โปรเจค ตอเรสและซัวเรซ เบื้องหลังความฝัน 72 ชั่วโมง
28 มกราคม 2011
______________
บรรยากาศในหมู่แฟนบอลลิเวอร์พูล เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและเปี่ยมด้วยความหวัง เมื่อสโมสรประกาศอย่างเป็นทางการว่าได้บรรลุข้อตกลงมูลค่า 22.8 ล้านปอนด์กับอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เพื่อคว้าตัว หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้ากัปตันทีมชาติอุรุกวัยผู้กำลังร้อนแรง
ข่าวนี้ไม่ใช่แค่การเสริมทัพธรรมดา แต่มันคือการจุดประกายจินตนาการถึงภาพคู่กองหน้าที่อันตรายที่สุดในพรีเมียร์ลีก
การประสานงานระหว่าง "เอล ปิสโตเลโร" ผู้เปี่ยมด้วยเทคนิคและไหวพริบ กับ "เอล นินโญ่" เฟร์นานโด ตอร์เรส ดาวยิงขวัญใจหมายเลข 9 แห่งแอนฟิลด์
นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนจากเจ้าของสโมสรกลุ่มใหม่ เฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป (FSG) ว่ายุคมืดมนของความไม่แน่นอนทางการเงินได้สิ้นสุดลงแล้ว และสโมสรกำลังจะกลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้ง
แต่ทว่า ความฝันอันหอมหวานนั้นกลับพังทลายลงในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เมื่อข่าวช็อกวงการฟุตบอลแพร่ออกไป
เฟร์นานโด ตอร์เรส ได้ยื่นคำร้องขอขึ้นบัญชีย้ายทีมอย่างเป็นทางการ
โปรเจกต์คู่หู ตอร์เรส-ซัวเรซ เคยเป็นแผนการที่มีอยู่จริงซึ่งถูกทำลายโดยการตัดสินใจที่หักหาญน้ำใจ หรือแท้จริงแล้ว การเซ็นสัญญาซัวเรซเป็นเพียงความพยายามเฮือกสุดท้ายที่ล้มเหลวในการรั้งตัวซูเปอร์สตาร์ที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะจากไป?
และนี่คือเบื้องหลังเหตุการณ์ 72 ชั่วโมงที่สั่นสะเทือนแอนฟิลด์
_____________
การตัดสินใจย้ายทีมของเฟร์นานโด ตอร์เรส ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันในเดือนมกราคม 2011 แต่มันคือบทสรุปของความไม่พอใจที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน ซึ่งกัดกร่อนความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสโมสรจนยากจะเยียวยา
ต้นตอสำคัญที่สุดที่ตอร์เรส กล่าวถึงอยู่เสมอ คือความล้มเหลวของสโมสรในการลงทุนเพื่อทดแทนการจากไปของผู้เล่นคนสำคัญอย่าง ชาบี อลอนโซ่ และ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่
ในมุมมองของเขา การขายสองเสาหลักในแดนกลางออกไปโดยไม่มีการเสริมทัพที่มีคุณภาพทัดเทียมกันเข้ามา เป็นสัญญาณว่าทีมกำลัง "แตกสลาย" และขาดความทะเยอทะยานที่จะแข่งขันเพื่อแย่งชิงถ้วยรางวัลใหญ่
บรรยากาศของความไม่แน่นอนยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นภายใต้การบริหารงานของเจ้าของสโมสรคู่หูชาวอเมริกัน ทอม ฮิคส์ และ จอร์จ จิลเล็ตต์ ซึ่งสร้างหนี้สินมหาศาลและเกือบทำให้สโมสรล้มละลาย
