหาเพื่อนแถวนั้น ให้มันช่วยพาไปหาหอใหม่ ราทิตย์ตอบ
เสียงเพลง Its my life ดังกระหึ่มขึ้นภายในรถ มันช่างเหมาะกับบรรยากาศยามเช้าของใครหลายๆ คน แต่คงจะไม่สบอารมณ์ของราทิตย์แน่ๆ ซึ่งเจอเรื่องปวดกบาลมาตั้งแต่ตื่นนอน ตรงกับข้ามกับน้องชายของเขาที่กำลังฮัมเพลงไปด้วยอย่างมีความสุข
นี่ ถ้าเราย้ายไปอยู่อพาร์ทเมนท์ใหม่ แกรับปากกับพี่ได้มั้ย ว่าจะไม่มีเรื่องกับใครเค้าอีก ราทิตย์วอนน้องชาย
ราทินเลิกฮัมเพลงชั่วคราว ครับ ผมจะพยายาม แล้วร้องเพลงต่อ พลางโยกหัวตามจังหวะ
ทันใดนั้นจังหวะรถติดไฟแดงคนขับแท็กซี่วัยกลางคนใส่แว่นดำ หรี่เสียงเพลงลง
พวกน้องกำลังหาหอใหม่อยู่เหรอ เขาถาม
ครับ ราทิตย์ตอบ โชว์เฟอร์คนนั้นยิ้มแย้มอย่างคนอารมณ์ดี
อืม ผมรู้จักบ้านเช่าหลังหนึ่ง ราคาถูก อยู่แถวหลักสี่นี่เอง หากน้องๆ สนใจบอกได้นะ
เราต้องการอยู่หอ มากกว่า ราทินพูดขึ้น เราอยู่กันแค่สองคน มันคงไม่เหมาะกับเราหรอก
ราทิตย์ยกมือห้ามให้ราทินหยุดพูด ราทิน พี่ว่าเราอยู่บ้านเช่าดีกว่านะ จะได้ไม่ต้องไปกัดกับใครอีก อีกอย่างก็อยู่ใกล้กับมหาลัยแกด้วย จะได้ไม่ต้องเดินทางไกลไง แล้วเขาหันไปมองกระจกคนขับ
เอ่อ ไม่ทราบว่าราคาบ้านหลังนั้นอยู่ที่เท่าไรครับ
ไม่แพงหรอกหนุ่ม ได้ยินเค้าพูดกันว่าเดือนละสามพันเอง โชว์เฟอร์ตอบ
เป็นไปได้เหรอ บ้านอะไรถูกยังกะหอ ราทินพูดแทรก คนขับรถได้ยินแล้วหัวเราะเบาๆ
งั้นช่วยพาไปดูหน่อยละกันครับ ราทิตย์เริ่มสนใจ แล้วหันมาบอกหนุ่มเลือดร้อนอย่างราทินว่า
เอาเหอะน่า เราลองไปดูก่อน ไม่เสียหายอะไรนี่ ถ้าไม่ชอบก็เปลี่ยนใจได้
งั้นก็ตามใจพี่ ราทินยอมแต่โดยดี แล้วคนขับรถแท็กซี่ก็บึ่งหน้าไปยังจุดหมายอย่างรวดเร็ว


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


บทที่ 3 ปริศนาห้องประตูแดง


ภายหลังจากพี่น้องช่วยเก็บของ ทำความสะอาดบ้านเรียบร้อยแล้ว ราทินก็ผล็อยหลับไปด้วยความเพลีย ส่วนราทินก็นั่งพักผ่อนสงบอยู่หลังบ้าน ไม่นานเขารีบโทรศัพท์ไปหาคนคนหนึ่ง

“ ฮัลโหล นีน่า ทิตย์ย้ายที่อยู่ใหม่แล้วนะ อยู่แถวหลักสี่อ่ะ” ราทิตย์พูดขึ้น

“อ้าว ย้ายทำไมล่ะ หรือว่าน้องชายตัวดีไปมีเรื่องกับใครเข้า” เสียงในโทรศัพท์นั้นดังขึ้น

“อืม ใช่ไอ้ราทินดันไปมีเรื่องกับลูกชายเจ้าของหอ เลยโดนไล่ออกเมื่อเช้า โชคดีที่คนขับแท็กซี่แนะนำบ้านเช่าให้ รู้ป่าวบ้านสวยมากเลย” ราทิตย์ในยามนี้ดูอารมณ์แตกต่างจากเมื่อเช้าเหมือนคนละคน

“ระวังนะ อาจเป็นบ้านผีสิงก็ได้ ฮ่า ฮ่า นีน่าล้อเล่นนะ เออแล้วเรื่องนิยายอ่ะ เขียนไปถึงไหนแล้ว อย่าเผลอหลับคาโต๊ะอีกล่ะ รีบเขียนนิยายต่อให้จบ แค่นี้ก่อนนะนีน่ามีงานต้องทำเดี๋ยวค่อยคุยกัน บาย”

สิ้นสุดการสนทนา ราทิตย์นั่งมองสวนหลังบ้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่นัยตาของเขายามนี้ดูค่อนข้างเศร้าๆไปบ้าง ยากที่จะเดาว่าในใจของเขากำลังคิดอะไรกันแน่

หนึ่งทุ่มราทิตย์และราทินก็นั่งประจำโต๊ะรับประทานอาหารพร้อมกัน พร้อมกับเปิดทีวีดูละครไปด้วย

“พี่ราทิตย์ พี่คิดว่าบ้านหลังนี้มีอะไรแปลกๆ มั้ย” ราทินถามขึ้นขณะที่ปากของเขากำลังเคี้ยวข้าว อย่างอร่อย

“ไม่รู้สิ พี่ว่ามันก็ปกติดีนะ หรือแกไปเห็นอะไรเข้าล่ะ” พี่ชายถามกลับ พลางกับเอื้อมมือไปตักไข่เจียว

“ ป่าว ผมก็ถามพี่ไปอย่างนั้นแหละ เออว่าแต่พี่ไม่สงสัยบ้างเหรอ ทำไมตาลุงคนนั้นถึงทาประตูสีห้องเก็บของด้วยสีแดง” ราทินหันมาถามด้วยแววตาจริงจัง ซึ่งเป็นคำถามที่ดูมีสาระขึ้นมาหน่อย ราทิตย์วางช้อนลงกับจาน

“ สงสัยลุงเค้าชอบสีแดงล่ะมั้ง เลยทาสีแดงให้ประตูห้องพิเศษของแก” เขาเอ่ยขึ้นโดยสายตาจ้องมองที่จอทีวี “ทางที่ดี ชั้นว่าไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับห้องนั้น ดีไม่ดีลุงแกจะจับพวกเราเข้าคุก”

“ ผมว่าลุงคนนั้นท่าทางจะเพี้ยนเสียมากกว่า อืม งั้นผมขึ้นห้องไปทำการบ้านก่อนแล้วกัน” ราทินผละจากโต๊ะอาหาร รีบวิ่งขึ้นบันไดอย่างลุกลี้ลุกลน ปล่อยให้พี่ชายนั่งดูรายการทีวีเพียงลำพัง

ราทิตย์กำลังนั่งเขียนนิยายของเขาในห้องอย่างใจจดใจจ่อ ท่ามกลางเสียงเพลง Smell like teen spirit ของวงเนอร์วาน่า ที่บรรเลงอย่างหนักแน่นชวนให้ลุกขึ้นมากระโดดดลดแข้ง คล้ายๆ จะเป็นแรงบันดาลใจในการขียนของเขา เวลาผ่านไปนานเท่าใดก็ไม่ทราบเขาก็ต้องตื่นจากตะเขียนหนังสือ เมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงสาวคราง อือ..อือ..เป็นเสียงลากยาว ชวนขนหัวลุก ราทิตย์สะบัดหัวแรงๆ แล้วปลอบใจตัวเองว่าเราเพิ่งตื่นหูคงฝาดไปเองล่ะมั้ง

