เข้าใจธรรมะ[คำถาม๘๗๗-คำอธิฐานจะเป็นจริงหรือ]
เป็นธรรมะ กับเรื่องใกล้ตัวดีครับ น่าจะนำไปใช้ และเข้าใจกันได้ง่าย
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านครับ
อนุโมทนาบุญแก่ผู้ที่สนใจทุกท่าน และ ขอให้บุญรักษาครับ
-โทษคนอื่นได้กิเลส โทษตนเองได้ปัญญา
-กิเลสไหลท่วมท้นใจทั้งคืนวัน คิดว่าปัญญาเพียงน้อยนิดจะเอาชนะกิเลสได้
*ควรใช้ปัญญาพิจารณาทุกครั้งในการรับข้อมูล ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อครับ
หน้าแรกบอร์ด :: อ่าน - รวมกระทู้ - เข้าใจเรื่องธรรมะ แบบง่ายๆ ชุดที่1
หน้าแรกบอร์ด :: อ่าน - รวมกระทู้ - เข้าใจเรื่องธรรมะ แบบง่ายๆ ชุดที่2
ขอบคุณ เวป raksa-dhamma ครับ
--------------------------------------------------------------------------
คำถาม
คำอธิฐาน เช่น อธิฐานให้คนนี้หายป่วย จะมีส่วนช่วยบ้างไหมครับ
คำตอบ
ก่อนอื่น ผู้ถามพึงทราบว่า คำว่าอธิษฐานนั้น แท้จริงแล้ว เป็นไปเพื่อปรารภความไม่มี คือ การสิ้นการเกิดเป็นที่สุด มีพระนิพพานเป็นเป้าหมายสูงสุดแห่งตน อย่างนี้ ท่านจัดไว้เป็นบารมี คือ อธิษฐานบารมี
เพราะเหตุแห่งบารมีนี้ที่บุคคลสั่งสมไว้แล้ว ย่อมเสมือนเขื่อน เสมือนขอบเขต เสมือนแนวทาง ที่จะตะล่อมบุคคลเหล่านั้นไม่ให้ตกไปผิดทางในอัตภาพใดๆต่อไปเบื้องหน้า ไม่ให้หลงอารมณ์โลก จนล่วงเลยประโยชน์ที่เคยได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้
มาดแม้ว่าตนจะต้องเสวยผลวิบากไม่ดีในอัตภาพแห่งความเป็นมนุษย์ เพราะเหตุที่กระทำบุญไว้แต่ปางก่อนและคำอธิษฐานเพื่อพระนิพพานนั้นแล ย่อมเป็นปัจจัยโอบอุ้มอุปการะบุคคลเหล่านั้นให้ระลึกนึกถึงความที่จะออกจากทุกข์ และเพราะเหตุในอดีตนั่นเองที่ตนขวนขวายเจริญกุศลที่ประกอบปัญญาไว้ ตนย่อมได้พบปัจจัยที่จะเอื้อเฟื้อให้ปัญญาเกิดต่อไปได้อีก จิตใจจึงขวนขวายที่มุ่งหน้าเดินตามเส้นทางที่ตนกล่าวคำอธิษฐานไว้นับแสนล้านชาตินั่นเอง
แต่ในบุคคลทั่วไป การกล่าวอ้อนวอนขอร้อง ก็เป็นไปเพราะปรารภผลที่ตนอยากได้ ทั้งให้เกิดแก่ตนเอง และให้เกิดแก่บุคคลอันเป็นที่รัก หรือแก่บุคคลอื่นๆ .....อย่างนี้ ไม่จัดว่าเป็น การอธิษฐานที่แท้จริง
หากปรารภอย่างนั้น เช่น ต้องการให้คนนี้หายป่วย หากเพราะอาศัยบุญแล้วจักทำให้บุคคลนั้นหายป่วยได้ เช่น ทำให้ได้พบแพทย์ที่ถูกทาง พบยาที่ถูกกับโรคของเขา พบเหตุและปัจจัยหลายๆอย่างที่จะทำให้คนๆนั้นหายจากความเจ็บป่วยได้...จริงอย่างนั้น ....ที่ในบุคคลบางคน ย่อมหายจากโรคได้ด้วยอาศัยบุญที่เข้ามาอุปถัมภ์โดยอ้อม โดยการจัดแจงผลทางอ้อมคือ จัดแจงให้ได้พบได้เจอทิศทาง และปัจจัยต่างๆที่ถูกต้อง..
เขาผู้นั้นย่อมต้องอาศัยบุญของตนเองในปัจจุบัน เข้าอุปถัมภ์บุญในอดีตของตนอันยาวนานนับเวลาไม่ได้นั้นนั่นแหละ เข้ามาเป็นปัจจัย..อย่างนี้ ชื่อว่า อยู่ในฐานะที่จะเป็นเช่นนั้นได้
ดังนั้น การกล่าวคำอ้อนวอน ขอร้องจากบุคคลอื่น จะพึงก่อให้เกิดผลใดๆแก่ตนนั้น หรือการอ้อนวอนขอร้องของตนนั้น จะกระทำผลให้เกิดแก่คนอื่น อย่างนี้ ไม่ใช่ฐานะ
พึงเห็นความเป็นจริงแล้ว ก็สมควรที่จะกระทำเหตุให้ถูกต้อง..ดังนั้น ยกตัวอย่างเช่น ท่านผู้ถามปรารภอยากให้ญาติหายป่วย ก็เขาผู้นั้นนอนเจ็บลุกไปไหนๆไม่ได้ ท่านผู้ถามก็พึงกระทำบุญ แล้วกล่าวแก่ญาติ บอกให้เขาได้อนุโมทนาบุญเอากับบุญที่ท่านผู้ถามได้ทำไปแล้ว การทำอย่างนี้ บุญที่ท่านทำแล้ว ญาติย่อมมีส่วนแห่งบุญนั้น ด้วยการอนุโมทนาบุญ...
