ปกติจะไม่โพสอะไรเลย
แต่ในยุคนี้ ที่การไม่ทำอะไรเลยบางครั้ง ก็อาจตกเป็นฝ่ายที่ว่ายอมรับว่าที่เขาพูดๆกันแชร์กันคือความจริง ซึ่งหลายๆครั้งมันเป็นเพียง half truth หรือเป็น false claim ไปเลยก็มี
ก็ขออนุญาตเรียนแจ้งเพื่อน ญาติ และผู้ที่กำลังสงสัย เกี่ยวกับระดับไขมันในเลือดและการรักษา อีกครั้ง
อ้างอิงโพสที่มีการแชร์กันมากมายในวันนี้
ขออนุญาตทำเป็น fact check ให้ทุกท่าน
ด้วยองค์ความรู้ที่มี และด้วยคุณธรรมและมาตรฐานแห่งวิชาชีพแพทย์
นพ ปริญญ์ วาทีสาธกกิจ
อายุรแพทย์โรคหัวใจ
28 มิถุนายน 2568
.
.
.............
❌ต้นทาง❌ ตอนที่ 1/2 ผมสรุป ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับ #cholesterol #คอเลสเตอรอล จากงานวิจัยระยะ 10 ปีหลัง ได้ว่า ❌
.
.
- คอเลสเตอรอลไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นสารจำเป็นต่อร่างกาย:
- สร้างฮอร์โมน (เทสโทสเตอโรน, เอสโตรเจน, คอร์ติซอล)
- สร้างวิตามินดี (สำคัญต่อภูมิคุ้มกัน+การดูดซึมแคลเซียม)
- เป็นส่วนประกอบเยื่อหุ้มเซลล์ (20-25% ของผนังเซลล์)
- สร้างปลอกไมอีลิน (หุ้มเส้นประสาท)
- สร้างน้ำดี (ช่วยย่อยไขมัน)


✅✅✅ ข้อเท็จจริง ✅- ปริมาณของคอเลสเตอรอลในร่างกายที่มากเกินความจำเป็นต่างหากที่นำไปสู่โรค และเซลล์ต่างๆของร่างกายมีความสามารถที่จะสร้างคอเลสเตอรอลได้เองแม้ว่าเราจะไปยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอลที่ตับ เซลล์ก็สามารถทำงานต่อได้

…………………………………………………………………………
❌ปัญหาของยาลดคอเลสเตอรอล (กลุ่ม #Statins) ❌
❌- ลดการผลิตพลังงานในไมโทคอนเดรีย → ส่งผลต่ออวัยวะใช้พลังงานสูง (สมอง หัวใจ ตับ ไต)
✅✅✅- ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ HMGCoA Reductase ที่อยู่ในกลไกของการสร้างคอเลสเตอรอลที่ตับ
❌- ไม่แก้ที่ต้นเหตุ แค่กดอาการ → ปิดบังปัญหาจริง (การอักเสบ/ความต้านทานอินซูลิน)
✅✅✅- ช่วยแก้ปัญหาการอักเสบ ลดปริมาณคอเลสเตอรอลส่วนเกินจำเป็น และช่วยผู้ป่วยระหว่างที่ผู้ป่วยช่วยหมอลดน้ำหนัก ลดน้ำตาล ปรับพฤติกรรมการออกกำลังกาย จนทำให้ร่างกายกลับเข้าสู่สภาวะที่ไร้โรคได้เอง
❌- ทำให้ผู้ป่วยไม่ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพราะคิดว่า "ยารักษาหายแล้ว"
✅✅✅- จากประสบการณ์การรักษาจริง ไม่มีผู้ป่วยรายใดอยากจะป่วย หรืออยากจะกินยาไปตลอดชีวิต ส่วนใหญ่จะปรับพฤติกรรมไลฟ์สไตล์ แต่ส่วนน้อยจะสามารถทำได้สมบูรณ์จนแก้ปัญหาการอักเสบหรือความต้านทานอินซูลินได้ตามหัวข้อด้านบน จึงทำให้ต้องรับการรักษา
✅✅✅- และอีกองค์ความรู้ที่ไม่ได้เขียนไว้คือ ลักษณะทางพันธุกรรมหลายอย่าง เป็นตัวกำหนดว่าใครจะมีระดับไขมันที่สูงหรือต่ำ ความดันสูงหรือต่ำ ภาวะดื้อต่ออินซูลินมากหรือน้อย และการรักษาในปัจจุบัน ถูกพัฒนามาจากองค์ความรู้เหล่านี้ เพื่อปรับให้คนที่มีลักษณะทางพันธุกรรมที่เสียเปรียบ สามารถมีสุขภาพที่ดีได้เทียบเท่าคนที่มีลักษณะทางพันธุกรรมที่ดี
✅✅✅- ยกตัวอย่าง ยาที่ไปยับยั้ง PCSK9 หรือ HMGCoA reductase ที่ทำงานมากเกินไป จนทำให้ระดับไขมันสูงกว่าคนที่มีการทำงานของ PCSK9 หรือ HMGCoA น้อยๆมาตั้งแต่เกิด