เขาเหลือบไปมองหน้าปัดนาฬิกา ตายแล้วนี่มันเที่ยงคืนแล้วหรือ เขายังไม่ได้อาบน้ำเลย เอาล่ะเขียนอีกสักสองสามหน้าค่อยไปอาบแล้วกัน ระหว่างที่จิ้มปากกาลงบนกระดาษ เขาก็ต้องสะดุ้งโหยงขึ้นอีกเมื่อเสียงปริศนานั้นดังขึ้นอีกครั้งในโสตประสาทของเขา หนนี้มันค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ ในบ้านนี้ไม่มีผู้หญิงนี่นา สมองเขาเริ่มคิด และแล้วราทิตย์ก็รวบรวมความกล้าทั้งมวล เดินไปเปิดประตูห้องเพื่อควานหาเจ้าของเสียง เขามองซ้ายมองขวาก็พบแต่ความว่างเปล่า เอ๊ะ ไม่มีใครนี่หว่าแล้วเสียงมันมาจากไหน เขาคิดในใจ แล้วก็เดินเข้าห้องกลับไปเขียนนิยายที่ยังค้างอยู่

ดึกคืนนั้นระหว่างที่ราทิตย์นอนอยู่ก็ต้องตกใจตื่นขึ้นอีกระลอก เมื่อได้ยินเสียง คนทุบประตูห้องของเขาอย่างแรง “ พี่ราทิตย์ พี่ราทิตย์ เปิดประดู เปิดประตู” ราทิตย์ลุกขึ้นอย่างรีบร้อนปิดลูกปิดประตู แล้วร่างของน้องชายก็ผลุนผลันเข้ามายังห้องเขาทันที

“พี่ราทิตย์ ปิดประตู เร็ว เร็ว” ราทินพุดอย่างรวดเร็วจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ จนราทิตย์ต้องเอื้อมมือไปปิดประตู

“ เป็นอะไร ราทิน แกไปเจออะไร ห๊ะ” เขาพูดพลางเขย่าตัวราทิน ผู้ซึ่งในขณะนี้กำลังหายใจถี่ คล้ายคนเป็นโรคหอบ “พี่ เมื่อกี้ตอนผมกำลังจะเดินลงข้างล่างไปเข้าห้องน้ำ เฮ้อ.. เฮ้อ... พอเดินผ่านประตูสีแดง ..เฮ้อ..เฮ้อ..ผมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องให้อยู่ข้างในห้องนั้น ผมสาบาน ”

จากสิ่งที่ได้ยินน้องชายเล่าให้ฟัง ทำให้เขาเองก็นึกถึงเสียงผู้หญิงครางเมื่อตอนเที่ยงคืน แต่ด้วยความที่ไม่ต้องการให้น้องชายกลัวจนสติแตก จึงพูดปลอบขวัญไปว่า

“ ไม่หรอกมั้ง สงสัยแกหูฝาดไปเอง ห้องชั้นอยู่ใกล้ห้องนั้นกว่าแก ไม่เห็นได้ยินเสียงอะไรสักแอะ เลย”

“ แต่ผมได้ยินจริงๆ นะ” ราทินยืนยัน “แกนี่ช่างเพ้อเจ้อจริงๆ ไปเดี๋ยวชั้นไปส่งแกเข้าห้องน้ำเอง” ราทิตย์พูดตัดบท แต่แท้จริงแล้วตัวเขายอมรับว่าจิตใจของเขาตกลงไปอยู่ตรงตาตุ่มแล้วเหมือนกัน

หลังจากพาน้องชายจอมกร้าว แต่กลัวผีขึ้นสมองไปเข้าห้องน้ำแล้ว ทั้งสองพี่น้องก็ต่างแยกย้ายกันเข้าห้องนอน ซึ่งตอนนี้แน่นอนว่าทั้งคู่คงไม่คิดถึงเรื่องอะไร นอกเหนือไปจากปริศนาที่แฝงอยู่ในห้องประตูสีแดงห้องนั้น


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


บทที่ 4 ความฝัน


เวลาประมาณสิบโมงเช้าเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในห้องของราทิตย์ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วกดรับสาย

“ ฮัลโหล ราทิตย์ ตื่นแล้วยัง ตอนนี้นีน่าอยู่หน้าปากซอยแล้วนะ ซื้อของกินมาเยอะแยะเลย รีบมารับด้วยล่ะ”

“ครับ เดี๋ยวจะรีบไป” ราทิตย์ตอบ ก่อนลุกขึ้นเข้าห้องน้ำทำภารกิจส่วนตัว แล้วเดินตรงปรี่ออกไปหน้าปากซอย

“เป็นไงคะ ของที่นีน่าซื้อมาอร่อยรึป่าว” หญิงสาวร่างเล็กผมยาว ร่างงาม หน้าตาน่ารัก เอ่ยถามราทิตย์ขึ้นระหว่างทานอาหารในห้องครัว

“ อืม ก็อร่อยดี” ราทิตย์ตอบสั้นๆ นีน่าสังเกตดูหน้าตาแฟนหนุ่มดูคล้ำๆ ผิดปกติ “ ทิตย์ เมื่อคืนเป็นอะไรรึป่าว ดูไม่ค่อยสดชื่นเลย หรือคงเบื่อที่นีน่ามาหา”

ราทิตย์ผละจากที่นั่งเดินเข้ามาโผกอดนีน่าในท่านั่ง “ แหม ใครจะเบื่อล่ะ แฟนมาหาทั้งที” พร้อมกับหอมแก้มแฟนสาวสุดรัก นีน่าเขินอายเอาข้อศอกกระทุ้งหน้าอกเขาเล็กน้อย

“ จะบ้า ทิตย์ เดี๋ยวเจ้าราทินก็มาเห็นพอดีหรอก นีน่าอายนะ” นีน่าพูดจาเขินอาย สังเกตได้จากแก้มที่แดงขึ้นมา

“ ราทินไปเรียนตั้งแต่เช้าแล้ว ไปช่วยทิตย์เขียนนิยายบนห้องดีกว่า” พูดจบเขาก็อุ้มร่างน้อยๆ ร่างนั้นขึ้นไปบนห้อง

หญิงสาวนอนบนเตียงลายการ์ตูนโดราเอม่อน จ้องมองดูราทิตย์ผู้กำลังนั่งแต่งนิยายอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ “ ทิตย์ นีน่าถามตรงๆ เมื่อคืนเป็นอะไรรึป่าว” นีน่าเอ่ยคำถามนี้ขึ้นอีกครั้ง “สงสัยนอนดึกไปมั้ง เลยรู้สึกอ่อนล้าไปหน่อย” เขาตอบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทันใดนั้นแฟนสาวคนสวยก็ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูห้อง “นีน่า จะไปไหนล่ะ” ราทิตย์ถาม

“ จะไปเข้าห้องน้ำค่ะ ไปด้วยกันมั้ยค่ะ” หล่อนตอบปนสรรพยอก “ เหอะ ไม่ดีกว่าเดี๋ยวเสียสมาธิ ” แล้วเขาก็ก้มหน้าก้มตาบรรเลงตัวอักษรต่อไป

ระหว่างที่นีน่าเดินขึ้นบันได และกำลังจะเดินเข้าห้องหล่อนก็ต้องหยุดนิ่ง เมื่อได้ยินเสียงคนใช้เล็บกรีดประตูห้อง “ แกร๊กกกก....แกร๊ก.....แกร๊กกกกก.....”

