อุทธาหรณ์ อย่าซื้อบ้านในโครงการเด็ดขาด!
เพราะกฎหมายไทยมันส้นตรีน มันไม่ได้คุ้มครองผู้บริโภค แต่คุ้มครองนายทุน!
กระบวนการทุกกระบวนการซื้อได้ด้วยเงิน!
----------------------
หลายคนคงมีความฝันว่าวันหนึ่งจะเก็บเงินซื้อบ้านสักหลังเพื่ออยู่อาศัยไปจนแก่ชรา
เรากับแฟนก็เป็นแบบนั้น เราเลือกซื้อบ้านในโครงการของ Developer ที่มีชื่อเสียง มีคอนโดในเมืองที่ได้รับรางวัลด้านออกแบบจำนวนมาก และหมู่บ้านที่เลือกก็ได้รับรางวัลด้านการออกแบบดีไซน์ เป็นโครงการมูลค่ารวมกว่า 1 พันล้สนบาท
วันแรกที่ก้าวเข้ามา ถนนสายหลักของหมู่บ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ เขียวครึ้ม เป็นอุโมงค์ต้นไม้ยาวๆ ปกคลุ่มทั้งถนน ด้านหลังของบ้านก็เป็นสวนที่มีต้นไม้ใหญ่เขียวขจี มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ เป็นบ้านที่สวยงามดั่งฝัน แถมโลเคชันก็อยู่ใกล้แฟชันชนิดขับรถ 5 นาทีถึง ใกล้ถนนวงแหวน และหมู่บ้านยังมีทางออก 2 ทาง ออกได้ทั้งฝั่งถนนรัชดา-รามอินทราและสวนสยาม มีระบบรักษาความปลอดภัย 2 ชั้น มียามคอยดูแลตลอด 24 ชม.
เราตัดสินใจซื้อโครงการนี้ด้วยความสวยงามร่มรื่น ความสะดวกสบาย และเชื่อใจ Developer รายนี้ ซึ่งมี Background เดิมมาจากบริษัทรับเหมาชั้นนำของประเทศที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์
แต่พอมาอยู่จริงภาพฝันที่วาดไว้ค่อยๆ หายไปทีละอย่าง เริ่มจาก ถนนที่สวยงามของหมู่บ้าน เป็นถนนภาระจำยอม มีรถใช้ผ่านเข้าออกจำนวนมาก และรถที่ใช้ผ่านทางเยอะที่สุด คือ รถบรรทุก!
เรามารู้ความจริงหลังซื้อว่าทางออกด้านหลังหมู่บ้านเต็มไปด้วยโรงงาน บริษัทโลจิสติก โกดังสินค้า และที่เลวรายที่สุด ยังมีโรงงานพรีแคสต์ชิ้นส่วนคอนโดของ Developer รายนี้ รวมทั้งแคมป์คนงานก่อสร้างขนาดใหญ่ของ Developer รายนี้อยู่ด้วย ซึ่งเป็นผู้สัญจรหลักของหมู่บ้าน
ถนนที่เราวาดฝันว่าจะเดินออกกำลังกายตอนเย็นๆ กลับเต็มไปด้วยอันตราย จากรถบรรทุกที่วิ่งผ่านทั้งวันและยิ่งเยอะในช่วงเย็นและค่ำ คนงานที่เดินผ่านหมู่บ้านไปทำงานไซต์ก่อสร้างคอนโดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน ซึ่งเป็นคอนโดของ Developer เจ้านี้เช่นกัน และยังมีปัญหาโจรขโมยจากการที่คนนอกเข้า-ออกหมู่บ้านโดยเสรี ทุกครั้งที่กิดเหตุก็ได้รับคำตอบจาก Developer ว่ากล้องวงจรปิดเสีย
