คำพูดนี้จริงเท็จแค่ไหนครับ
บางบริษัทใช้ AI คัดเรซูม่แล้ว
แล้วเหมือนโดนปัดตก เพราะใช้คีย์เวิร์ดในเรซูเม่ไม่ตรงกับสิ่งที่ AI คิด
นั่นแปลว่า เรากำลังโดนผลกระทบจากคนใช้ AI ใช่มั้ยครับ
นั่นแปลว่าก่อนที่เราจะส่งเรซูเม่ เราต้องให้ AI รีวิวก่อน ถูกไหมครับ

เรื่องนี้ต้องแยกประเด็น ประเด็นคือว่ามี บ. ที่ใช้ AI ในการคัด Resume
ซึ่งไม่ใช่ บ. ทั้งหมด เป็นแค่ส่วนนึง โอเคว่าใน บ.เหล่านี้อาจมี บ.ใหญ่ๆ
หรือ บ.ที่ค่าตอบแทนดีๆ รวมอยู่ด้วย การใช้ AI มันจึงสำคัญ เพราะจะเป็น
บันไดก้าวแรก ที่จะพาไปหา บ. เหล่านี้ ละก็มันเหมาะกับการหางานแบบหว่าน

เดี๋ยว full automate ได้ ก็รู้เรื่องเองแหละครับ
ประโยคนี้มีไว้ปลอบใจกันเองแหละ ว่าไม่มีอะไรแทนที่คนได้

มี tool ให้ใช้เพื่อให้เร็วขึ้น คนอื่นใช้กัน เราก็ต้องใช้ ตามให้ทัน
งานบางงาน อาจจะยังไม่มีความจำเป็น แต่ไม่ช้าก็เร็ว เราต้องได้ใช้มันในทางใดทางนึง

สำหรับตอนนี้บางอย่างก็ใช่ แต่ถึงไม่ได้มาแทนแต่หลายๆงานก็ช่วยทนแทนในส่วนของทรัพยากรมนุษย์ได้เยอะเหมือนกัน เมื่อก่อนต้องจ้างเป็นร้อยเดี๋ยวนี้อาจจะเหลือไม่กี่คน

ผมให้ถูก เกิน 90%

บางอย่าง มันไม่ได้ Full Automate ขนาดนั้นอยู่แล้ว เอาที่ท่านยกมาเลย "บางบริษัทใช้ AI คัดเรซูเม่แล้ว" ไม่แน่ใจว่าได้ตามไหมว่าบางประเทศผิดกฏหมายแล้ว บางประเทศฟ้องแล้ว บางประเทศก็โดน prompt injection เล่นงานแล้ว แล้วเอาอะไรมาเชื่อกับ Full Automate?

พวกทำ routine job อะโดน replace อันนี้อะใช่ แต่ถ้าเป็นงานที่มีการ decision เข้ามาเกี่ยว คนที่ใช้ AI ต่างหากที่จะมาแทนคนที่ไม่ใช้ AI อันนี้ผมให้จริง

ก็ถูกแหละ เทคโนโลยีเป็นมาตลอด
100 คน ได้ 100 งาน
10 คน + เครื่องจักร ได้ 100 งาน
1 คน + เครื่องจักร + ai ได้ 100 งาน

เป็นทุกงานแหละ ใครทำงานได้ไวกว่า ได้งานมากกว่า ชนะ

AI = คู่แข่งที่ถูกกว่า และเก่งไม่แพ้กัน?

คำถามที่น่ากลัวเริ่มลอยอยู่ในห้องประชุมของผู้บริหารทั่วโลก?
* “ทำไมเราต้องจ่ายเงินหลายล้านให้บริษัทที่ปรึกษา ในเมื่อเราสามารถถาม ChatGPT หรือ Gemini ได้คำตอบใกล้เคียงกันในไม่กี่วินาที?”
* และสิ่งที่ทำให้สถานการณ์นี้ยิ่งเจ็บปวด คือบริษัทที่ปรึกษาเหล่านี้เองก็ใช้ AI ทำงานให้ลูกค้าอยู่แล้ว!

AI ไม่ได้เพียงแค่ “ลดต้นทุน” แต่มันกำลัง “เปลี่ยนโครงสร้างคุณค่า” ทั้งระบบ อำนาจต่อรองจึงย้ายจาก “ผู้ให้คำปรึกษา” กลับไปอยู่ในมือของ “ลูกค้า” อย่างเต็มรูปแบบ ลูกค้าสามารถต่อรองราคาให้ต่ำลงจนแทบไม่เหลือกำไร หรือเลือกที่จะ “ทำเอง” โดยใช้ AI ได้อย่างมั่นใจ

“The Perfect Storm” = เมื่อทั้งโลกพร้อมจะ “รัดเข็มขัด”?