เช่น ท่านผู้ถามไปใส่บาตรมาแล้ว มีการถวายยาแด่พระภิกษุ มีการบริจาค มีการปล่อยสัตว์ ให้ชีวิตสัตว์ เป็นต้น....ทำแล้วก็มาบอกให้เขาอนุโมทนาในบุญอันมีประการต่างๆนั่นแหละ... หรือการอ่านธรรมะที่ให้เหตุผลแก่ญาติฟัง อย่างนี้ แม้การฟังนั้น ก็เป็นบุญของญาติ และแม้การนึกอนุโมทนาในบุญที่ท่านผู้ถามเพียรอ่านให้เขาฟัง บุญก็เกิดแก่ญาติในสองประการ คือ ธัมมัสสวนะ และ การอนุโมทนาบุญ...เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็นำญาติให้น้อมใจไปในการแผ่อุทิศบุญแก่ผู้ล่วงลับ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ตลอดจนเทวดาทั้งหลาย..ปัตติทาน อันเป็นบุญอีกอย่างหนึ่งก็เกิดได้อีก
จึงเห็นว่า หากมีความเพียรอย่างถูกต้องอย่างนี้ อาศัยความเพียรใหม่ในปัจจุบันของตัวคนไข้เอง โดยได้รับความกรุณาจากท่านผู้ถามเป็นปัจจัย แต่บุญทั้งหลายย่อมเกิดแก่ญาติได้โดยตรง..บุญใหม่ในปัจจุบัน หากทำสม่ำเสมอ ย่อมมีกำลังเข้าอุปถัมภ์กรรมดีในอดีตให้ได้โอกาสที่จะส่งผลได้ ด้วยลักษณะอย่างนี้
แต่ทว่า หากเป็นอะไรที่ล่วงเลยเหตุผลที่จะแก้ไขได้เพราะอำนาจแห่งบาปครอบงำไว้เสียสิ้นเชิง และ บุคคลนั้นกำลังจะต้องหมดอายุบ้าง หมดกรรมบ้าง อย่างนี้ก็ควรวางใจเตรียมอุเบกขาไว้ด้วย
ถามว่า จะทราบได้อย่างไรเล่า?
ตอบว่า ไม่ใช่วิสัยที่เราๆจะทราบได้หรอก...
แต่การเจริญบุญ ไม่ว่าจะในยามไหน เวลาไหน ก็ย่อมก่อให้เกิดคุณ ให้ผลเป็นความสุข ยิ่งผู้ป่วยหมั่นทำใจให้เป็นบุญ แน่นอน มาดแม้ว่า เขาไม่อาจจะต้านต่อมรณะภัยได้ แต่ก็พึงเห็นความสำคัญแห่งจิตใจของญาติที่กำลังป่วยให้เสพคุ้นกับบุญมีประการต่างๆ.... และนี่เอง บุญย่อมมีโอกาสนำส่งเขาให้ได้ปฏิสนธิในสุคติภูมิในภพต่อไป
ดังนั้น บุญจึงมีแต่คุณ ไม่มีโทษ..การเอื้อเฟื้อญาติในลักษณะดังกล่าวนั้น เป็นประโยชน์มากทั้งตัวผู้ให้ และตัวญาติที่จะรับเอาบุญเหล่านั้น
หากญาติไม่รับรู้ อย่างนั้น ก็หาประโยชน์ไม่ได้ เพราะเขาไม่มีโอกาสมารับรู้ ไม่สามารถมาอนุโมทนาบุญกับใครๆได้..ก็ต้องเป็นไปตามยถากรรมในที่สุด...
แต่ผู้ทำให้นั้นได้ผลโดยตรง ประโยชน์ก็ยังมีอยู่นั่นเอง
ควรทำในสิ่งที่ทำได้ คือ การทำเหตุ..... แต่ผลนั้นจะเกิดหรือไม่เกิดตามที่ปรารถนา ไม่ใช่เรื่องที่เราๆท่านๆจะคิดอยากหรืออ้อนวอนขอร้องแล้วจะสำเร็จ ..... ต้องอาศัยปัจจัยคือ ตัวผู้ป่วยด้วย บุญในปัจจุบันของผู้ป่วยที่จะเกิดด้วย บุญในอดีตที่มีกำลังของผู้ป่วยด้วย และต้องมีกำลังมากกว่าบาปที่กำลังเบียดเบียนด้วย...จึงเห็นว่า แม้บรรดาปัจจัยที่ยกมาดังกล่าวเป็นเพียงส่วนน้อย แต่ก็เห็นความที่พวกเราหาได้มีอำนาจที่จะดลบันดาลผล หรือไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนมากระทำผลที่พวกเราต้องการได้โดยไม่มีปัจจัยอื่นๆ อุปการะ .... ข้อนี้ต้องเข้าใจอย่างชัดเจนนะคะ
นี่เป็นตัวอย่างที่ยกมาในเรื่องญาติให้ท่านมองเห็นเป็นรูปธรรมค่ะ หวังว่า คงเข้าในในความเป็นเหตุและผลได้พอสมควรนะคะ