“แล้วพบกันที่คูหาเลือกตั้ง” ไม่ใช่ถ้อยคำปลอบใจหลังความพ่ายแพ้
บทความดีๆจากอาจารย์พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
อดีตคณบดี
อาจารย์ประจำหลักสูตรการเมือง และ ยุทธศาสตร์การพัฒนา
ที่มาและต้นฉบับตามลิงค์ครับ
https://www.facebook.com/share/p/17qq624oYc/?mibextid=wwXIfr
คำกล่าวหาที่ว่า พรรคประชาชนถูกต้ม ถูกหลอก ถูกกินฟรี
ฟังดูเหมือนคำตัดสินที่เฉียบคม
แต่แท้จริงแล้วอาจเป็นเพียงการมองการเมือง
ผ่านกรอบศีลธรรมของความฉลาดและความโง่
มากกว่าการมองผ่านภูมิทัศน์ของอำนาจ
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น มิใช่ละครต้มตุ๋นรายบุคคล
หากคือการเดินชนกันของสองโลก
โลกหนึ่งเชื่อว่ากติกาควรเป็นของประชาชน
อีกโลกหนึ่งเชื่อว่ากติกาคือทรัพย์สินที่ต้องคุมไว้ให้แน่น
MOA ที่ถูกกล่าวหาว่าถูก “ฉีก”
อาจไม่เคยเป็นสัญญาที่มีวันบังคับใช้จริง
ตั้งแต่วินาทีแรกที่มันถูกเขียนขึ้น
ในห้องที่อำนาจไม่ได้สมดุล
ในโต๊ะที่ฝ่ายหนึ่งมี ส.ว. อยู่ในกระเป๋า
อีกฝ่ายมีเพียงความชอบธรรมจากเสียงประชาชน
การลงนามในข้อตกลงเช่นนั้น
ไม่ใช่ความไร้เดียงสา
แต่คือการยอมก้าวเข้าไปในเขตอันตราย
โดยรู้ดีว่าอาจไม่รอด
แต่หวังว่าจะทำให้สนามรบปรากฏต่อสายตาทุกคน
เมื่อพรรคภูมิใจไทยเลือกคงอำนาจ ส.ว.
เลือกเก็บกุญแจรัฐธรรมนูญไว้กับตน
แล้วชิงยุบสภาอย่างรวดเร็ว
มันไม่ใช่เพียงการหักหลังคู่เจรจา
แต่คือการสารภาพต่อสาธารณะ
ว่ารัฐธรรมนูญไม่ใช่ของประชาชน
หากเป็นทรัพย์สินที่ต้องป้องกัน
และในจังหวะนั้นเอง
คำว่า “ถูกหลอก”
ก็เริ่มสั่นคลอนความหมายของมัน
เพราะผู้ที่ถูกหลอกโดยแท้
คือสังคมที่เคยเชื่อว่า
การแก้รัฐธรรมนูญยังพอเป็นไปได้ในระบบนี้
โดยไม่ต้องรื้อฐานอำนาจที่คุมมันอยู่
พรรคประชาชนอาจเสียโอกาสในสภา
อาจถูกเยาะว่าอ่อนประสบการณ์
อาจถูกโยนความผิดว่าเสียค่าโง่ซ้ำสอง
แต่พวกเขาได้ทำบางสิ่งที่สำคัญกว่า
นั่นคือการดึงหน้ากากของโครงสร้างอำนาจออกมา
ให้ประชาชนเห็นโดยไม่ต้องตีความมาก
รัฐสภาในวันนั้น
จึงไม่ใช่สถานที่ของการแก้กฎหมาย
แต่เป็นเวทีเปิดโปงว่า
ใครคือผู้คุมประตูประชาธิปไตย
และใครไม่เคยตั้งใจจะเปิดมัน
เมื่อประตูนั้นถูกปิดตาย
การย้ายสนามไปสู่คูหาเลือกตั้ง
จึงไม่ใช่การถอย
แต่เป็นการประกาศว่า
หากกติกาถูกคุมจากเบื้องบน
อำนาจสุดท้ายย่อมต้องกลับไปถามจากเบื้องล่าง
“แล้วพบกันที่คูหาเลือกตั้ง”
จึงไม่ใช่ถ้อยคำปลอบใจหลังความพ่ายแพ้
แต่คือประโยคที่บอกว่า
เกมนี้ไม่จบในสภาที่ถูกล็อก
หากเพิ่งเริ่มต้นในพื้นที่ที่โครงสร้างอำนาจ
ยังไม่อาจควบคุมความคิดของประชาชนได้ทั้งหมด
ในทางการเมือง
บางครั้งการแพ้ในเชิงขั้นตอน
คือหนทางเดียว
ที่จะทำให้ความจริงเชิงโครงสร้าง
ชนะในสายตาของสังคม
และหากนี่เรียกว่าถูกหลอก
ก็เป็นการถูกหลอกที่ทำให้ทั้งประเทศ
เห็นชัดขึ้นว่า
ใครกำลังปกป้องอนาคต
และใครกำลังปกป้องอำนาจของอดีต.