บ่อน้ำด้านหลังที่เคยสวยงาม อยู่ๆ ไปเริ่มเน่า ต้นไม้ขึ้นรกรุงรังกลายเป็นรังงูและตัวเหี้ย เนื่องจาก Developer ไม่ดูแล โดยให้เหตุผลว่าตอนแรกที่พัฒนาโครงการไม่คิดว่าการดูแลสวนจะใช้งบเยอะเช่นนี้ และโครงการคาดหวังว่าลูกบ้านจะช่วยกันดูแลสวน ไม่ได้คิดว่าโครงการต้องมาดูแล
ในยามค่ำคืนไฟถนนแทบไม่มี เพราะโครงการนี้ไม่ติดไฟถนน มีเพียงแสงจากเสาไฟเตี้ยๆ แบบที่เป็นไฟติดตั้งในสวนเท่านั้น ทำให้ตอนกลางคืน แค่จะเดินเอาขยะไปทิ้งยังต้องใช้ไฟฉายส่องทาง วันดีคืนดี มืดๆ ฝนตก มีคนงานจากแคมป์ของ Developer ด้านใน เมาขี่มอเตอร์ไซค์ชนฟุตปาทแล้วกระเด็นมาตายคาที่หน้าฟุตปาทบ้านเรา
ไม่ว่าลูกบ้านจะเรียกร้องกี่ครั้ง Developer จะอ้างว่าถนนนี้เป็นถนนภาระจำยอม เขาไม่สามารถติดตั้งเสาไฟที่สว่างกว่านี้ได้ ทั้งๆ ที่เรามาทราบในภายหลังว่าเป็นคำโกหก ถนนภาระจำยอม แค่ฝั่งละ 6 เมตรจากเกาะกลางถนนเท่านั้น ส่วนฟุตปาททั้งหมดเป็นของโครงการสามารถนำไฟส่องสว่างมาติดได้
ทั้งหมดนี้แค่อารัมภบท เพราะของจริงกำลังจะเริ่ม ในวันที่ Developer เรียกประชุมลูกบ้านเพื่อหารือเรื่องการตั้งนิติบุคคล ซึ่งเราเพิ่งรู้ว่าจะไม่ได้มีแค่หมู่บ้านเราที่อยู่ในนิติบุคคลนี้ แต่รวมอีกหมู่บ้านที่อยู่คนละฝั่งถนน กั้นกลางด้วยถนน 8 เลนส์ มีสะพานข้ามถนนวงแหวนอยู่ตรงกลาง และยังรวมถึงโซนโรงงานทั้งหมดที่อยู่หลังหมู่บ้านด้วย ด้วยเหตุผลที่ว่า ตอนซื้อโครงการต่อมาจากผู้จัดสรรรายอื่น ไม่ได้แยกผังโครงการออกจากกัน ตามกฎหมายแล้ว ไม่สามารถตั้งนิติบุคคลแยกได้
แน่นอนว่าลูกบ้านที่ร่วมประชุมไม่ยอม เพราะต้องการตั้งนิติบุคคลเฉพาะหมู่บ้านเท่านั้น ไม่เอาโรงงาน อีกทั้งพอสอบถาม Developer ว่าโรงงานจะมาจ่ายค่าส่วนกลางด้วยเหรอ คำตอบที่ได้ คือ เขาไม่จ่าย
พอเกิดเรื่องเราพยายามปรึกษาทั้งทนาย ไปที่ดิน คัดลอกเอกสารทั้งหมด ผังจัดสรรทั่งหมด มติคณะกรรมการจัดสรรทั้งหมด และคุยกับเจ้าหน้าที่ ทำให้เราพอจะทราบว่า