…………………………………………………………………………
❌การเปลี่ยนเกณฑ์วัดคอเลสเตอรอลโดยบริษัทยา ❌
✅✅✅- สมาคมแพทย์ทั่วโลก รวมถึงองค์การอนามัยโลก มีความเห็นตรงกันว่าระดับไขมันที่สูง เป็นความเสี่ยงหนึ่งต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนทั่วโลก
❌- ปี 1987: ยา Statin ตัวแรกออกสู่ตลาด พร้อมเปลี่ยนเกณฑ์ "ปกติ" จาก < 300 เป็น < 200
✅✅✅- เกณฑ์ถูกเปลี่ยน เนื่องจากมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า การให้ยา Statin ในคนที่มีระดับไขมันเฉลี่ยสูงเกิน 190 สามารถที่จะลดโอกาสเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลงไปได้ ยาถึงได้รับการรับรองให้นำมาใช้
❌- ปี 1993: เปลี่ยนโฟกัสไปที่ LDL โดยกำหนดเกณฑ์ใหม่:
❌- ปกติ: < 130 → ต่อมาลดเหลือ < 100 → และ < 70 ในกลุ่มเสี่ยงสูง
✅✅✅- เกณฑ์ถูกเปลี่ยนให้ลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะการศึกษาใหม่ๆ ด้วยตัวยาที่มีประสิทธิภาพในการลดไขมันที่มากกว่า สามารถพิสูจน์ได้ว่า การลดไขมันลงไปที่ค่าเฉลี่ยใดค่าเฉลี่ยหนึ่ง มีประโยชน์มากกว่ากลุ่มที่ปล่อยค่าไขมันไว้ที่จุดนั้นๆ
❌- ผลลัพธ์: จำนวนผู้ "ต้องกินยา" เพิ่มจาก 0 คน (ก่อนปี 1987) เป็น 42 ล้านคน ในปี 2001
✅✅✅- ใช้จำนวนผู้ที่กินยาแล้วจะมีความเสี่ยงลดลงจะถูกต้องกว่า เนื่องจากการตัดสินใจว่าจะกินหรือไม่กิน ขึ้นอยู่กับคนไข้
❌- ขัดแย้งผลประโยชน์: 8 ใน 9 คณะกรรมการกำหนดเกณฑ์ปี 2001 มีความสัมพันธ์กับบริษัทยา
✅✅✅- เกณฑ์มีการปรับเปลี่ยนมาตลอด 25 ปี และปรับกันทั่วโลก การกล่าวหาโดยอิงข้อมูลในปี 2001 เพียงปีเดียวจึงไม่น่าจะถูกต้องครอบคลุมทุกความเห็น

…………………………………………………………………………

❌ ความจริงจากงานวิจัย ❌
❌- 50% ของหัวใจวาย เกิดในคนคอเลสเตอรอล < 200
✅✅✅- หากเข้าใจเรื่องคอเลสเตอรอลจริงๆ คอเลสเตอรอลเป็นเพียงปัจจัยเสี่ยงหนึ่งที่นำไปสู่โรคหัวใจ คนที่มีคอเลสเตอรอลสูง มีความเสี่ยงสูงกว่าคนที่คอเลสเตอรอลต่ำ
✅✅✅- ยกตัวอย่าง มีคนหัวใจวาย 100 คน เป็นคนที่มีคอเลสเตอรอล >200 อยู่ 50 คน คนที่มีคอเลสเตอรอล <200 อยู่ 50 คน แต่จำนวนคนที่คอเลสเตอรอลสูงกว่า 200 ทั้งหมดมีจำนวน 100 คน (คิดเป็นความเสี่ยง 50% ของคนกลุ่มนี้) และคนที่มีคอเลสเตอรอล <200 มี 1000 คน (คิดเป็นความเสี่ยง 5% ของคนกลุ่มนี้) พอคนไม่รู้เรื่องมาดู ก็มักจะบอกแค่ว่า 50% ของหัวใจวาย เกิดในคนคอเลสเตอรอล < 200 นั่นเอง
❌- งานวิจัยเกาหลี: ผู้ชายอายุ > 65 ที่คอเลสเตอรอล 250-270 มีอัตราตายต่ำสุด
✅✅✅- เพราะผู้ชายที่มีคอเลสเตอรอล 250-270 ส่วนมากจะตายไปก่อนวัย 65 ปี ดังนั้นคนที่เหลือรอดมาได้ จึงเป็นกลุ่มที่มีความลำเอียงเบี่ยงเบนสูงว่ามีปัจจัยอื่นๆที่จะทำให้พวกเขาไม่ตาย แต่ส่วนที่ตายไปเยอะก่อนหน้าไม่รอดมาเข้าการศึกษา
❌- งานวิจัยญี่ปุ่น: คนคอเลสเตอรอล 220-260 มีอายุยืนกว่าคน < 200
✅เหตุผลเดียวกับด้านบน