เสียงนั้นช่างบาดลึกไปถึงขั้วหัวใจ มันไม่เหมือนเสียงใช้เล็บกรีดประตูธรรมดา หากแต่เจ้าของเล็บนั้นจิกเล็บลงกับเนื้อไม้จนแน่น แล้วค่อยๆ ลากไปมาอย่างช้าๆ หล่อนนึกภาพไม่ออกว่าป่านนี้เจ้าของเล็บจะบาดเจ็บแค่ไหน นีน่าฟังอยู่สักพักจนเสียงเงียบไป เธอจึงรีบเข้าห้องราทิตย์

“ ทิตย์ เกิดอะไรขึ้น ใครขังคนไว้ในห้องประตูสีแดง” นีน่าถามด้วยความตกใจ ราทิตย์ได้ยินถึงกับทิ้งปากกาหันหน้ามาจ้องแฟนสาว

“ นีน่าได้ยินเสียงอะไร เหรอ” เขาถามเสียงสูง นีน่าทำหน้าเหมือนจะร้องให้ “ นี่น่าได้ยินเสียงคนใช้เล็บกรีดประตูในห้องนั้น บอกมานะทิตย์ ใครอยู่ในห้องนั้น” ราทิตย์วิ่งเข้ามากอดนีน่า เอามือลูบไรผมอันสลวย

แล้วเขาก็เล่าทุกสิ่งที่เขากับราทินได้ยินมาเมื่อคืน ให้นีน่าฟังอย่างละเอียด
“ ถามจริงๆ ทิตย์ไม่เคยคิดที่จะลองเปิดประตูห้องนั้นไปดุเลยเหรอ” นี่น่าถาม
“ ทำไงได้ ก็ลุงเจ้าของบ้านเค้าสั่งไว้ว่าห้ามเปิด ทิตย์ไม่ใช่เจ้าของบ้านนี่นา” เขาตอบ
“ เอางี้ดีมั้ย เราไปแจ้งตำรวจดีกว่า” นีน่าออกความเห็น ราทิตย์รีบส่ายหัว
“ ไม่ได้นะ เรายังไม่รู้อะไรเลย ขืนลุงอ๊อดรู้คงแจ้งความกลับแน่ รอให้เราเห็นอะไรที่ชัดกว่านี้อีกเถอะ”

แฟนสาวพยักหน้า “ อืม”

ราทินกลับถึงบ้านตอนประมาณเกือบๆ สามทุ่ม ด้วยความเพลียและหิวจึงรีบกินข้าวเย็นที่ถูกเตรียมไว้แล้ว เขาหยิบรีโมทเปิดดูละครเรื่องหนึ่งดูพลางกินข้าวไปด้วย เขาคิดแปลกใจทำไมคืนนี้กับข้าวมีแต่อาหารหรูๆ ทั้งนั้น ผิดไปกว่าทุกวัน หรือวันนี้พี่เราจะถูกล็อตเตอรี่ แต่ก็ช่างมันเถอะดีกว่ากินอาหารแบบเดิมๆ

“ เอ๊ะ ทำไมพี่ราทิตย์ยังไม่กลับมาบ้านเลย แล้วใครกันจัดอาหารไว้” เขานึกขึ้นได้ว่าพี่ชายบอกไว้ว่าคืนนี้กลับดึก

ตอนนี้เจ้าตัวรู้สึกว่าขนทั่วร่างของเขาต่างพร้อมกันลุกชันขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน

ราทินเก็บจานไปไว้ในอ่างล้างจาน เดินไปเปิดตู้เย็นคว้าขวดน้ำอัดลมยกขึ้นดื่มอย่างกระหาย ยามนี้เขาแปลกใจอย่างยิ่ง เมื่อถลกแขนเสื้อขึ้นมองดูแขนตนเองแล้วพบว่าเหงื่อได้ผุดขึ้นบนผิวหนัง ซึ่งมันเกิดขึ้นได้ยังไงทั้งๆที่เขาเปิดแอร์ไว้ที่ยี่สิบห้าองศาแล้วไม่ใช่หรือ
“ อะไรกัน นี่มันบ้าไปแล้ว” เขาพึมพำกับตัวเอง “ อืม เข้าห้องน้ำล้างเนื้อล้างตัวสักหน่อยก็ดีวะ” แล้วราทินก็ตรงดิ่งไปยังห้องน้ำ แล้วเปิดประตู

“ เฮ้ย” เขาร้องตะโกนเสียงหลง ขาทั้งสองข้างบัดนี้ไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะพยุงตัวให้ยืน ราทินนั่งก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นห้องอันเย็นเฉียบ ตาของเขาลุกถลน หน้าตาแตกตื่นสุดขีด เมื่อเห็นภาพบางอย่างในห้องน้ำ

ในห้องน้ำกระเบื้องสีขาว ได้ปรากฏร่างผู้หญิงคนหนึ่งในชุดนอนลายดอก เนื้อตัวซีดจนเป็นสีขาวหมดทั้งร่าง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งการถูกทารุณ นัยน์ตาอันแดงก่ำคู่นั้นได้เพ่งมาที่ร่างของราทินที่นิ่งแข็งเสียยิ่งกว่ารูปปั้น พร้อมกับเผยอริมฝีปากซีดๆ ก่อนเอ่ยออกมาอย่างเยือกเย็นว่า

“แหวนวงนั้น แหวนวงนั้น หามันให้เจอ”

ราทินร้องตะโกนด้วยความกลัว “ ไม่ ไม่ ไม่....”

“ราทิน ราทิน เป็นอะไร” ราทิตย์เขย่าตัวน้องชายที่กำลังนอนดิ้นอย่างสุดแรง และแล้วดวงตาของราทินก็ค่อยๆ เปิดขึ้น “พี่ราทิตย์ ผมฝันร้าย ผมฝันร้าย ช่วยด้วย” ราทินโผกอดพี่ชายอย่างแน่น ราทิตย์เห็นเขากำลังเสียขวัญ จึงค่อยๆ สอบถาม “ บอกพี่มา แกฝันยังไง” แล้วราทินก็ลำดับความฝันเมื่อชั่วครู่ให้พี่ชายฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

“ ผมว่าเราอยู่บ้านหลังนี้ไม่ได้แล้วนะ” ราทินพูดน้ำเสียงสั่น

“ เอาล่ะ คืนนี้มานอนกับพี่แล้วกัน”

สิ้นคำพูดนั้นราทินรีบหอบที่นอนของตนมายังห้องราทิตย์ ทันที จากคนที่ไม่เคยกลัวอะไรมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอเจอเรื่องแบบนี้ถึงกับถอดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ราทิตย์เห็นน้องชายของเขาสวดมนต์อย่างตั้งใจจริง จนเขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


บทที่ 5 คืนหลอน

หน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาตีหนึ่งเศษๆ บนเตียงนั้นสองพี่น้องต่างนอนหันหลังให้แก่กัน ราทินยังไม่หลับเพราะมัวแต่ครุ่นคิดถึงความฝันที่เกิดขึ้นกับตัวเขา เป็นเวลาเดียวกับที่พี่ชายก็อดนึกถึงปริศนาที่ค่อยๆ ชวนให้พวกเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง “ พี่ราทิตย์ นอนแล้วยัง” ราทินถามขึ้นทำลายความเงียบ

“ใกล้จะนอนแล้ว ป่านนี้แล้วทำไมแกยังไม่นอนอีก พรุ่งนี้เรียนเช้าไม่ใช่หรือ” เขาแสดงความห่วงใยน้องชาย

“ ก็แค่ความฝันน่ะ อย่าคิดมาก รีบนอนได้แล้ว” ราทินพยายามปลอบใจน้อง

“ พี่ครับ ถามจริงๆ พี่ไม่กลัวบ้างเหรอ” ราทินอดใจไม่ได้ที่จะถาม

“ แล้วแกเคยเห็นชั้นกลัวมั้ยล่ะ” แล้วทั้งคู่ก็นอนนิ่งไม่พูดจาอะไรกันอีกเลย

“แอ็ดดดด...” คุณพระช่วยนั่นเสียงคนเปิดประตูห้องข้างนอก ราทิตย์และราทินได้ยินแล้วถึงกับลุกขึ้นในท่านั่ง