ผังจัดของผู้จัดสรรเดิมมีการแบ่งเฟสหมู่บ้านและโซนโรงงานออกจากกันเป็นส่วนๆ อยู่แล้ว เมื่อ Developer รายนี้ซื้อโครงการต่อมา ได้รวมทุกส่วนเข้าด้วยกันเหลือโครงการเดียว แต่ได้นำที่ดินบางส่วนออกจากโครงการ คือ ที่ดินติดถนนใหญ่ 4 แปลง เพื่อสร้างคอนโดขาย ปัจจุบันสร้างเสร็จ 2 ตึก อยู่ระหว่างก่อสร้าง 1 ตึก และยังไม่เริ่มสร้าง 1 แปลง รวมทั้งที่ดินที่ตั้งโรงงานพรีแคสต์และแคมป์คนงานถูกเอาออกจากผังจัดสรรโครงการ
ทำไมถึงต้องรวมผัง? เป็นคำถามที่เกิดขึ้น และเมื่อเรามาดูกฎหมาย พบว่า กฎหมายกำหนดให้หมู่บ้านจัดสรรต้องมี สวนสาธารณะหรือสนามเด็กเล่นขนาดไม่ต่ำกว่า 5% ของพื้นที่ขาย โดยต้องเป็นที่ผืนเดียวติดกัน ซึ่งหมู่บ้านเราปัจจุบันและอีกหมู่บ้านมีที่สวนสาธารณะไม่ครบตามกม.กำหนด เพราะเอาพื้นที่ไปสร้างบ้านขายจนเต็ม ดังนั้น ในผังจัดสรรจึงเอาสวนสาธารณะไปไว้ที่ดินท้ายโรงงาน ซึ่งทางกายภาพอยู่ห่างจากทางออกด้านหลังหมู่บ้านถึง 600 เมตร ต้องเดินผ่านทั้งโรงงานและสลัม ซึ่งในทางปฏิบัติไม่มีใครเดินไปแน่นอน ที่ดินสำหรับสร้างออฟฟิศนิติบุคคลก็อยู่ตรงนั้น
เรื่องนี้เราพยายามเจรจากับ Developer มากว่า 2 ปีเพื่อให้มีการตั้งนิติบุคคลเฉพาะของหมู่บ้าน ซึ่งช่วงปีแรก Developer ปฏิเสธอย่างเดียวว่าไม่สามารถแก้ไขผังได้ เพราะเจ้าหน้าที่รัฐไม่ให้ทำ พร้อมท้าลูกบ้านว่าถ้าทำได้ให้ไปทำเอง ทำได้แล้วจะจ่ายเงินให้ด้วย
ลูกบ้านจึงได้ปรึกษากับ Consult เฉพาะทางและได้ทางออกว่าการแยกเฉพาะโครงการสามารถทำได้ เพราะปัจจุบันพื้นที่สวนเฉพาะของหมู่บ้านคิดเป็น 4.80% ส่วนทางเท้าฝาหน้าสวนซึ่งเป็นที่ดินของโครงการ ไม่ใช่ภาระจำยอมกว้างถึง 3 เมตร ถ้าขยับแนวรั้วออกไป 1 เมตรตลอดทั้งแนวจะทำให้พื้นที่เกิน 5%
ทาง Developer ก็เห็นด้วยว่าสามารถทำได้ จึงได้มีการตกลงทำ MOU ระหว่างลูกบ้านกับ Developer เรื่องความร่วมมือ เพื่อยืนยันว่า Developer จะให้ความร่วมมือจริงๆ ไม่ยท้อหรือขัดขวางกระบวนการ ซึ่งการเจรจาเป็นไปอย่างล่าช้า เพราะ Developer ส่งเพียงเจ้าหน้าที่ระดับล่างที่ไม่มีำนาจตัดสินใจมา ทุกครั้งที่ลูกบ้านเสนออะไรก็ต้องนำกลับไปที่ประชุม กว่าจะมีความคืบหน้าใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 เดือน
จนท้ายที่สุด ความพีคเกิดขึ้นตอนใกล้จะลงนาม MOU ทาง Developer ปฏิเสธที่จะยกถนนหลักซึ่งเป็นถนนภาระจำยอมให้เป็นกรรมสิทธิ์ของนิติบุคคลของหมู่บ้าน โดยให้เหตุผลว่า "ถนนภาระจำยอมไม่อยู่ในโครงการตั้งแต่แรก"!!
