ตอนนี้ส่วนตัวทำแบบเน้นรักษา+OPD แต่ไม่มีเงินสะสมเพราะเบี้ยแพงจัด ผมคิดว่าตลอดว่าประกันคือสิ่งที่เราต้องมีในชีวิตแต่มานั่งดูอย่างปีที่แล้วบริษัทให้ OPD มา 50,000 ใช้ไปแค่ 2,000 คิดว่าตอนนี้ยังแข็งแรงไม่ค่อยได้ใช้ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องดีแล้ว แต่ปัญหาคือเบี้ยประกันแม่งขึ้นทุก 3 ปี 5 ปี ขึ้นทีนึง 5,000 กว่าจะถึงวัยที่ได้ใช้คือเบี้ยน่าจะไปแตะๆ 7-80,000 แล้ว มานั่งคิดถึงเวลานั้นจะส่งไหวมั้ยวะ แล้วถ้าส่งในราคานั้นไม่ไหวตอนนี้มานั่งทำแพงๆไปทำไม คิดละก็เซ็งไม่อยากส่งแต่ก็รู้ว่าต้องส่งเพราะถ้าเกิดไรขึ้นมาไม่มีประกันน่าจะลำบากต้องไปหยิบยืมคนอื่นอีก

ยกเลิกกรมธรรม์ปุ๊ป วันรุ่งขึ้นแน่นหน้าอก ไอ ไปหาหมอ สรุปมะเร็งแดรกส์ระยะ3 ทันที นี่ฮาเลยนะครับ



แพงจริงของผมปีละหมื่นห้าต้องแอดมิทอย่างเดียว จะหมดปีแล้วผมยังไม่ได้ใช้ซักกะแดงเดียว
แต่มีไว้แล้วอุ่นใจกว่า

ปีที่แล้วส่งท้ายปีรถล้มเย็บเบาๆ4เข็ม x-ray แอดมิทคืนนึง ล่อไป 6 หมื่น ถ้าไม่มีประกันคงร้องอะ

ผมแม่มปีนี้ขึ้นอีกล่อไป 3 หมื่นกว่าจะบ้าตาย

จรรยาบรรอย่างรนึงของตัวแทนคือประมาณความสามารถในการชำระเบี้ยประกันให้ลูกค้าด้วยแหละครับ

ผมก็เคยทำ ซื้อแบบแพนิค เพราะคนในครอบครัวเสียชีวิต ซัดซะปีละ 50000 กว่าบาท สุดท้ายส่งๆด้ 4 ปี ไม่ไหว เลยหยุดส่งไป เพราะมีลูกด้วย คชจ เพิ่มขึ้น

สุดท้ายก็เลือกทำประกับแบบที่จ่ายไหวคับ ที่ตรงกับความเสี่ยงของเรา บวกกับไปไฟท์ให้บริษัทเพิ่มความคุ้มครองประกันกลุ่มมา เลยอุ่นใจมากขึ้น

ผมคิดว่าเราควรมีประกัน แต่ให้จ่ายเท่าที่จ่ายไหว
หรือถ้าเราอยากซื้อตัวที่ให้ผลประโยชน์สูงๆ เบี้ยสูงหน่อย แต่ชีวิตมีความเสี่ยงจริง ก็คงต้องตัดการใช้ชีวิตบางอย่างออกคับ

ควรทำแหละ ส่งเท่าที่ไหว

หยุดส่งปีที่4-7ขึ้นไป สามารถหยุดส่งได้ แจ้งให้ตัวแทนมาทำ ปล่อยมันรันตามกรมธรรม์ จะได้เงินตามอัตราส่วนใกล้เคียงกับแบบที่ระบุไว้ในกรมธรรม์เลย ลดลงมานิดหน่อย

ถ้าทำงานออฟฟิศก็ใช้ของออฟิศ แต่ทำชีวิตเผื่อบ้างครับ
ถ้าธุรกิจส่วนตัวควรทำสุขภาพค+ชีวิตครับ คุ้มครองเท่าไรก็ว่าไปผมเคยเตะบอลแล้วล้มไหล่หลุด หมอบอกจะผ่าไม่ผ่าก็ได้ ไม่ได้ซีเรียส แต่ถ้ามีประกันก็ผ่าเถอะ โดนไป 4 แสน ถ้าไม่มีก็อ้วกแตกอยู่

30 บาทก็รักษาได้
ไม่เสียเงินสักบาท

ผมอาจจะรักษาแต่ รพ รัฐมาตลอด
รู้สึกว่าการเข้าคิวเพื่อรอรักษามันก็ปรกติ
เหมือนไปติดต่อราชการอย่างอื่นก็ต้องเข้าคิวแบบนี้ทั้งนั้น
แถมได้รักษาเฉพาะทาง กับพวกอาจารย์หมอเก่งๆ