ใจของพวกเขาทั้งคู่ขณะนี้มันช่างเต้นแรงเหมือนใครมาตีกลองอยู่ข้างใน ราทิตย์ทำตัวเงียบๆ โดยที่มือของเขาข้างหนึ่งนั้นกำลังปิดปากราทินอยู่ เขาตั้งสมาธิพยายามฟังเสียงนั้น

“ แตะ แตะ แตะ....” นรกเป็นพยาน เขาได้ยินเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งกำลังเดินอยู่บนทางเดินชั้นเดียวกับเขา

“ใครกัน มาเดินอยู่หน้าห้องเรา” ราทิตย์กระซิบ ถามน้องชายด้วยเสียงที่เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เป็นเวลาเดียวกับที่ราทินสะบัดมือของพี่ชายที่กำลังปิดปากเขาออกไป


“ พี่นีน่ามาหารึป่าว” น้องชายกระซิบตอบด้วยความสงสัย “ จะบ้าเรอะ นีน่าเพิ่งคุยโทรศัพท์กับชั้นเมื่อครึ่งชั่วโมงนี่เอง” เสียงย่ำเท้าอันสยองขนผองเกล้ายังคงได้ยินอยู่เรื่อยๆ และค่อยๆดังขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งมันมาหยุดตรงหน้าห้องของพวกเขา

“ ปัง ปัง ปัง..” เสียงทุบประตูห้องดังขึ้น เล่นเอาพี่น้องทั้งคู่ถึงกับกอดกันกลม ตอนนี้ราทิตย์เชื่อแล้วว่าบ้านหลังนี้ไม่ได้มีแต่เพียงเขาและราทินเท่านั้น แล้วใครกันที่บุกรุกบ้านในยามวิกาลเช่นนี้

“ พี่ราทิตย์ ลุกไปเปิดประตูสิพี่ ไปดูให้ชัดๆว่าใครมาหา” ราทินเปล่งเสียงผ่านริมฝีปาก น้ำตาไหลพราก

ราทิตย์หลับตานิ่ง ระลึกถึงพระคุณเจ้าขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายคุ้มครองด้วยเถิด เขารวบรวมความกล้าที่มีอยู่แล้วตัดสินใจวิ่งไปเปิดประตูห้องอย่างรวดเร็วปานฟ้าผ่า

“ ใคร” เขาตะโกนอย่างเดือดดาล พลางกวาดสายตามองหาแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้น แต่ก็ไม่พบเห็นอะไรแม้แต่รอยเท้า ราทินวิ่งมาหาเขา “ไม่ไหวแล้วพี่ พรุ่งนี้เราย้ายออกเถอะ”

“ พรุ่งนี้พี่จะโทรถามลุงอ๊อดเอง” คราวนี้ราทิตย์ชักไม่ไว้ใจชายเจ้าของบ้านอีกต่อไปแล้ว
ตลอดคืนนั้นสองพี่น้องเปิดไฟทุกดวงภายในบ้าน แล้วลงมานั่งดูทีวีกะให้ถึงรุ่งเช้า โดยภาวนาว่าขออย่าให้พบเจออะไรที่มันไม่ชอบมาพากลแบบนี้อีกเลย


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


บทที่ 6 สิ่งของปริศนา


เช้าวันนั้นราทินไม่ได้ไปเรียน เนื่องจากยังทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์สยองที่เขาและพี่ชายประสบมาเมื่อคืน ขณะนี้เขานอนอยู่ในห้องข้างบน ราทิตย์รีบโทรหาลุงอ๊อดเจ้าของบ้านอย่างอดใจไม่ไหว แต่ปรากฏว่าไม่มีใครรับสายซะที วันนี้นีน่ารีบมาหาราทิตย์แต่เช้าตรู่ หลังอาหารมื้อเช้าทั้งนั่งคู่สนทนากันภายในห้องรับแขก โดยราทิตย์ได้เล่าความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้เธอฟัง

“ ตายจริง นีน่าก็ฝันว่า มีหญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดนอนลายดอก เดินมาหาแล้วบอกว่าช่วยหาของสิ่งหนึ่งในห้องน้ำบ้านหลังนี้ให้เธอหน่อย แล้วร่างนั้นก็หายไป” ราทิตย์ฟังด้วยความสนใจ เขาเริ่มคิดเชื่อมฝันของราทินและนีน่าเข้าด้วยกัน “ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงแสดงว่าคนที่มาเคาะประตูห้องนอนเมื่อคืน คงเป็นผู้หญิงคนนั้น” ราทิตยืเริ่มมั่นใจ

“ แล้วเค้าให้เราหาของสิ่งนั้นเพื่ออะไรกันล่ะ” นี่น่าสงสัย “ไม่รู้สิ บางทีเค้าอาจรอคอยความช่วยเหลือจากเราอยู่ก็ได้” แล้วเขาก็กุมมือแฟนสาวไว้แน่น “งั้นเราเริ่มหาของที่ว่านั่นดีกว่า” ทั้งคู่รีบไปยังห้องน้ำ

เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง ราทิตย์และนีน่าต่างพากันค้นหาของปริศนาตามความฝัน จนทั่วทั้งห้องน้ำ แต่ก็ไร้วี่แววว่าจะเจอของสิ่งนั้น “ สงสัยเราคงหาไม่เจอแล้วล่ะ ทิตย์” นีน่าเริ่มแสดงให้เห็นถึงอาการหมดความหวัง “เดี๋ยวก่อน” ราทิตย์ฉงนใจ “ยังมีอยู่ที่ๆ หนึ่งที่เรายังไม่ได้เปิดดู”

ทันใดนั้นเขารีบเปิดฝาถังน้ำที่กดชักโครกออก แล้วสายตาไปกระทบเข้ากับสิ่งๆหนึ่ง “ แหวน นี่นะรึคือสิ่งที่หญิงคนนั้นให้เราหา” เขาพูดพลางหยิบแหวนนั้นขึ้นมาพินิจ มันเป็นแหวนทองเหลืองของสตรี ขนาดเท่าๆกับสวมนิ้วนางได้ แต่ที่แปลกไปคือรอบๆแหวนวงนั้น ถูกสลักด้วยอักขระภาษาๆ หนึ่ง ซึ่งเขาเองก็ไม่อาจทราบว่าเป็นภาษาอะไรกันแน่

นีน่าชิงแหวนมาจากอุ้งมืออันเปียกชุ่มของเขา “ นี่มันเป็นอักษรเขมรโบราณนี่” นี่น่าอุทานขึ้นมา “เท่าที่นีน่าเคยได้ยินมา มันมักจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของการใช้สะกดวิญญาณอะไรสักอย่าง” ราทิตย์พยักหน้า “เราพอเริ่มจะรู้คร่าวๆแล้ว ลองเดินสำรวจทั่วบ้านดีกว่า เผื่อเราอาจเจอหลักฐานนอกเหนือกว่านี้อีกก็ได้”

คู่รักต่างแยกย้ายเดินสำรวจทั่วๆ บ้าน จนแน่ใจแล้วว่าคงไม่เจออะไร นอกจากปริศนาที่อยู่ในห้องประตูสีแดง จนกระทั่งเดินออกมาสำรวจนอกบ้าน ราทิตย์เห็นขวดแก้วขวดหนึ่ง ตกอยู่หลังพงหญ้าริมหน้าต่างบ้าน เขาไม่ติดใจอะไรกับมัน แล้วก็ต้องฉงนใจเมื่อพบว่ากระดาษใบหนึ่งถูกม้วนใส่ในขวดนั้น เขาหยิบขวดขึ้นมาแล้วซัดลงกับพื้นจนเศษแก้วแตกละเอียด ก่อนที่ราทิตย์จะใช้นิ้วคีบกระดาษม้วนนั้นออกมาคลี่อ่านดู

