<พุงโลโม้บอล>นัดแรกพ่ายสุดท้ายแชมป์ กับ 3 ฤดูกาลที่แมนฯ ยูไนเต็ดแพ้นัดแรกแต่ลงท้ายด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก
ก็จบลงไปแล้วนะครับสำหรับพรีเมียร์ลีกนัดเปิดฤดูกาลที่ออกสตาร์ทด้วยความเข้มข้นสมการรอคอยของแฟนบอล สัปดาห์แรกนี้คู่ใหญ่ที่อยู่ในความสนใจของแฟนบอลคงจะหนีไม่พ้นคู่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เปิดบ้านพ่ายต่ออาร์เซนอล 0–1 จากความผิดพลาดของนายทวาร อัลไต บายินดีร์ ที่โดน วิลเลียม ซาลิบา กดดันจนเสียประตู ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้แฟนบอลหลายคนรู้สึกเสียดาย เพราะตลอดทั้งเกม “ปีศาจแดง” เล่นได้ดีกว่า มีสถิติข่มทีมเยือนอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แมนฯ ยูไนเต็ดเริ่มต้นฤดูกาลด้วยความผิดหวัง แต่ยังสามารถพลิกกลับมาจบซีซันด้วยการเป็นแชมป์ได้ วันนี้เราจะพาไปย้อนดู 3 ฤดูกาลที่แมนยูแพ้นัดแรก แต่ลงท้ายด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ
1)ฤดูกาล 1992/93 :แชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกของเฟอร์กูสัน
ฤดูกาล 1992/93 คือปีแรกของ “พรีเมียร์ลีก” ที่เพิ่งเปลี่ยนชื่อมาจากดิวิชัน 1 เดิม โดยมีทีมเข้าร่วมแข่งขันถึง 22 ทีม (ไม่ใช่ 20 ทีมอย่างในปัจจุบัน)
ในวันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม 1992 แมนฯ ยูไนเต็ด บุกไปเยือนเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดที่บรามอลล์ เลน เกมนี้ “ปีศาจแดง” ที่ห่างหายจากแชมป์ลีกสูงสุดถึง 26 ปีและคุมทีมข้างสนามโดยชายที่ชื่อว่าเฟอร์กูสันที่ยังห่างใกลกับยศเซอร์ ต้องเจอกับบททดสอบสำคัญกับทีมดาบคู่ที่ผลงานดีจบเลขตัวเดียวในฤดูกาลก่อน
เริ่มเกมส์มา 5 นาที ไบรอัน ดีน โหม่งให้เชฟยูขึ้นนำ และประตูนี้ถูกจารึกว่าเป็น ประตูแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก
และในนาทีที่ 50 ดีนถูก ปีเตอร์ ชไมเคิล ทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษ ก่อนลุกขึ้นมาสังหารเองช่วยให้เชฟยูหนีห่างเป็น 2–0
ก่อนที่นาทีที่ 61 : มาร์ก ฮิวจส์ ซัดเต็มข้อให้แมนยูไล่มาเป็น 1–2 แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะมีแต้มกลับออกมาได้