แม้ FSG จะเข้ามาเทคโอเวอร์ แต่ตอร์เรสก็ยังมองว่าสโมสรกำลังเข้าสู่ช่วง "เปลี่ยนผ่าน" ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างทีมใหม่ที่ต้องใช้เวลา
และสำหรับนักเตะวัย 26 ปีที่อยู่ในช่วงจุดสูงสุดของอาชีพค้าแข้ง เขารู้สึกว่าตนเองไม่สามารถรอได้
สถานการณ์ภายในทีมย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
เจมี คาร์ราเกอร์ รองกัปตันทีมในขณะนั้น ย้อนความหลังว่าช่วงหลายเดือนสุดท้ายกับตอร์เรสเปรียบเสมือน "ฝันร้าย" และทุกคนในสโมสรต่าง "รอให้เขาย้ายออกไปไม่ไหวแล้ว"
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพจิตใจที่ตกต่ำของนักเตะที่เคยเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของทีม
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความมืดมิด ยังมีแสงสว่างรำไรเกิดขึ้นเมื่อ เคนนี ดัลกลิช ตำนานสโมสร กลับเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชั่วคราว
ภายใต้การคุมทีมของ "คิง เคนนี" ตอร์เรสเริ่มแสดงให้เห็นถึงฟอร์มการเล่นที่กลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง โดยเฉพาะการยิง 2 ประตูในเกมกับวูล์ฟแฮมป์ตัน ซึ่งกลายเป็นประตูสุดท้ายของเขาในสีเสื้อลิเวอร์พูล
การคืนฟอร์มในช่วงสั้นๆ นี้เองที่ทำให้การย้ายทีมของเขาสร้างความเจ็บปวดให้แก่แฟนบอลมากยิ่งขึ้น
_____________
บทบาทของ สตีเวน เจอร์ราร์ด กัปตันทีมผู้เป็นดั่งสัญลักษณ์ของสโมสร กลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าเศร้าและซับซ้อน
ตอร์เรส ยกย่องเจอร์ราร์ดว่าเป็นเพื่อนร่วมทีมที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยมี และเป็นผู้ที่ "เปลี่ยนแปลงอาชีพค้าแข้ง" ของเขา และที่สำคัญ ตอร์เรสเปิดเผยว่าเจอร์ราร์ด ซึ่งเคยเกือบย้ายไปเชลซีด้วยตัวเองในอดีต ได้ให้คำแนะนำกับเขาว่า
"ไปเถอะ คิดถึงตัวเอง ทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับนาย"
อย่างไรก็ตาม เมื่อตอร์เรสยืนยันว่าเขากำลังจะตอบรับข้อเสนอของเชลซีจริงๆ มันกลับ "ทำลาย" จิตใจของเจอร์ราร์ด
ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันของกัปตันทีมสะท้อนถึงภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของสโมสรได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ความเข้าใจในเหตุผลเชิงอาชีพของนักเตะระดับโลกที่ต้องการย้ายออกจากโครงการที่กำลังประสบปัญหา แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียทั้งในระดับบุคคลและในฐานะทีม
การย้ายทีมของตอร์เรสไม่ใช่การทรยศที่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืนเพื่อเงิน แต่เป็นบทสรุปที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของความเสื่อมถอยในระดับสถาบันที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาหลายปี
ตลาดซื้อขายเดือนมกราคม 2011 เป็นเพียงเวทีสำหรับฉากสุดท้ายของละครโศกนาฏกรรม ไม่ใช่ต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด ข้อเสนอของเชลซีไม่ได้เป็นตัวกระตุ้นให้ตอร์เรสอยากย้ายทีม แต่เป็นเพียงยานพาหนะที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
_____________
ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตของตอร์เรส การเซ็นสัญญาคว้าตัว หลุยส์ ซัวเรซ คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งชี้ว่าแผนการเดิมของลิเวอร์พูลคือการสร้างคู่กองหน้าระดับโลก ไม่ใช่การหาตัวแทน
รายงานข่าวในช่วงวันที่ 28-30 มกราคม 2011 มีความชัดเจนอย่างยิ่งว่า FSG มองว่าการเซ็นสัญญากับซัวเรซคือหนทางที่จะ "สนับสนุนตอร์เรส ไม่ใช่การหาคนมาแทนที่เขา"
การลงทุนครั้งนี้ถูกออกแบบมาเพื่อ "โน้มน้าวให้ตอร์เรสเห็นถึงความทะเยอทะยานของสโมสร"
ท่าทีอย่างเป็นทางการของสโมสรในช่วงแรกนั้นแข็งกร้าวมาก โดยยืนยันว่า "ตอร์เรสไม่ได้มีไว้ขาย" และได้ปฏิเสธคำร้องขอย้ายทีมของเขาในทันที
ในความคิดของบอร์ดบริหาร แผน A คือแนวรุกที่มีทั้งสองคนเป็นหัวใจสำคัญ
การตัดสินใจดังกล่าวสะท้อนถึงแนวทางการบริหารของเจ้าของสโมสรกลุ่มใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเทคโอเวอร์ได้ไม่นาน พวกเขาเชื่อว่าการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นอย่างเป็นรูปธรรมผ่านการลงทุนซื้อนักเตะระดับท็อป จะสามารถแก้ไขปัญหาความไม่เชื่อใจที่ตอร์เรสมีต่อสโมสรได้
แต่ทว่า มันคือการคำนวณที่ผิดพลาดอย่างมหันต์
FSG ซึ่งยังใหม่กับวงการฟุตบอลอังกฤษ ได้ประเมินความลึกของบาดแผลทางอารมณ์และความเชื่อใจที่ตอร์เรสได้รับจากยุคก่อนหน้านี้ต่ำเกินไป พวกเขาใช้ตรรกะทางธุรกิจ (การใช้เงิน) เพื่อแก้ปัญหาที่กลายเป็นเรื่องของความรู้สึกส่วนตัวไปแล้ว (การสูญเสียศรัทธา)
การลงทุน 22.8 ล้านปอนด์จึงกลายเป็นการกระทำที่ "สายเกินไป"
สำหรับตัวหลุยส์ ซัวเรซ เอง การย้ายมาลิเวอร์พูลมีปัจจัยสำคัญหลายอย่าง เขาประทับใจในตัว เคนนี ดัลกลิช อย่างมาก และยกให้การเข้ามามีส่วนร่วมของตำนานสโมสรเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เขาตัดสินใจย้ายทีม
ที่น่าสนใจคือ ซัวเรซเปิดเผยว่าเขาชื่นชมในฝีเท้าของตอร์เรสเป็นอย่างมาก โดยยอมรับว่า "ผมเล่นเกมเพลย์สเตชันโดยใช้เฟร์นานโด ตอร์เรส ตลอด" และรู้สึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ลงเล่นร่วมกับฮีโร่ของเขาที่แอนฟิลด์
เรื่องราวนี้ได้เพิ่มมิติความน่าเสียดายเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง เมื่อผู้เล่นที่ถูกวางตัวให้เป็นคู่หู ก็เป็นแฟนตัวยงของอีกคนหนึ่งด้วย
ซัวเรซ เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการในวันสุดท้ายของตลาดซื้อขาย (31 มกราคม) และได้รับเสื้อหมายเลข 7 อันเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นของดัลกลิชเอง เพื่อเป็นเครื่องหมายของการเริ่มต้นยุคใหม่
_____________
ลำดับเหตุการณ์ "ความฝัน 72 ชั่วโมง"