AI เป็นเพียงแรงสั่นสะเทือนหนึ่งในหลายระลอกที่กำลังถาโถมใส่อุตสาหกรรมที่ปรึกษา

1. ภาครัฐทั่วโลกเริ่มตรวจสอบและลดงบจ้างที่ปรึกษา
รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มยกเลิกสัญญามูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ และตั้งคณะกรรมการตรวจสอบค่าใช้จ่ายของบริษัทที่ปรึกษา เช่น McKinsey และ Deloitte อย่างเข้มงวด เพราะหลายโครงการใช้ทรัพยากรมหาศาลแต่ให้ผลลัพธ์ต่ำกว่าที่สัญญาไว้

2. องค์กรใหญ่หันมาใช้ AI ลดต้นทุนของตัวเอง
Accenture ยอมรับว่าได้ใช้ AI เพื่อลดพนักงานกว่า 11,000 ตำแหน่ง เช่นเดียวกับ Salesforce ที่ปลด 4,000 คน และ Microsoft ที่ชะลอการจ้างงานในหน่วยที่ปรึกษา เพราะระบบอัตโนมัติทำงานได้เทียบเท่าในต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวเดียว

ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดคือ "หุ้นของบริษัทที่ปรึกษารายใหญ่ร่วงลงกว่า 30% ในรอบสองปี ในขณะที่ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นกว่า 50%” เป็นสัญญาณว่าตลาดกำลัง “ถอนความเชื่อมั่น” จากโมเดลธุรกิจแบบเดิม

กล่าวอีกนัยหนึ่ง...อุตสาหกรรมที่เคยขาย “ความเร็วในการคิด” กำลังแพ้ให้กับเครื่องจักรที่คิดได้เร็วกว่า และเรียนรู้ได้ไม่หยุดพัก

* สิ่งที่เกิดกับบริษัทที่ปรึกษาในวันนี้ คือสัญญาณเตือนสำหรับ “ทุกอาชีพที่เป็นคนกลางทางปัญญา” (Intellectual Middlemen) ไม่ว่าคุณจะเป็นนักวิเคราะห์ นักการตลาด นักกฎหมาย นักบัญชี หรือแม้แต่นักเขียน
* เพราะเมื่อ “ข้อมูล” กลายเป็นของฟรี ความได้เปรียบของคนที่ทำหน้าที่ “สรุป-แปล-เรียบเรียง” จะลดลงเรื่อย ๆ และ AI จะเข้ามาแทนที่บทบาทนี้อย่างเป็นระบบ ด้วยความเร็ว ความแม่นยำ และต้นทุนที่มนุษย์ไม่มีทางแข่งขันได้

“AI กำลังไม่เพียงแค่ฆ่า ‘คนกลาง’ แต่กำลังฆ่าทั้ง ‘โครงสร้างทางอาชีพ’ ที่พวกเขาอาศัยอยู่”

"ทางรอดของมนุษย์" จาก ‘Informer’ สู่ ‘Insight Generator’

ในโลกที่ข้อมูลท่วมล้น สิ่งที่มนุษย์ต้องยกระดับคือ “คุณค่าทางปัญญา” ที่ AI ยังเลียนแบบไม่ได้ ได้แก่

1. การสร้างมุมมองใหม่ (Perspective Building)
ข้อมูลมีอยู่ทุกที่ แต่ “การตีความ” คือสิ่งที่ทำให้มันทรงคุณค่า ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงจะต้องเชื่อมโยงข้อมูลเข้ากับบริบท สังคม วัฒนธรรม และผลกระทบในระยะยาวได้

3. การสื่อสารที่เปลี่ยนใจคน (Persuasive Communication)
การนำเสนอข้อมูลให้คนเข้าใจคือทักษะหนึ่ง แต่การสื่อสารให้ “คนเชื่อและลงมือทำ” คืออีกขั้นหนึ่งที่ AI ยังทำไม่ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

4. การเชื่อมโยงอารมณ์กับความหมาย (Human Connection)
ความเข้าใจ ความเห็นใจ และแรงบันดาลใจ คือสิ่งที่มนุษย์เท่านั้นที่ส่งต่อได้ และนี่คือสิ่งที่ทำให้องค์กรยังต้องการ “มนุษย์” ในระบบอัตโนมัติทั้งใบ

บทเรียนสุดท้าย = AI ไม่ได้แย่งงาน แต่กำลังเปลี่ยนความหมายของ “งาน”

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมที่ปรึกษา เป็นเพียงตัวอย่างแรก ๆ ของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่กำลังลามไปทุกวงการ ไม่ใช่เพราะ AI “ฉลาดกว่า” มนุษย์ แต่เพราะมันทำให้ “สิ่งที่เคยมีมูลค่า” กลายเป็นสิ่งที่ถูกลงจนแทบไม่มีมูลค่า

ในอนาคตอันใกล้ มนุษย์ที่อยู่รอดไม่ใช่คนที่รู้มากที่สุด แต่คือคนที่ “รู้ลึกกว่าที่ AI เข้าใจ” และสามารถเชื่อมโยง “ข้อมูล + ปัญญา + ความเป็นมนุษย์” เข้าด้วยกันได้อย่างกลมกลืน
“เราอาจไม่ต้องกลัวว่า AI จะมาแทนที่เรา แต่ควรถามตัวเองว่า เรากำลังใช้มนุษย์ในตัวเราได้คุ้มค่าที่สุดหรือยัง”

เดี๋ยวกลไกธรรมชาติก็ทำงานเอง AI มาทำงานแทนคน คนไม่มีงานก็ไม่มีรายได้ ก็ไม่อยากมีลูก ลดรายจ่าย

ประชากรโลกก็เข้าสู่ขาลง มีแต่ลดไปเรื่อยๆ(ทุกวันนี้ก็เริ่มจะเป็นแบบนั้นในหลายๆประเทศแล้ว) ถ้าถึงจุดวิกฤตที่

การตายมากกว่าเกิดทั่วโลก เดี๋ยวโลกมันจะ reset ใหม่