มาคุยเรื่อง น้ำอัดลมไร้น้ำตาล กันดีกว่า น่าจะเถียงกันมาร่วม 20 ปี
ตกลงมันดีจริงไหม จริงๆก็เห็นเถียงกันมาตั้งแต่ Good Shape Save Cost ของจอห์นวิญญูตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อนแล้วมั้ง ดราม่าใหญ่โตพอสมควร วันนี้ลองมาไล่ดูทีละข้อกัน
ข้อมูลโภชนาการทั่วไปบนฉลาก 0 แคล น่าจะมีแค่นี้
กระบวนการการผลิต จะมีสาร 2 ตัวที่เข้ามาเกี่ยว
1. Aspartame - แอสปาร์แตม หลายคนอาจจะคุ้นชื่อนี้ จริงๆคือบริษัทที่ผลิตต้องการให้คนคุ้นขื่อนี้เพราะมันค่อนข้างจะมาจากธรรมชาติอยู่บ้าง

หวานกว่าน้ำตาล 200 เท่า
ประกอบด้วยกรดอะมิโนหลัก 2 ตัว คือ กรดอะมิโน L-Aspartic acid เมทิลเอสเตอร์ของกรดอะมิโน L-Phenylalanine ซึ่ง
ได้มาจากการ"หมัก"น้ำตาลที่ได้จากข้าวโพด(และเปลือกข้าวโพด) ด้วยแบคทีเรียที่ดัดแปลงพันธุกรรมเช่น E.Coli อีคอไล(ที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียอาหารเป็นพิษนั่นแหละ แต่อันนี้ดัดแปลงพันธุกรรมแล้ว)
2. Acesulfame Potassium - Acesulfame K
เป็นสารเคมีสังเคราะห์บริสุทธิ์ หวานกว่าน้ำตาล 200 เท่า ได้มาจากการนำ Acetoacetic acid derivatives หรือสารตั้งต้นอินทรีย์(
ที่ได้มาจากกระบวนการผลิตน้ำมันหรือปิโตรเคมี)
นำมาผ่านกระบวนการ Chlorination
โดยการใช้สารคลอรีน(ที่ไว้ใช้โรยสระน้ำฆ่าเชื้อโรค)เข้าไปเปลี่ยนแปลงโมเลกุล ทำให้เกิดวงแหวนและตกผลึก
โอเค ดูจากส่วนผสมก็ปกติ แต่พอมาดูวิธีการผลิตแล้วอาจไม่น่ากินเป็นประจำเท่าไร
แต่! WHO ก็ไม่ได้ให้อันตรายต่อสารชนิดนี้มากเท่าไร คือให้เป็นแค่ความเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็ง และในผู้ใหญ่โตเต็มวัย ไม่ควรดื่มเกินวันละ 9-20 กระป๋อง ติดต่อกันเป็นเวลานาน
ก็แสดงว่าสารสังเคราะห์ในไดเอทโค๊ก เป๊ปซี่แมกซ์ ด้วยปริมาณที่ใส่ลงไปซึ่งอาจจะน้อย ก็ไม่ได้เป็นอันตราย
แต่!...(ครั้งที่สอง) 
อย่างไรก็ตาม
น้ำอัดลมพวกนี้มี addictive factor ในตัวมันเองหลายอย่าง ที่จะไปกระตุ้น Dopamine pathway คือความพึงพอใจในการรับอาหาร เช่น
1. ตัวสารให้ความหวานเอง ที่จะไปกระตุ้นระบบประสาทให้เกิดความพึงพอใจ
2. คาเฟอีน ลดความเหนื่อยล้า เพราะไปเพิ่มสารสื่อประสาทในสมอง
3. โซดา กระตุ้นระบบรับความรู้สึกในสมอง
เหล่านี้ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนได้รับรางวัล คือถ้าใครเรียนจิตวิทยามา
มันจะเหมือนเวลาเราสั่นกระดิ่งหรือเคาะชามข้าวก่อนให้อาหารหมา แล้วต่อมน้ำลายของหมาจะเริ่มทำงาน หมาจะวิ่งมาอย่างมีความสุข เพราะ Dopamine pathway ของมันทำงาน
ในเชิงการเสพติดโคล่าก็เหมือนกัน เนื่องจากมันมีตัวกระตุ้นถึงสามอย่าง ถ้าเรากินโคล่าติดกันเป็นเวลานานๆ เวลาได้ยินเสียง ป๊อก! ซ่าาาาา! ขึ้นมาเราก็จะน้ำลายไหล หรือเห็นภาพน้ำโค๊กซ่าๆในโรงภาพยนต์ อันนี้เรียกว่า Classical Conditioning ของ Palov คือเมื่อมีสิ่งกระตุ้นแล้วจะได้รางวัล
ในเชิงของผงชูรส ที่พยายามฟอกขาวตัวเองด้วยโฆษณาที่ว่า มาจากธรรมชาติ กลมกล่อมเหมือนน้ำนมแม่ โซเดียมน้อยกว่าเกลือ ก็ใช้ conditioning ทางระบบประสาทแบบเดียวกัน แถมมาจากการหมักข้าวโพดด้วยแบคทีเรียเหมือนกันด้วย
สรุปนะ สำหรับผม โอเค กระบวนการผลิตไม่น่ากิน โฆษณาให้ดูปลอดภัยแต่ไม่ปลอดภัยเท่าไร แถมมาเล่นกับใจอีก
แต่ถ้าจะมองเป็น Comfort food คืออาหารประโลมใจ ผมโอเคนะ
วันที่แย่ๆ วันหนักๆ กินไดเอทโค๊กสักกระป๋อง มันไม่ได้ทำให้โลกแตกหรอก แต่ถ้าเป็นน้ำเลม่อนใส่น้ำผึ้งที่มีแคลลอรี่สูงกว่าแต่ไม่ทิ้งขี้เถ้าเคมีในร่างกายเยอะ ผมว่ามันก็โอเคกว่า