“ ช่วยด้วย ฉันอยู่ในบ้านหลังนี้ ใครก็ได้แจ้งตำรวจที” นั่นเป็นข้อความที่เขียนบนกระดาษแผ่นนั้น

“ แจ้งความเถอะทิตย์ เชื่อนีน่า” แฟนสาวออกความเห็น



“ คุณแน่ใจหรือว่า มีผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลืออยู่บนบ้านหลังนั้น” ตำรวจหนุ่มนายหนึ่ง หน้าตาสะอาดสะอ้าน คิ้วดก ถามราทิตย์และนีน่าขึ้น “ครับ ผมมั่นใจ น้องชายและแฟนของผมฝันว่ามีผู้หญิงตามหาแหวนวงหนึ่งอยู่ในบ้าน” ราทิตย์พยายามอิบาย

ตำรวจผู้นั้นอัดบุหรี่เข้าไปเต็มปอด แล้วพ่นควันออกมายาวเป็นทาง “ พวกคุณจะเชื่ออะไรกันกับกระดาษแค่แผ่นเดียว อาจเป็นใครก็ได้แกล้งเขียนมันขึ้นมาแล้วยัดใส่ปากขวด เพื่อความสนุก ที่ต้องเห็นคนอื่นสนใจกับสิ่งที่ตนเองทำ” แน่นอนล่ะการที่จะให้ตำรวจเชื่อค่อนข้างยากเสียแล้ว

“ แต่เมื่อคืนผมได้ยินเสียงเธอมาเคาะประตูห้องผมนะครับ” ราทิตย์ไม่ลดความพยายาม

“ หึ หึ นี่สงสัยคุณคงพี้กัญชาจนหลอนไปเองกระมัง ” ทันใดนั้นราทิตย์ลุกขึ้นจากเก้าอี้เตรียมกระชากหมัดหมายจะประเคนกำปั้นไปยังเจ้าของใบหน้าซึ่งสวมชุดเครื่องแบบ นีน่ารู้ทันจึงรั้งตัวเขาไว้ “ พอเหอะทิตย์ พูดไปเขาก็ไม่เชื่อเราหรอก กลับกันเถอะ” แล้วทั้งคู่ก็เดินออกจากสถานีตำรวจ อย่างไม่พอใจโดยเฉพาะราทิตย์


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บทที่ 7 รัตติกาลมรณะ

ราทิตย์กลับถึงบ้านเพียงลำพัง เขาเลือกนั่งสงบสติอารมณ์ที่ม้านั่งหน้าบ้าน พร้อมกับพยายามปะติดปะต่อเรื่องความฝัน แหวนปริศนา และข้อความบนกระดาษที่ตนเองเจอ ให้เข้าด้วยกัน แต่ก็ไม่สามารถผูกเรื่องเข้ากันได้ เขาตัดสินใจโทรหาลุงอ๊อดอีกครั้ง คราวนี้ชายเจ้าของบ้านคนนั้นกลับปิดเครื่องมือสื่อสารเสียสนิท ราทิตย์ขบกรามแน่ ใช้หมัดชกต้นมะม่วงอย่างจัง จนมือออกเลือดไหลซิกเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในบ้าน

“ พี่ราทิตย์ วันนี้ผมไปงานวันเกิดเพื่อนคงกลับใกล้สว่าง พี่ไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อนะ” ราทินเอ่ยขึ้น ขณะที่กำลังง่วนอยู่กับการแต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อเตรียมไปปาร์ตี้

“ อืม ดูแลตัวเองดีๆก็แล้วกัน ถ้าเมามากค้างบ้านเพื่อนก็ได้” ถึงอย่างไรเขาก็อดเป็นห่วงน้องชายไม่ได้

“ ไม่เป็นไรหรอกพี่ ว่าแต่ทำไมพี่ไม่ชวนพี่นีน่ามาอยู่เป็นเพื่อนล่ะ”

ราทิตย์นิ่งเงียบสักพัก เดินเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำเรินใส่แก้ว “คืนนี้นีน่าติดงานดึก ต้องปั่นต้นฉบับให้ทันก่อนเที่ยงคืน คงมาหาไม่ได้หรอก” เขาพูดพลางยกแก้วดื่มน้ำ

หลังจากแต่งตัวเสร็จบัดนี้ราทินดูเหมือนชาวร็อคไม่มีผิด “ งั้นผมไปก่อนนะ” เขาลาพี่ชาย
“เออ อย่าลืมที่พี่บอกแล้วกัน” แล้วราทินเดินเปิดประตูออกไป

ราทิตย์กำลังนั่งเขียนนิยายของเขาบนห้องนอน ด้วยจิตใจอันวอกแวกและสับสน บ่อยครั้งที่เขาต้องฉีกหน้ากระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่าทิ้งถังขยะ บรรยากาศยามดึกปรากฏเสียงฟ้าร้องเป็นระยะ ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ และแล้วทะเลฝนก็พลัดตกลงบนหลังคาบ้าน ราทินหยิบแหวนวงนั้นออกมาดูอีกที ใช้สายตาเพ่งไปที่อักขระที่อยู่รายรอบแหวน แม้ตัวเขาเองจะอ่านไม่ออกก็ตาม

“ ถ้าแหวนวงนี้เกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้นจริง ...นี่อาจเป็นแหวนสะกดวิญญาณ” เขาพึมพำกับตัวเอง “แล้วจะมีวิธีแก้อย่างไรกัน” ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะเริ่มแกะปริศนาออกทีละเล็กน้อย เขาเริ่มนึกถึงข้อความบนกระดาษแผ่นนั้น พร้อมกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ตัวเองได้เจอมา เขาหลับตาทั้งสองข้าง ราทิตย์ใช้สตินึกคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนลืมตาขึ้นมา

“ หรือลุงอ๊อดจะสะกดวิญญาณไว้ในห้องประตูสีแดง” ราทิตย์พูดอย่างมีความหวัง
สิ้นคำพูดไฟฟ้าภายในห้องก็ดับลง เหลือแต่ความมืดมิด

ราทิตย์สะดุ้งเขาเก็บแหวนในกระเป๋าเสื้อ เดินไปค้นหาไฟฉายในลิ้นชักตู้เสื้อผ้า และแล้วไฟฉายเจ้ากรรมก็พลันหล่นจากมือของเขา เมื่อได้ยินเสียงคนเขย่าประตูห้องข้างนอกอย่างสุดแรง ราทิตย์บอกกับตัวเองว่าถึงอย่างไรคืนนี้เขาจะต้องรู้ความลับในบ้านหลังนี้ให้ได้ เขานั่งหมอบพลางเอื้อมมือไปหยิบไฟฉายแล้วกดสวิตช์ แสงวงกลมสีส้มสว่างขึ้น ภายนอกห้องเสียงคนเขย่าประตูยังไม่ยอมหยุดและค่อยๆแรงขึ้น

หัวใจหนุ่มนักเขียนในตอนนี้มันเต้นถี่ เหมือนกับจะระเบิดให้รู้แล้วรู้รอด เเม้อากาศจะเย็นยะเยือก แต่เขารู้สึกว่าร่างกายของตนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ราวอยู่ท่ามกลางทะเลทรายซาฮาร่า ราทิตย์สูดลมหายใจเต็มปอด ขบกรามแน่น มือซ้ายเอื้อมไปคว้าขวานเล่มหนึ่งที่อยู่ตรงใต้เตียง ซึ่งเขาพบมันหลังบ้านจึงนำมาเก็บไว้บนห้องเพื่อเป็นอาวุธ หากเกิดอันตรายขึ้นแก่ตนเอง