นี่คือการซื้อบ้านในโครงการแต่ไม่ได้ถนน!! ถามว่าทำไม Developer ไม่ยอมยกกรรมสิทธิ์ถนนให้หมู่บ้าน คำตอบคือ เพราะ Developer ต้องการควบคุมสิทธิ์ในการใช้ถนน หรือพูดง่ายๆ คือ กลัวว่าถ้าถนนเป็นของหมู่บ้านจะกระทบต่อโรงงานของตน!! กลัวว่าการเข้าออกจะต้องจ่ายค่าบำรุงเส้นทาง!! เพราะทุกวันนี้ รถบรรทุกวิ่งเยอะมากทั้งวันทั้งคืน จนถนนทรุด ร้าว โดยที่เงินที่ใช้ซ่อมคือค่าส่วนกลางที่เก็บจากลูกบ้าน!!
และยิ่งกว่านั้นหากในอนาคตหมู่บ้านมีนิติบุคคล จะเป็นไปได้หรือไม่ที่ Developer จะมาเรียกเก็บเงินจากนิติบุคคลของหมู่บ้านเสียเอง ทั้งๆ ที่ตลอดมาตั้งแต่ตอนโฆษณา จ้างยูทูปเบอร์รีวิว มีการชี้นำตลอดว่าถนนเส้นนี้คือถนนของโครงการ ไม่มีการเอ่ยถึงภาระจำยอม ไม่มีใครรู้ว่าเป็นถนนภาระจำยอม เพราะถ้ารู้คงไม่ซื้อ!! แถมไม่ใช่แค่เป็นภาระจำยอมเท่านั้น ยังเป็นภาระจำยอมที่ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของหมู่บ้าน หมายความว่าในอนาคต หมู่บ้านจะไม่สามารถรักษาความปลอดภัยได้เลย คนงานเดินเข้าออกทั้งวันก็ไม่เป็นไร ทั้งๆ เคยได้ยินว่ามีเคสรปภ.ป้อมหลังหมู่บ้านเคยถูกฉุดไปข่มขืนด้วยซ้ำ
พูดมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจคิดว่านี่โครงการไก่กา แต่ต้องบอกว่าบ้านที่แพงที่สุดของโครงการราคา 20 ล้านบาทเลยนะ!!
เราได้คุยกับทนายว่าเป็นไปได้หรือที่ถนนจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ทนายตอบว่าเป็นไปได้ถ้าเขาทำให้มันไม่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการตั้งแต่แรก!! ในทางกฎหมายไม่สามารถสู้คดีได้เลย เพราะถือว่าผังจัดสรรผ่านคณะกรรมการจัดสรรที่ดินแล้ว!! หรือพูดง่ายๆ ถ้าคนกลุ่มหนึ่งที่กุมอำนาจอนุญาตแต่แรกก็ทำได้!!