…………………………………………………………………………
- LDL ตัวดี vs ตัวร้าย:
- LDL ขนาดใหญ่ (Fluffy): ไม่เป็นอันตราย
- LDL ขนาดเล็ก-หนาแน่น (Small Dense): อันตรายจริง (ขนาด < 20.5 nm)
- สาเหตุที่ LDL กลายเป็น Small Dense: ความต้านทานอินซูลิน + การอักเสบ + ออกซิเดชัน
❌#ตัวชี้วัดสุขภาพหัวใจ ที่สำคัญกว่า ❌
✅✅✅- แต่ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์เลยว่ารักษาแล้วจะดีกว่า เป็นเพียงข้อสังเกตว่าหากได้รับการรักษาจนเข้าที่แล้ว กลุ่มคนไข้คนไหนจะยังมีโอกาสเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอีกมากกว่ากัน …………………………………………………………………………
1. อัตราส่วน TG/HDL:
- ปกติ: < 2.0 | เสี่ยงสูง: > 3.5
- สะท้อน ความต้านทานอินซูลิน ได้ดี
2. อินซูลินขณะอดอาหาร (Fasting Insulin):
- ค่าดี: 2-5 μIU/mL (แต่แล็บมักเตือนเมื่อ > 25)
3. Hs-CRP (การอักเสบ):
- ค่าดี: < 1 mg/L (แล็บเตือนเมื่อ > 3)
4. HbA1c (น้ำตาลสะสม):
- ค่าดี: 4.8-5.3% ( prediabetes: > 5.7%)
5. โฮโมซิสเตอีน (การอักเสบ):
- ค่าดี: < 7 μmol/L (แล็บเตือนเมื่อ > 15) …………………………………………………………………………
❌ต้นทาง❌ทางออกที่ยั่งยืน
- แก้ที่ต้นเหตุ: ลดความต้านทานอินซูลิน + การอักเสบ + ออกซิเดชัน
- ใช้ชีวิตธรรมชาติ: หลีกเลี่ยงน้ำตาล/น้ำมันพืชแปรรูป/สารเคมี เพิ่มการเคลื่อนไหว+นอนหลับและดีสุดคือ #กินน้อยมื้อ IF และ #อดข้ามวัน
❌- ปัจจุบันบุคลากรสาธารณสุข ยังเน้นตัวชี้วัดโดยยึดค่า LDL อย่างเดียว แล้วจ่ายยาเลย

✅✅✅ถ้าเลี่ยงการดูถูกบุคลากรทางการแพทย์ที่ตั้งใจจะช่วยลดความเสี่ยงของคนไข้ได้ จะขอบคุณมาก การช่วยกันให้คนมีสุขภาพดี ไม่จำเป็นต้องเหยียดคนอื่นอย่างนี้

…………………………………………………………………………
❌> ขอย้ำ: คอเลสเตอรอลไม่ใช่ตัวร้าย แต่ระบบสุขภาพที่ถูกอิทธิพลบริษัทยาจัดการเกณฑ์วัดต่างหากที่ทำให้คนตกเป็น "คนป่วย" โดยไม่จำเป็น การแก้ปัญหาต้องเริ่มที่การปรับไลฟ์สไตล์และตรวจค่าสุขภาพที่ตรงจุด