ทันใดนั้นเขาก็รีบวิ่งไปหาที่มาของเสียงพลางส่องไฟฉาย โดยที่มืออีกข้างกำขวานไว้แน่ จนมาถึงหน้าห้องประตูสีแดง เหมือนกับคนหมดความอดทนบัดนี้ราทิตย์ดูเป็นคนบ้าคลั่ง เขาใช้ขวานจามลงไปที่ลูกบิดประตูสองสามครั้ง แล้วตัวเขาก็พังประตูเข้าไปในห้องนั้น ราทิตย์ไม่อยากเชื่อเลยว่า ขณะนี้เขาได้เข้ามายังห้องปริศนาแล้ว แสงไฟฉายถูกสาดส่องไปทั่วห้อง

จากภาพที่เห็นมันก็เป็นห้องโถงธรรมดา มีเก้าอี้ไม้วางอยู่ริมพนังห้อง ก่อนที่แสงไฟลำไฟฉายจะไปกระทบกับสิ่งหนึ่งที่อยู่เด่นตรงกลางห้อง ชนิดที่ทำให้เขาตาค้าง
สิ่งที่ว่านั้นเป็นกล่องไม้สีแดง รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดความยาวห้าฟุตวางเด่นอยู่กับพื้นกลางห้อง

“ โลงศพ” ราทิตย์ตะโกนเสียงสูง ความรู้สึกนาทีนี้เขาอยากจะหนีออกจากบ้านให้พ้น แต่ไหนๆ ก็มาถึงจุดนี้แล้วลองเปิดโลงดูสักหน่อยจะเป็นไร เขาเดินมาถึงหน้าโลงนั้นก่อนใช้มือค่อยๆผลักฝาโลงตกลงบนพื้นจนดังเสียงชนิดหนึ่งซึ่งทำให้เขาตกใจอย่างบอกไม่ถูก และแล้วราทิตย์ก็ใช้ไฟฉายส่องลงไปข้างใน พื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้านั้น

“ เฮ้ย” เขาผงะจากโลงนั้นทันที ล้มลงกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า ในใจนึกถึงพระสงฆ์องค์เจ้า ดูเหมือนสติสัมปะชัญญะของเขายังคงอยู่ นี่ถ้าเป็นคนอื่นเผลอๆอาจช็อกตายไปแล้ว ราทิตย์พยุงตัวเองขึ้นนั่งแล้วค่อยๆชะโงกหน้าไปมองสิ่งที่อยู่ภายในโลงอีกที

ในโลงนั้น มีร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งสังเกตจากผมอันแห้งยาว กับชุดนอนที่สวมใส่คงเดาได้เลยว่าเป็นผู้หญิง แต่อายุเท่าไรคงไม่มีใครทราบ เพราะเนื้อหนังมังสาทั่วร่างของศพนั้น ช่างเหี่ยวแห้งจนแทบเป็นเนื้อเดียวกับกระดูก ใบหน้านั้นปราศจากหนังแลเห็นกะโหลกได้อย่างชัดเจน

“คุณพระช่วย” ราทิตย์เปล่งเสียงเล็ดรอดไรฟันออกมา เขารีบยืนขึ้นหันหลังแล้ววิ่งออกทางประตู แต่ก่อนที่จะก้าวผ่านออกจากห้อง เขารู้สึกว่ามีของแข็งมากระทบกับศีรษะของตนอย่างแรง แล้วความรู้สึกทั้งมวลของราทิตย์ก็ดับลงชั่ววูบ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


บทที่ 8 ความลับ

ราทิตย์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ท่ามกลางห้องที่มีแสงนีออนสว่างไปทั่ว เขาพบว่าตนเองกำลังจับมัดนั่งอยู่กับเก้าอี้ หันหน้าไปทางซ้ายมือ สายตาเหลือบไปเห็นโลงๆนั้น ใครกันที่เป็นคนจับมัดตัวเขาคำถามนั้นเกิดขึ้นในใจ

“ ตื่นแล้วเหรอ พ่อหนุ่ม” คำพูดนั้นดังมาจากริมห้อง เขารีบหันไปมองเจ้าของเสียง

“ลุงอ๊อด” เขาอุทานขึ้น เมื่อเห็นชายวัยกลางคนเจ้าของบ้านที่ให้เ
แก้ไขล่าสุดโดย System of Valentine เมื่อ Wed Nov 13, 2013 19:18, ทั้งหมด 1 ครั้ง
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 177
ที่อยู่: morning
โพสเมื่อ: Wed Nov 13, 2013 23:03
[RE: ปริศนาห้องประตูแดง...ปฐมบทแห่งฆาตกร]
ได้อ่านไป 2 บทก่อนหน้านี้ น่ากลัวมากลงชื่อไว้ก่อน เด๋วจะกลับมาอ่านจ้าา

ขอบคุนมากนะครับบบ
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
ปลายอาชีพค้าแข้ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 27 Feb 2011
ตอบ: 25098
ที่อยู่: Theater of Dreams
โพสเมื่อ: Fri Nov 15, 2013 13:13
[RE: ปริศนาห้องประตูแดง...ปฐมบทแห่งฆาตกร]
ต่อนะครับ


บทที่ 8 ความลับ

ราทิตย์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ท่ามกลางห้องที่มีแสงนีออนสว่างไปทั่ว เขาพบว่าตนเองกำลังจับมัดนั่งอยู่กับเก้าอี้ หันหน้าไปทางซ้ายมือ สายตาเหลือบไปเห็นโลงๆนั้น ใครกันที่เป็นคนจับมัดตัวเขาคำถามนั้นเกิดขึ้นในใจ

“ ตื่นแล้วเหรอ พ่อหนุ่ม” คำพูดนั้นดังมาจากริมห้อง เขารีบหันไปมองเจ้าของเสียง

“ลุงอ๊อด” เขาอุทานขึ้น เมื่อเห็นชายวัยกลางคนเจ้าของบ้านที่ให้เขาและราทินเช่า กำลังงวนอยู่กับกระเป๋าใบหนึ่ง

“ นี่ลุงจับผมทำไม ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ” ราทิตย์พูดพลางกับดิ้นหวังให้หลุดจากเก้าอี้ แล้วชายคนนั้นก็ค่อยๆ ตรงมาหาเขา “ คิดว่าชั้นจะโง่เรอะ หึ หึ ในเมื่อฉันเตือนเธอแล้วว่าอย่ามายุ่งในห้องนี้ แต่เธอก็ยังดันทุรังเข้ามาจนได้” ลุงอ๊อดพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่สำหรับผู้ที่ได้ยินเสียงนั้นแล้วถึงกับต้องสะพรึงกลัว ชายวัยกลางคนหยิบโลหะเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แสงแวววาวจากโลหะนั้นเข้ามากระทบดวงตาของราทิตย์ ใช่แล้วนั่นเป็นมีดที่หมอใช้ผ่าตัดนี่นา แล้วลุงอ๊อดใช้มีดปลายแหลมกรีดเป็นแผลบางๆแต่ชุ่มไปด้วยเลือดที่แก้มของราทิตย์

“โอ้ย....”หนุ่มวัยยี่สิบห้าปีร้องด้วยความเจ็บปวด ทันใดนั้นชายวัยกลางคนก็ค่อยๆ บรรจงเลียเลือดจากแก้มของราทิตย์ แล้วกลืนมันลงคอ “ เลือดเธอนี่หวานดีนะ ชั้นชักชอบซะแล้วสิ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ” ลุงอ๊อดหัวเราะอย่างมีความสุข