หรือตีความได้ว่า Developer เจ้านี้ วางแผนตั้งแต่วันแรกว่าจะเอาโรงงานพรีแคสต์และแคมป์คนงานมาไว้ด้านในที่ดินที่ขายไม่ได้ เพื่อเป็นซัพพลายส่งต่อให้โครงการคอนโดทั้งกทม. และวางแผนที่จะใช้ถนนเส้นนี้ตลอดไปตั้งแต่แรก ไม่มีแผนจะไปไหน รถบรรทุกและคนงานก็ใช้หมู่บ้านมูลค่ากว่าพันล้านแห่งนี้สัญจรอย่างอิสระทุกวัน หรือพูดง่ายๆ มันคือการตั้งใจหลอกลวงเอาเปรียบผู้บริโภคตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นโครงการ
หลายคนอาจคิดว่า ไม่ได้ถนนก็ไม่เห็นเป็นไร เป็นภาระจำยอมก็ผ่านได้ แต่ต้องเข้าใจว่าคนซื้อ เขาซื้อโครงการ ไม่ได้อยากได้แค่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
เรื่องนี้ทำให้รู้ว่ากม.จัดสรรที่ดินประเทศไทยล้าหลังและปกป้องนายทุนขนาดไหน เพราะทุกวันนี้ Developer อ้างแต่ว่าใบอนุญาตโครงการเป็นไปตามประกาศคณะปฏิวัติ 2535 (ทั้งๆ ที่จริงๆ อยู่ภายใต้พรบ.จัดสรรที่ดิน 2542 ต่างหาก)
สุดท้าย หลายคนอาจจะคิดว่า "เราก็แค่ซวย" แต่เชื่อเถอะว่าหมู่บ้านหลายแห่งก็มีปัญหาแบบของมัน หมู่บ้านหลายแห่งตั้งนิติไม่ได้ หมู่บ้านหลายแห่งนิติล่ม ก็เพราะกฎหมายมันระบุว่าตั้งนิติบุคคลต้องใช้เสียงร้อยละ 50 ของลูกบ้าน ซึ่งจนท.ที่ดินก็ตีความว่า ร้อยละ 50 ของลูกบ้านทั้งหมด ไม่ใช่ร้อยละ 50 ของลูกบ้านที่มาประชุม จึงทำให้ในทางปฏิบัติตั้งไม่ได้เสียที จนต้องยกเป็นสาธารณะ
หลายคนอาจคิดว่า 50% ไม่เยอะนี่ แต่ความจริงคือ ไม่มีหมู่บ้านไหนที่คนอยู่เต็ม 100% คนไทยเห็นแก่ตัวกว่าที่คิด สำหรับคนไทยจำนวนหนึ่งที่เยอะพอสมควร การไปเดินห้าง ไปส่งลูกเรียน มันสำคัญกว่าการสละเวลามาประชุม คิดว่าอะไรที่เป็นอยู่แบบนี้จะเป็นตลอดไป จนมาวันที่เป็นสาธารณะแล้ว เรียกคืนไม่ได้แล้วถึงเข้าใจ แต่นั้นแหละ ทำไมหมู่บ้านที่นิติล่มถึงเยอะ
ทิ้งท้าย - เราเคยร้องเรียนโรงงานพรีแคสต์ของ Developer ว่าผิดกม.ผังเมืองเพราะขนาดเกินจากที่กม.กำหนดมา 5 เท่า สรุปเขตมีคำส่งรื้อเฉพาะผนังสังกะสีกับหลังคาเชื่อมอาคาร แยกอาคารเดิมออกเป็น 5 อาคารย่อยและบอกว่าถูกกม.แล้ว ทั้งๆ ที่ในความจริง โรงงานพรีแคสต์คือสายพานขนาดใหญ่บนพื้น หลังคามีแค่บังฝน แต่อุปกรณ์เครื่องมือทุกอย่างในความเป็นจริงไม่ได้ถูกแก้ไขแต่อย่างใด สะท้อนถึงการเลือกปฏิบัติของกม.ผังเมือง?
สวนและพื้นที่สำหรับสร้างสำนักงานนิติบุคคลในอนาคต ปัจจุบัน กลายเป็นตลาดนัดยามเย็น สำหรับคนงานในแคมป์มาเลือกช็อปปิ้งซื้อของกิน
ท้ายสุดๆ - หลายคนที่อ่านอาจแนะนำให้เราไปฟ้ององค์กรผู้บริโภคทั้งหลาย ต้องบอกว่าร้องมาหมดแล้ว ฟ้องมาหมดแล้ว ถ้าเขาเส้นใหญ่เรื่องของเราก็เงียบ
เราซวยเองที่เกิดมาในประเทศที่กฎหมายไม่คุ้มครองประชาชน เราซวยเองที่เกิดมาในที่ที่เงินซื้อได้ทุกอย่าง
https://www.facebook.com/photo/?fbid=25070223345895893&set=a.554076917937210