เคยไปเอกชน เร็วก็จริง
แต่รักษามั่ว วิเคราะ์โรคผิด
บางทีรักษาไม่หาย
ก็ต้องกลับมารักษา รพ รัฐอยู่ดี

เหมือนแพงก็ต้องยอมเพื่อเซฟเงินตอนป่วย

ไม่งั้นถังแตกเอาง่ายๆ หรือยอมตาย 555

ถ้าเป็นผม เอาเท่าที่จ่ายไหว แบบตัวราคาไม่แพงมากก้ยังดี
อย่าง opd อุบัติเหตุ จะตัดออกก้ได้ ที่ผมว่าควรมีคือพวกipd นอนรพ กับโรคร้ายแรง(ถ้าอายุเยอะ มีเงินสำรองละค่อยตัดออกทีหลัง) ประกันชีวิต(ถ้าเป็นคนแบกครอบครัว) มันขึ้นอยูากับเงื่อนไขแต่ละคน
ส่วนบัตรทอง อย่าคาดหวังมาก อนาคตอาจจะได้มีจ่ายเอง

สำหรับผมมันเหมือนบุฟเฟ่ต์รักษาโรคเวลาป่วย ส่วนเรื่องค่าเบี้ยมันดูขึ้นทุกปี แต่เป็นเพราะมันขึ้นตามเงินเฟ้อ อีกหน่อย 20-30 ปี ค่าเงินมันลดลงอีก 80,000 ตอนนั้นอาจจะเท่ากับ 40,000 ตอนนี้

ผมก็เคยคิดจะทำ แต่เห็นราคาต่อปีทีต้องจ่ายแล้วเอาส่วนนี้ไปลงทุนดีกว่าครับปีล่ะ 50000 ผมว่าแปบ ๆ ได้เงินล้านแล้ว และก็รักษาตัวเองให้แข็งแรงไว้พอถึงช่วงปลาย ๆ เงินที่เราเอาไปลงทุนน่าจะพอรักษาตัวเองหรือก็ใช้บัตรทองไปครับสบาย ๆ ผมคิดงี้นะ ถ้าเกิดเป็นกระทันหันก็คือความเสี่ยงผมก็คงใช้บัตรทองไปถ้ามันรอไม่ไหวก็ตายไปครับสำหรับผมนะดีแล้วค่าใช้จ่ายของเราก็เป็น 0 ส่งเงินที่ลงทุนต่อให้ลูกหรือเมียใช้ต่อไปครับ

ถ้าป่วยเยอะก็ใช่อยู่ครับ แต่ถ้าป่วยทั่วไป หรืออุบัติเหตุทั่วไป ประกันสุขภาพดีกว่ามากเลย

มันจะขึ้นทุกๆ อายุลงท้ายเลข 1 กับ 6

ส่วนสุขภาพถ้าทำของ AiA ก็แนะนำ ความคุ้มครอง 5 ล้านเริม่ต้น ถ้าไม่ไหวก็ 1 ล้าน

ถ้าจำไม่ผิดอายุ 30 ผู้หญิง (ผู้ชายถูกกว่า) เริ่มประมาณปีละ 28 30 นี่ละ

รู้แค่สุขภาพนะครับ พวกโรคร้ายเจอจ่ายจบหรือหลายจบ กับสะสมทรัพย์อะไรจำรายละเอียดไม่ได้ครับ

ส่วนตัวมองว่ามีสุขภาพไว้ก่อน ถ้าคิดว่าอนาคตจะส่งไม่ไหวแน่ๆ

ผมมอง UnitLink เลยถ้าระเบียบวินัยส่งไม่ดี Unitlink + เฮลทแฮปปี้ ทุน 1 ล้านก็ได้(ไม่รู้มีไหม) ถ้าไหวก็ 5 ล้าน(คุ้มครองโรคร้าย *2 ก็ทุน 1 ล้านคุ้ม2 ทุน5คุ้ม10) เบี้ยก็คิดง่ายๆ 2 เท่าจากโปรแกรมเดิม เช่น เฮลทแฮปปี้ ทุน 5 ล้าน ปกติ 28k unitlink+ เข้าไปก็ 56 ประมาณนี้ ต้องกดในโปรแกรมดูอีกที

ปล. มีรหัสตัวแทนครับเลยพอรู้รายละเอียดแต่ไม่ได้ขายจริงจังเน้นเพื่อนสนิท ญาติพี่น้อง มากกว่า ขี้งกค่าคอมครับ(ได้สูงมาก)

ถ้าซื้อแล้วสบายใจ นอนหลับสนิท ก็ควร
เพราะเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเจออะไร

เหล้ากินได้ เที่ยวก็ไปได้
ของฟุ่มเฟือยซื้อได้
แต่ของที่ซื้อเพื่อความสบายใจ กลับซื้อไม่ได้