▪ 28 ม.ค. (ช่วงบ่าย): ลิเวอร์พูล บรรลุข้อตกลงค่าตัว 22.8 ล้านปอนด์กับอาแจ็กซ์เพื่อคว้าตัวหลุยส์ ซัวเรซ
▪ 28 ม.ค. (ช่วงเย็น): เฟร์นานโด ตอร์เรส ยื่นคำร้องขอขึ้นบัญชีย้ายทีมเป็นลายลักษณ์อักษร
▪ 28 ม.ค. (ช่วงค่ำ): ลิเวอร์พูล ปฏิเสธคำร้องขอย้ายทีมของตอร์เรสอย่างเป็นทางการ
▪ 30 ม.ค.: ผู้บริหารลิเวอร์พูลใช้เวลาทั้งวันพยายามเกลี้ยกล่อมให้ตอร์เรสอยู่กับทีมต่อไป
▪ 31 ม.ค. (ช่วงเช้า): ลิเวอร์พูล ยื่นข้อเสนอ 30 ล้านปอนด์ให้แก่นิวคาสเซิลเพื่อขอซื้อแอนดี้ แคร์โรลล์
▪ 31 ม.ค. (ช่วงบ่าย): นิวคาสเซิล ตอบรับข้อเสนอที่เพิ่มขึ้นเป็น 35 ล้านปอนด์สำหรับแคร์โรลล์
▪ 31 ม.ค. (ช่วงเย็น): ลิเวอร์พูล ประกาศการเซ็นสัญญากับหลุยส์ ซัวเรซ อย่างเป็นทางการ
▪ 31 ม.ค. (ช่วงดึก): เชลซี ประกาศการเซ็นสัญญากับเฟร์นานโด ตอร์เรส ด้วยค่าตัว 50 ล้านปอนด์
_____________
การเซ็นสัญญาคว้าตัว แอนดี้ แคร์โรลล์ ด้วยค่าตัวมหาศาล 35 ล้านปอนด์ ไม่ใช่การซื้อตัวตามแผนที่วางไว้ แต่เป็นผลพวงโดยตรงจากความวุ่นวายลที่เกิดจากการย้ายทีมของตอร์เรส
ความเห็นพ้องต้องกันจากบุคคลภายในคือการซื้อตัวแคร์โรลล์เป็นการกระทำแบบ "ไม่มีแผนหรือการไตร่ตรรองล่วงหน้า"
สโมสรถูกทำให้ "เซอร์ไพร์ส" จากการยื่นขอย้ายทีมของ ตอร์เรส
เงิน 50 ล้านปอนด์ที่ได้จากการขายตอร์เรส ถูกนำไปลงทุนใหม่ทันทีกับซัวเรซ (22.8 ล้านปอนด์) และแคร์โรลล์ (35 ล้านปอนด์)
การตัดสินใจนี้บีบให้ เคนนี ดัลกลิช ต้องปรับเปลี่ยนแท็กติกอย่างฉับพลัน จากเดิมที่เขามีโอกาสสร้างคู่กองหน้าที่เปี่ยมด้วยเทคนิคและความคล่องตัว เขากลับต้องหาวิธีผสมผสานกองหน้าหมายเลข 9 สไตล์โบราณอย่างแคร์โรลล์ เข้ากับสไตล์การเล่นที่อิสระและคาดเดาไม่ได้ของซัวเรซ
ความไม่ลงตัวทางแท็กติกนี้ได้สร้างปัญหาให้กับทีมไปอีกหลายฤดูกาล
หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดซึ่งยืนยันถึงเจตนาเดิมของสโมสรมาจากปากของคนในวงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจมี คาร์ราเกอร์ รองกัปตันทีมในขณะนั้น ซึ่งได้ให้การยืนยันอย่างหนักแน่นว่า
"ถูกต้อง แผนคือให้ซัวเรซและตอร์เรสเล่นด้วยกัน แคร์โรลล์เกิดขึ้นเพียงเพราะเราช็อคกับการขอย้ายทีมของตอร์เรส"
คำให้การจากบุคคลอาวุโสในห้องแต่งตัวเช่นนี้ถือเป็นการยุติข้อถกเถียงทั้งหมดเกี่ยวกับความตั้งใจแรกเริ่มของสโมสร
คาร์ราเกอร์ มักจะกล่าวถึงความยากลำบากในการรั้งตัวนักเตะที่ไม่พอใจอยู่กับทีม โดยยกกรณีของตอร์เรสเป็นตัวอย่างสำคัญ นอกจากนี้ เขายังยกย่องซัวเรซว่าเป็นการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเล่นด้วย ซึ่งเหนือกว่าตอร์เรสในช่วงที่ฟอร์มดีที่สุดด้วยซ้ำ
_____________
แม้จะประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก และยูโรปาลีก แต่ช่วงเวลาของตอร์เรสที่เชลซีกลับถูกจดจำในฐานะความล้มเหลวในการแบกรับค่าตัว 50 ล้านปอนด์