ยูไนเต็ดเริ่มต้นฤดูกาลด้วยฟอร์มที่ไม่น่าประทับใจ จนเคยหล่นไปถึงอันดับ 17 ของตาราง กระทั่งการมาถึงของ เอริก คันโตน่า ในตลาดหน้าหนาว ก็พลิกโฉมทีมทันตา จุดเปลี่ยนสำคัญคือเกมบุกชนะ นอริช ซิตี้ทีมเต็งแชมป์ฤดูกาลนั้น และแมตช์ดราม่าในบ้านที่พลิกกลับมาชนะ เชฟฯ เว้นส์เดย์ 2-1 จากการโหม่งสองประตูช่วงทดเจ็บของ สตีฟ บรูซ
สุดท้าย ยูไนเต็ดผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรก และเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษครั้งแรกในยุคอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อีกด้วย
2) ฤดูกาล 1995/96 : จาก เด็กเมื่อวานซืน สู่ดับเบิลแชมป์
วันที่ 19 สิงหาคม 1995 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดฤดูกาลด้วยการบุกเยือนถิ่นวิลลา พาร์กของแอสตัน วิลลา เกมนั้นอเล็กซ์ เฟอร์กูสันทำให้สื่อและกูรูทั้งหลายอ้าปากค้าง เมื่อเลือกส่งเหล่าดาวรุ่งจาก “คลาส ออฟ 92” อย่างแกรี เนวิลล์, พอล สโคลส์ นิคกี้ บัตต์ และเดวิด เบ็คแฮม ลงสนาม แทนที่บรรดาตัวเก๋าที่ถูกปล่อยออกไปทั้งพอล อินซ์ มาร์ก ฮิวจ์ส และอังเดร คันเชลสกี้
ผลลัพธ์คือครึ่งแรก ยูไนเต็ดโดนวิลลาถล่มนำห่างถึง 3-0 จากเอียน เทย์เลอร์, มาร์ก ดรายเพอร์ และดไวท์ ยอร์ค (ผู้ที่จะย้ายมาเป็นหนึ่งในตำนานของผีแดง ในอีกไม่กี่ปีถัดมา) ก่อนที่เบ็คแฮม ดาวรุ่งหน้าหล่อวัย 20 ปี จะยิงตีไข่แตกนาทีที่ 82 แต่ก็ไล่ไม่ทัน จบเกมแพ้ไป 3-1
ความพ่ายแพ้นัดเปิดฤดูกาลทำให้เสียงวิจารณ์เริ่มถาโถมโดยหนึ่งในนั้นคือ อลัน แฮนเซน อดีตกองหลังลิเวอร์พูลที่ทำหน้าที่กูรูให้ BBC ถึงกับหลุดวาทะที่กลายเป็นตำนานว่า
“You’ll never win anything with kids” – ‘คุณไม่มีทางได้แชมป์อะไรหรอก ถ้ายังเอาแต่เด็กลงเล่น’
แต่เด็กเมื่อวานซืนเหล่านั้นกลับเติบโตขึ้นทุกสัปดาห์ แมนฯ ยูไนเต็ด ไล่บี้นิวคาสเซิลของเควิน คีแกนที่เคยนำห่างถึง 12 แต้มในช่วงกลางฤดูกาล พอถึงช่วงหลังคริสต์มาสช่องว่างก็ค่อย ๆ ถูกลดลง และจุดเปลี่ยนสำคัญก็มาถึงในวันที่ 4 มีนาคม 1996 ที่เซนต์เจมส์พาร์ก เมื่อเอริก คันโตน่ายิงประตูชัยพายูไนเต็ดบุกชนะ 1-0 เกมนั้นไม่เพียงพลิกสถานการณ์ในตาราง แต่ยังโยนแรงกดดันกลับไปที่ฝั่งนิวคาสเซิลเต็ม ๆสุดท้ายคีแกนถึงกับหลุดประโยคอันโด่งดัง
“I will love it if we beat them!” – ‘ผมจะสะใจสุด ๆ ถ้าเราล้มพวกเขาได้!’