✅✅✅- กลไกการสร้าง การดูดซึม และการกำจัดคอเลสเตอรอล ในร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆในร่างกายแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน การปรับไลฟ์สไตล์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน ตั้งแต่อายุน้อยๆ ส่วนอื่นๆที่ยังเหลืออยู่ ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่จะไปช่วยปรับให้กลับสู่ภาวะเหมือนคนปกติได้
✅✅✅- การตรวจค่าสุขภาพที่ตรงจุด หากไม่เสียค่าใช้จ่ายมากเกินไป สามารถทำได้ เพื่อบอกว่าความเสี่ยงของเราที่จริงแล้วสูงกว่าที่คิด หรือต่ำกว่าที่คิด ทั้งนี้การรักษาในปัจจุบันก็สามารถลดความเสี่ยงได้ระดับหนึ่งแล้ว …………………………………………………………………………
❌ LDL ของผม เกิน 250 mg/DL ตั้งแต่วัดครั้งแรก 2009 ครับ หมอขู่ว่า ถ้าไม่กินยา จะตายในปี 2011 แต่หมอที่บอกดันมาตายก่อน ผมเสียใจมาก ปัจจุบันกิน LowCarb แตะ 330 mg/DL แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า ผมเป็นพวก #LeanMassHyperResponder กินคาร์บต่ำ โปรตีนสูง ไขมันกายแค่ 11% ❌
✅✅✅- เรื่องคอเลสเตอรอลเป็นเรื่องของความเสี่ยง คนที่มีคอเลสเตอรอลสูง คือมีความเสี่ยงสูง อาจจะเป็น 30% ที่จะมีโรคหัวใจ (จะเห็นว่าไม่ใช่ 100% แต่สูงกว่าคนอื่นที่มีไขมันต่ำกว่าและมีความเสี่ยงต่ำกว่า) หมอก็มักจะเจอคนกลุ่มนี้เป็นโรคหัวใจเข้าไปรักษา และก็เห็นคนกลุ่มนี้ที่ยังไม่มีโรคหัวใจ ออกมาโพสป่าวประกาศว่าตนเองไขมันสูงก็ยังไม่เห็นเป็นอะไร ซึ่งความอันตรายก็คือ คนที่ไม่เป็นอะไรที่ชอบมาโพสอย่างนี้ มักเป็นคนที่เข้าถึงการตรวจอย่างละเอียดว่าหลอดเลือดหัวใจของตนเองยังดูดี (หากไม่ดีคงไม่ออกมาโพส) ซึ่งถ้าคนหมู่มากมาเห็นและเข้าใจผิด โดยยังไม่ได้รับการตรวจอย่างละเอียด ก็จะทำให้เขาดำรงตนอยู่บนความเสี่ยงที่สูงโดยเข้าใจไปว่าพวกเขาปลอดภัย ก็ต้องระวังเวลาโพสเรื่องแบบนี้นะครับ จะบาปเอา …………………………………………………………………………
edit 28/6/68 21.00 น
สรุปความเห็น
1 คอเลสเตอรอลสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญอย่างหนึ่งของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
2 คนที่มีคอเลสเตอรอลสูง ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นโรคหัวใจทุกคน 100% ไม่ต้องกลัว แต่ก็ต้องไม่ประมาทหรือเข้าใจผิดไปว่าคอเลสเตอรอลสูงไม่อันตราย
3 ถ้าเรามีคอเลสเตอรอลที่สูง ให้มองดูว่าตัวเราเองมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆร่วมด้วยอะไรหรือไม่ และพยายามลดหรือเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆลง
4 ยาในปัจจุบันพัฒนามาจากความรุ้ลึกถึงระดับความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทำให้คนเรามีระดับไขมันไม่เท่ากัน บางคนไขมันสูงแต่เกิด บางคนไขมันน้อยแต่เกิด ยาจะไปปรับสมดุลย์ให้ร่างกายเราสร้าง หรือดูดซึม หรือทำลายไขมัน เท่ากับคนที่เกิดมามีกลไกต่างๆเหล่านี้ทำงานได้ดี
5 ข้อมูลงานวิจัยมีมากมายมหาศาล มันจะเกิดความเข้าใจผิดได้ง่ายหากไปนำข้อมูลเพียงไม่กี่อัน ที่ให้ผลสรุปที่เราต้องการมาใช้ เวลาดูข้อมูลจึงควรมีความรู้ถึงข้อมูลทั้งหมด
6 การตรวจพิเศษต่างๆ สามารถทำได้ ผมไม่ได้มีข้อแย้ง เพียงแต่ก็ต้องเข้าใจว่า การรักษาที่ลดความเสี่ยงได้ เป็นการลด LDL ไม่ใช่การลด TG หรือเพิ่ม HDL เรื่องอินซูลินและน้ำตาลเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงหนึ่งที่ต้องไปคุยกัน การอักเสบเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
7 สำหรับบุคคลทั่วไป อยากให้เข้าใจว่า พวกเราบุคคลากรทางการแพทย์ ไม่ได้จ่ายยาเพราะมีผลประโยชน์ทับซ้อนอะไรกับบริษัทยา แต่มันเป็นแนวทางเวชปฏิบัติมาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลก เราไม่สามารถพาพวกท่านไปออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร ลดน้ำหนัก หรือเลิกบุหรี่ที่บ้านพวกท่านได้ เราให้ได้แต่คำแนะนำและหวังว่าคนไข้ทุกคนจะทำได้ตามที่เราต้องการ ส่วนเรื่องไขมันสูงหรือความดันสูง เรามียาที่สามารถสั่งให้ได้ จึงเป็นอะไรที่พวกเราได้เสนอให้กับคนไข้ได้ เหมือนได้ช่วยคนไข้ในการลดความเสี่ยงอีกทางหนึ่ง สุดท้ายก็แล้วแต่ว่าจะรับยาหรือไม่รับ ก็เท่านั้นเองครับ
ขอบคุณที่อ่านครับ