ฟอร์มการเล่นของเขาดิ่งลงอย่างน่าใจหาย และไม่เคยกลับไปเป็นนักเตะคนเดิมที่เคยสร้างความหวาดหวั่นให้กับกองหลังทั่วทั้งยุโรปสมัยที่อยู่แอนฟิลด์ได้อีกเลย
ในทางตรงกันข้าม ซัวเรซได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่แอนฟิลด์ เขาเกือบจะแบกทีมลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ด้วยตัวคนเดียวในฤดูกาล 2013-14 ซึ่งเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่นักเตะคนหนึ่งจะทำผลงานส่วนตัวได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของลีก
ในคำพูดของคาร์ราเกอร์ เขาได้กลายเป็น "กองหน้าตัวเป้าที่ดีที่สุดในโลกอย่างไม่มีข้อกังขา"
_____________
อย่างไรก็ตามการย้ายทีมของทั้งตอร์เรสและซัวเรซ (บาร์เซโลน่า) ไม่ใช่เหตุการณ์ที่แยกจากกัน แต่เป็นอาการของปัญหาเดียวกันที่ลิเวอร์พูลต้องเผชิญในยุคนั้น
สโมสรเป็น "เวที" ที่ยอดเยี่ยมในการแจ้งเกิด แต่ยังไม่ใช่ "จุดหมายปลายทาง" สุดท้ายสำหรับนักเตะระดับโลก
ลิเวอร์พูล สามารถค้นหาและพัฒนาพรสวรรค์ชั้นยอดได้ แต่ไม่สามารถมอบความสำเร็จในระดับสูงสุดได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งนำไปสู่วงจรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้เล่นที่ดีที่สุดของพวกเขาจะย้ายไปยังสโมสรอย่างเชลซี, เรอัล มาดริด และบาร์เซโลนา
วงจรนี้จะถูกทำลายลงได้ก็ต่อเมื่อมีการเข้ามาของผู้จัดการทีมที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างอย่าง เยอร์เก้น คล็อปป์
_____________
ไม่ต้องมีข้อกังขาใดๆ เลยว่าโปรเจกต์การจับคู่ เฟร์นานโด ตอร์เรส และ หลุยส์ ซัวเรซ เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน มันคือกลยุทธ์หลักของเจ้าของสโมสรกลุ่มใหม่ของลิเวอร์พูลในเดือนมกราคม 2011 แม้ว่าจะมีช่วงเวลาที่สั้นอย่างน่าใจหายก็ตาม
ความล้มเหลวของแผนการนี้เป็นผลมาจากจังหวะเวลาที่เลวร้ายอย่างที่สุด การเดินเกมของสโมสรเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ตอร์เรส ซึ่งความอดทนและศรัทธาได้หมดสิ้นลงแล้วหลังจากความเสื่อมโทรมของสโมสรที่ดำเนินมาหลายปี จะตัดสินใจเดินหน้าย้ายทีมอย่างเด็ดขาด
มหากาพย์ครั้งนี้เปรียบเสมือนบทเรียนราคาแพงสำหรับ FSG มันเปิดโปงให้เห็นถึงความลึกของปัญหาที่พวกเขาสืบทอดมา และบีบให้พวกเขาต้องเข้าสู่ตลาดซื้อขายอย่างตื่นตระหนก (การซื้อแคร์โรลล์) ซึ่งส่งผลกระทบต่อแท็กติกของทีมไปอีกนาน
อย่างไรก็ตาม โดยไม่ได้ตั้งใจ มันกลับทำให้พวกเขาได้ครอบครองหนึ่งในนักเตะที่มีพรสวรรค์ที่สุดในยุคของเขาอย่างหลุยส์ ซัวเรซ ผู้ที่จะเข้ามานิยามสโมสรขึ้นมาใหม่และวางรากฐานทางความรู้สึกสำหรับความสำเร็จที่จะตามมาในอนาคต
ดังนั้น "คู่หูในจินตนาการ" จึงยังคงเป็นเรื่องราว "ถ้าหากว่า..." ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของลิเวอร์พูล เป็นเรื่องเล่าของความทะเยอทะยาน ความเจ็บปวด และรุ่งอรุณอันแสนวุ่นวายของยุคใหม่
Cr.เพจSuperAey