วลีที่สะท้อนทั้งแรงกดดันและการเสียสมาธิในโค้งสุดท้าย
และเมื่อฤดูกาลจบลง เด็กชุดนั้นที่ต่อมาจะกลายเป็นชุดตำนานอย่าง “คลาส ออฟ 92” ก็ตอบทุกคำสบประมาทด้วยการพาทีมคว้า “ดับเบิลแชมป์” พรีเมียร์ลีกและแชมป์เอฟเอคัพจากการชนะหงส์แดงลิเวอร์พูลคู่ปรับตลอดกาลในนัดชิงที่เวมลีย์ สร้างหนึ่งในเรื่องราวมหัศจรรย์และคลาสสิกที่สุดเรื่องนึงในยุคของเฟอร์กูสัน
3)2012/13 : ภารกิจทวงแชมป์และการอำลาของเซอร์อเล็กซ์
หลังจากการเสียแชมป์ฤดูกาล2011-2012 ให้กับเพื่อนบ้านที่น่ารำคาญตามคำนิยามของเซอร์อเล็กซ์อย่างแมนฯ ซิตี้ พร้อมกับการสร้างตำนาน93.20 ของเซร์คิโอ อเกวโร่ที่ต่อมากลายเป็นตำนานทีมเรือใบ ในฤดูกาล2012-2013 แมนยูไนเต็ดเริ่มต้นภารกิจทวงแชมป์คืนด้วยการเสริมทัพกองหน้าระดับพระกาฬอย่างโรบิน ฟานเพอร์ซี่ ที่ดึงมาจากคู่อริอย่างอาร์เซนอลและคว้าตัวชินจิ คากาวะ มิดฟิลด์ฟอร์มดีจากโบรุสเซียดอร์ทมุนต์ นับเป็นนักเตะญี่ปุ่นคนแรกของแมนฯ ยูอีกด้วย
แต่ถึงกระนั้นในนัดแรกของฤดูกาลพวกเขากลับต้องเริ่มต้นด้วยความผิดหวังจากการบุกไปแพ้เอฟเวอร์ตัน1-0 จากประตูชัยของมารูยาน เฟลไลนีที่โหม่งลูกเปิดเตะมุมของเลตัน เบนส์เข้าประตูไปโดยนัดนี้ฟานเพอร์ซี่ที่ถูกส่งลงมาในครึ่งหลังไม่สามารถทำอะไรได้มากนักแต่หลังจากที่ปรับตัวได้ดาวยิงชาวดัตส์ก็เป็นกำลังสำคัญของทีมโดยการยิงไปถึง 26 ประตูในลีกคว้ารางดาวซัลโวสูงสุดและนักเตะยอดเยี่ยมของลีกและจุดเปลี่ยนสำคัญในฤดูกาลนี้คือการบุกไปเฉือนเอาชนะทีมเรือใบสีฟ้าที่เอติฮัด สเตเดี้ยม 3-2 จากลูกฟรีคิกของฟานเพอร์ซี่ในนาที่ที่ 90
ทำให้แมนยูที่ตอนนั้นเป็นจ่าฝูงขยับหนีแมนซิตี้อันดับสอง เป็น6 แต้มก่อนจะประครองยาวไปจนถึงท้ายฤดูกาล และการันตีตำแหน่งแชมป์ด้วยการชนะแอสตัน วิลลาขาดลอย3-0 ในวันที่ 22 เมษายน 2013 ในฤดูกาลนี้ทีมปีศาจแดงเป็นแชมป์ขณะที่เหลือโปรแกรมแข่งอีก4นัด แต่ข่าวดีก็มาพร้อมข่าวร้ายที่ช็อคแฟนบอลปีศาจแดงทั้งโลกเพราะวันที่ 8พฤษภาคม บรมกุญซือระดับตำนานอย่างเซอร์อเล็กซ์เฟอร์กูสันประกาศวางมือหลังจากคุมทีมมามากกว่า 26ปีและพาทีมคว้าแชมป์ลีก13ครั้งและแชมป์อื่นๆอีกมากมาย พร้อมประกาศส่งต่อทีมให้ผู้ถูกเลือกอย่างเดวิด มอยส์
โดยนัดสุดท้ายของในฐานะผู้จัดการทีมปีศาจแดงคือเกมส์สุดดราม่าแมนยู บุกเสมอเวสต์บรอมวิช อัลเบียน 5-5 และแชมป์ลีกที่20ครั้งนี้นับเป็นแชมป์ลีกครั้งสุดท้ายของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
ถึงแม้การพ่ายอาเซนอลในนัดเปิดฤดูกาลนี้แฟนแมนยูหลายคนอาจจะไม่หวังถึงการพลิกกลับไปคว้าแชมป์ลีกได้เหมือนในอดีตแต่ทว่าด้วยความทุ่มเทของนักเตะและสถิติรวมทั้งรูปเกมส์ที่ออกมาเชื่อว่าแฟนแมนยูหลายคนคงหวังว่าทีมรักจะมีผลงานดีขึ้นกว่าหลายๆฤดูกาลที่จบลงด้วยความผิดหวังและคงหวังลึกๆว่าทีมของตนจะสามารถกลับไปยืนยังจุดที่เคยยืนได้สักวันนึง