“ นี่แกมันโรคจิตชัดๆ” ราทิตย์ร้องด่าชายผู้นั้นซึ่งกำลังเลียริมฝีปากอย่างเอร็ดอร่อย
“ เฮ้ ใจเย็น หลานชาย” ลุงอ๊อดพูดขึ้นพร้อมกับยกมือห้าม ก่อนที่เขาจะเดินไปที่โลงๆ นั้น
“ นี่เธอปลุกเมียชั้นตื่นนะ” เขาเอื้อมมือไปลูบไรผมศพหญิงคนนั้น “ ไม่มีอะไรหรอกน่า อารยา หลับซะเถอะ เดี๋ยวชั้นจะส่งเค้ากลับบ้านเอง” เสียงนั้นพูดอย่างนุ่มลึก
“ ศพนั่นเป็นใครเหรอ ทำไมแกไม่เอาไปเผา” ราทิตย์ถามขึ้น ทันใดนั้นกำปั้นของลุงอ๊อดก็ชกเปรี้ยงเข้าที่ใบหน้าของชายหนุ่ม “ พาไปเผาเรอะ หึ หึ” ราทิตย์ถุยน้ำลายปนเลือดลงบนพื้น “ผู้หญิงคนนี้ชั้นรักยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดในโลก แต่ในเมื่อบังเอิญชั้นฆ่าเธอลงไปอย่างไม่ตั้งใจ รู้มั้ยชั้นเสียใจขนาดไหน” ลุงอ๊อดน้ำตาไหลออกมา “ชั้นมันโง่ ชั้นมันโง่ ฮือ ฮือ ...ถึงอย่างไรอารยาผู้นี้ต้องเป็นของชั้นตลอดไป” ชายผู้นั้นนั่งลงกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“ ทำไมแกถึงฆ่าเค้า แกรักเค้ามากไม่ใช่เหรอ” ราทิตย์ถามอย่างสนใจ เขาพยายามใช้จิตวิทยาอย่างสุดความสามารถ

ชายวัยกลางคนหัวเราะปนร้องให้ “ ไหนๆ คืนนี้แกก็ต้องตายอยู่แล้ว ในฐานที่กล้าบุกห้องของชั้น เหอะ เหอะ ชั้นจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เอาบุญก้แล้วกัน” ลุงอ๊อดควักซิการ์ขึ้นจุดสูบ
“ ผู้หญิงคนนี้ชื่ออารยา เธอเป็นแฟนของลูกชายชั้นเอง หลังจากเมียชั้นตายไปหลายปี ชั้นก้ไม่เคยเหลียวมองผู้หญิงคนไหนอีกจนกระทั่งเจอเธอผู้นี้ ครั้งแรกที่ชั้นเห็นเธอ อารยาช่างสวยงามปานนางฟ้า ชั้นสารภาพว่าตกหลุมรักเธอทันทีตั้งแต่วินาทีนั้น แต่อย่างว่าเธอดันเป็นแฟนของไอ้รัน ชั้นก็เลยต้องแอบรักเธออย่างเงียบๆ ทั้งที่ไม่มีใครรู้”

เสียงนั้นเงียบไปสักพัก “ จนวันหนึ่งขณะที่ชั้นอยู่บ้านหลังนี้ ไอ้รันพาอารยามาให้ชั้นดูแล เพราะมันมีธุระต้องไปต่างจังหวัด” เขาเล่า “แล้วแกก็ข่มขืนเธอ ใช่มั้ย” ราทิตย์แทรกขึ้น ใบหน้าอันเต็มไปด้วยเครานั้นหันมาสบสายตาราทิตย์ “ ใช่ วันนั้นฉันทนไม่ไหวกับสิ่งที่อัดอั้นในหัวใจ ก็เลยทำตามความเรียกร้อง โดยการสารภาพรักกับเธอแต่พออารยาได้ยินสิ่งที่ชั้นพูดออกไป เธอพยายามหนีออกจากบ้านจนกระทั่งชั้นจัดการจับเธอข่มขืน” เสียงฟ้าร้องเงียบลงไป พร้อมกันกับที่เม็ดฝนค่อยๆซาลงบ้าง

“ หลังจากข่มขืนเสร็จ ชั้นเลยตัดสินใจขังเธอไว้ในห้องประตูสีแดงห้องนี้ โดยตัวเองจะแวะเข้ามาให้อาหารเธอทุกวัน ส่วนไอ้รันชั้นก้บอกมันไปว่าแฟนหนีไปไหนก้ไม่รู้ มันก็ออกตามหาแฟนมัน นั่นเป็นโอกาสดีที่ชั้นจะได้อยู่กับอารยาสองต่อสอง” ลุงอ๊อดสีหน้าดูมีความสุขขึ้น “แล้วทำไมแกถึงฆ่าอารยาล่ะ” ราทิตย์อดสงสัยไม่ได้

“ วันหนึ่งขณะที่ชั้นกำลังจะข่มขืนเธอ เกิดพลาดท่าเมื่ออารยากัดใบหูของชั้นจนเลือดอาบ ด้วยความโมโหขีดสุดเลยบีบคอเธอจนตาย” เขาเริ่มเสียงสะอื้นอีกครั้ง “ แต่ด้วยความที่ยังคงรักเธอ ชั้นก็เลยหาโลงมาใส่ร่างเธอไว้ วันดีคืนดีถ้าชั้นเกิดคิดถึงเธอ ก็จะมาหาเหมือนทุกๆ ครั้ง นี่แกรู้อะไรมั้ยตอนเธอตาย ยิ่งน่ารักกว่าตอนมีชีวิตซะอีก”

ราทิตย์ได้ยินถึงกับช็อก “ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแหวนวงนั้นหรือ” คราวนี้ลุงอ๊อดเดือดดาล ปรี่เข้ามาบีบคอราทิตย์ “บอกมา แกเจอแหวนนั่นที่ไหน เอามันมาเดี๋ยวนี้” ราทิตย์รวบรวมกำลังยกเท้าขึ้นถีบยอดอกจนชายคนนั้นกระเด็น ก่อนที่จะร้องขอความช่วยเหลือ ลุงอ๊อดรีบลุกขึ้น

“เวลาของแกหมดแล้ว หลานชาย แกนี่รู้มากจริงๆ” แล้วแกก็เงื้อมีดขึ้นหมายจะปาดคอราทิตย์ให้สิ้นลมหายใจ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ฝ่าเท้าของใครบางคนประทับลงไปบนแผ่นหลังชายโรคจิต จนล้มคว่ำ

“ ไอ้แก่ นี่แกทำอะไรพี่ชายชั้น” ราทินคำรามขึ้นอย่างน่ากลัว แล้วเขาก็รีบไปแก้มัดพี่ชาย ยังแก้ไม่ทันเสร็จลุงอ๊อดก็รวบร่างของราทินลงกับพื้นห้อง จนเกิดการต่อสู้กัน ราทินโดนคมมีดในมือลุงอ๊อดบาดไปหลายแผล ทันทีที่เขาลุกขึ้นก็รีบไปหยิบขวาน แล้วเขวี้ยงไปสุดแรงไปถูกขาข้างหนึ่งของลุงอ๊อดเข้าอย่างจัง ร่างนั้นถึงกับทรุดลง ราทิตย์พยายามสลัดให้ตัวเองหลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการ จนมือขวาหลุดออกจากเชือก เสียงชายโรคจิตร้องโหยหวน ราทินพยายามจะกระทืบซ้ำแต่โดนมือของลุงอ๊อดปัดจนล้มลง ไม่รอช้าราทิตย์หยิบแหวนออกจากกระเป๋าเสื้อ เขาหลับตานึกถึงสิ่งที่วิญญาณของอารยาปรากฏในฝันของนีน่าและราทิน “ ถ้าแหวนวงนี่มีอาคมสะกดวิญญาณจริงๆ งั้นเราก็ต้องทำให้อาคมนั้นเสื่อม” พูดจบเขาทิ้งแหวนลงบนพื้นแล้วใช้รองเท้าเหยียบแน่น