อ่านจบดูท่าคุณหมอเหลืออดอินฟลูสุขภาพยุคปัจจุบัน

มีความรู้พวกไตรกรีเซอไรไหมครับ หมอบอกเริ่มเยอะละ

โดนซะมั่ง พวกอินฟลู

ย้อนกลับไปกระทู้ สปสช แล้วมีคนบอกให้ส่งเสริมสุขภาพแทน

สภาพความจริงมันเป็นแบบนี้แหละ

ขอเพียงคุณ ด่าว่าหมอปัจจุบันหิวเงิน ขายยา บลาๆๆ คุณก็เป็นอินฟลู ให้เหล่าสาวก เชิดชู

สุดท้ายก็ต้องมาจบด้วยการขายอาหารเสริม
ขิงสกัด เซซามี สกัด เห็ด สกัด สมุนไพรสกัด แดกแล้วหายทุกโรค มะเร็งยังหาย เบาหวานความดันจะเหลือรึ

อ้างอิงตามนี้ละกันครับ ลดคาร์บ, น้ำตาล, แอลกอฮอล์, บุหรี่ครับ

อ่านเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
แต่ผมใช้ชีวิตความเสี่ยงต่ำอยู่ละ

ถ้าจะเสี่ยงก็โอเวอร์เทรนนิ่งนี่หละ
ไม่สูบบุหรี่,กินเหล้าเดือนละไม่เกิน2ครั้ง
โลวคาร์ป,คุมน้ำตาล,กินน้ำให้พอ

ผมเพิ่งรู้ว่าวิตามินดีใช้คอเลสเตอรอลสร้าง ตอนหาอาหารเสริมนี่จำได้แค่ร่างกายสังเคราะห์จาก UVB (แสงแดด)
แต่ผมก็ทาทั้งกันแดดกับไม่ออกแดดยังไงก็น่าจะต้องกิน รอตรวจสุขภาพจะตรวจวิตามินดีเพิ่ม เพราะถ้า overdose แล้วจะเป็นนิ่ว
ส่วน คอเลสเตอรอล ผมคิดว่ามันต้องดูที่ระดับเฉพาะบุคคล
กลไกแค่ละคนไม่เหมือนกัน
เอาง่ายๆ บทความที่บอกว่ากินไข่เท่าไรก็ได้ ปลอดภัย คิดว่ามันใช้ได้กับทุกคนใหม ไม่นะครับ บางคนกินเยอะไม่ได้ ซึ่งจำนวนถ้าจำไม่ผิดเยอะนะครับ 1/4 เลย(25%)
การที่หมอให้ลดไข่ ส่วนนึงอาจเหมารวมไปหน่อยแต่ผมก็เข้าใจในมุมมองของหมอนะ

เดี๋ยวก็โดนเหล่าอินฟลูสายสุขภาพด่าว่าเป็นหมอโบราณ ไม่อัพเดทความรู้ ไอคิวต่ำ

ข้อมูลพวกนี้มันจะไปสู้ข้อมูลที่ทดลองกับตัวเองได้ยังไง