“ อย่า” เสียงลุงอ๊อดร้องด้วยความกลัว ทันใดนั้นเกิดกลุ่มควันสีขาวเต็มห้อง ผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่ราทินเห็นในความฝัน ร่างนั้นเดินไปหาชายโรคจิตที่บัดนี้ตกใจสุดขีด ก่อนที่จะใช้มือทั้งสองข้างจับหัวของลุงอ๊อด

“ แก ไอ้โรคจิต” วิญญาณหญิงสาวตะโกนขึ้นอย่งอาฆาต พร้อมกับหมุนคอลุงอ๊อดจนดังเสียงกระดูกหัก ราทิตย์และราทินนั่งกอดกันกลมสายตามองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่งสะพรึงกลัว วิญญาณตนนั้นค่อยๆกลายสภาพเป็นหญิงสาวสวย หันหน้ามาบอกพี่น้องทั้งคู่ “ขอบใจพวกเธอมาก ที่ช่วยปลดปล่อยวิญญาณของชั้นสู่สุขคติ ถ้าเธอเจอคนรักของชั้นฝากบอกด้วยว่าชั้นรักเค้ามาก หากชาติหน้ามีจริงขอให้เราอยู่ร่วมกันอีก” สิ้นคำพูดวิญญาณตนนั้นก็หายวับไปกับกลุ่มควัน ทิ้งให้สองพี่น้องนั่งตาค้างอยู่อย่างนั้น

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


บทที่ 9 ปฐมบทแห่งฆาตกร

รุ่งเช้านีน่าทราบข่าวจึงได้แจ้งตำรวจมายังบ้านหลังนี้ ราทิตย์เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ตำรวจฟังอย่างละเอียด “ ผมต้องขอโทษพวกคุณด้วย ที่วันนั้นไปกล่าวว่าพวกคุณ” ตำรวจคนนั้นแสดงความขอโทษต่อราทิตย์ เขามองหน้าแล้วยิ้ม “ ไม่เป็นไรครับ ถ้าเป็นผม ผมก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน เรื่องแบบนี้มันต้องเกิดกับตัวเองถึงจะเชื่อ” แล้วเขาก็พูดจากับตำรวจหนุ่มอย่างเป็นกันเอง ความรู้สึกของราทิตย์ตอนนี้เหมือนเพิ่งยกภูเขาออกจากอก ระหว่างสนทนาอยู่นั้น มีรถเก๋งบีเอ็มดับเบิ้ลยูคันหนึ่งแล่นมาจอดยังหน้าบ้าน แล้วชายรูปร่างสูงคนหนึ่งในชุดสูท ลงมาจากรถแล้วตรงเข้ามาหาราทิตย์ พร้อมแสดงตัวว่าเป็นลูกชายของลุงอ๊อด ก่อนที่จะนั่งคุยกันบนม้านั่ง

“ ต้องขอขอบคุณมากนะครับที่ช่วยไขความจริง และช่วยเหลืออารยา” เสียงทุ้มต่ำนั่นพูดขึ้น
“ ด้วยความยินดีครับ เอ่อแล้วเรื่องพ่อของคุณล่ะครับ” ราทิตย์ถาม

“ นั่นไม่ใช่พ่อแท้ๆของผมหรอกครับ ผมอยู่กับเค้าในฐานะลูกเลี้ยง พ่อแม่จริงๆของผมอยู่ที่อเมริกา ผมก็เพิ่งรู้ความจริงว่าชายคนนั้นเป็นโรคจิตเคยเข้ารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลบ้า แต่ก็หลบหนีออกมาได้” รัน อธิบายให้เขาฟัง “ผมไม่รู้จะตอบแทนความพยายามที่ช่วยเหลือแฟนผมยังไง เอาเป็นว่าผมยกบ้านหลังนี้ให้พวกคุณแล้วกัน” ราทิตย์รับปาก พร้อมขอบคุณ แล้วชายหนุ่มคนนั้นก็ขับรถหรูออกไป

“ ทิตย์นั่นใครเหรอ” นีน่าถาม “ลูกเลี้ยงของเจ้าของบ้าน รู้มัยเค้ายกบ้านหลังนี้ให้ทิตย์ด้วย” ราทิตย์พูด

“ ดีจัง ได้บ้านเป็นรางวัล นีน่าว่าทิตย์ทำถูกต้อง เอาล่ะตอนนี้ทุกอย่างมันจบแล้ว ” นี่น่าพูดจบ ราทิตย์โผเข้ากอดร่างของหล่อน “ขอบคุณนีน่า ที่อยู่ข้างทิตย์ตลอดยามมีปัญหา ทิตย์สัญญาว่าจะรักนีน่าไปจนวันตาย” แล้วเขาก็เดินจูงมือแฟนสาวเข้าบ้านหลังนั้น ซึ่งเรื่องร้ายๆได้อวสานลงแล้ว


สามเดือนผ่านไป บรยากาศในบ้านยังคงเงียบเหมือนเดิม ราทิตย์กำลังเขียนนิยายเรื่องใหม่อยู่ที่ห้องรับแขก เสียงเปิดประตูบ้านดังขึ้นพร้อมกับร่างชายหญิงคู่หนึ่ง

“ พี่ราทิตย์ นี่เบล แฟนผมเอง เบลไหว้พี่ราทิตย์ซิ” หญิงสาวในชุดกระโปรงสั้น ถักผมเปีย ค่อยๆไหว้ราทิตย์อย่างนับถือ ราทิตย์รับไหว้แล้วปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าซึ่งบัดนี้รุงรังไปด้วยหนวดเครา

“ พี่ทิตย์ ผมฝากเบลไว้ด้วยล่ะกัน เดี๋ยวออกไปทำธุระก่อน” ราทินพูดขึ้น
“ อืม..เอ้า เบล นั่งสิ”ราทิตย์เชิญให้หล่อนนั่ง เขามองหน้าหล่อนแล้วคิดในใจว่าเธอผู้นี้สวยไม่แพ้นีน่าเลยเสียจริง

“ ผมไปล่ะนะ “ ราทินปิดประตูบ้าน แล้วรีบขับมอเตอร์ไซด์ออกไป
“ รับน้ำอะไรดี เบล” ราทิตย์ถาม “ เอ่อ ขอน้ำส้มแล้วกันค่ะ” เบลตอบ ก่อนที่ราทิตย์ลุกจากโซฟาเข้าไปยังห้องครัว


“ แกชอบเค้าล่ะสิ เหอะ เหอะ” เสียงนั้นดังขึ้นในหูราทิตย์ “ บ้าน่า นั่นแฟนน้องชั้น จะไปชอบได้ไง” เขาพูดคนเดียว พลางถือขวดน้ำส้มรินใส่แก้ว

“ แต่ชั้นว่าแฟนแกคงไม่รู้หรอก ฮ่า ฮ่า ฮ่า ชั้นรู้แกคิดอะไรอยู่ โอกาสมาถึงแล้วจัดการเลย” เสียงใครคนนั้นเงียบไป ราทิตย์เอื้อมมือไปหยิบซองยาชนิดหนึ่ง เปิดซองแล้วเทผงขาวๆ จนหมดซอง ใช้ช้องคน ช้าๆเพื่อให้ผงนั้นละลาย

“ น้ำส้มมาแล้วจ้ะ เบล” เขาพูดพลางเดินถือแก้วน้ำส้มไปให้แฟนสาวของน้องชาย ราทิตย์วางแก้วลงบนโต๊ะ ทิ้งตัวลงนั่นจ้องหน้าเบล ก่อนรอยยิ้มอย่างมีความสุขจะปรากฏเต็มใบหน้าของเขา...................

จบ


By System of Valentine

4
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
หน้าแรกบอร์ด >> ปริศนาห้องประตูแดง...ปฐมบทแห่งฆาตกร
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel