นักเตะหมู่บ้าน
Status:

: 0 ใบ

: 0 ใบ
เข้าร่วม: 19 Sep 2024
ตอบ: 136
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Aug 16, 2025 20:55
[RE: หนึ่งในเรื่องผีที่ชอบที่สุด จำได้ว่าว่าอ่านครั้งแรกที่ SS]
3---------
เราขับรถออกจากชมรม แวะเอามือถือที่หอพักผม
ผมโทรไปบอกแม่ของเพื่อนคนที่สี่ ว่าลูกท่านอาหารเป็นพิษ อยู่ที่โรงพยาบาล แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว พักฟื้นอยู่ที่ห้องผู้ป่วยสามัญ
แม่มันตกใจมาก บอกว่าจะรีบมาบินมาที่เชียงใหม่
ผมไม่ได้พูดอะไรอีก กดโทรศัพท์ไปที่บ้านเพื่อนคนที่สอง
พ่อมันรับสาย
ผมถามว่าลูกท่านได้กลับบ้านหรือเปล่า ท่านบอกว่าไม่ได้กลับ และถามว่ามีอะไรไหม
ผมบอกแค่ว่า เรามีนัดกันวันนี้ แต่ยังหาตัวเขาไม่เจอ ไม่อยากบอกอะไรมากไปกว่านี้
เนื่องจากไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เราตกลงว่าจะกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อดูอาการเพื่อนคนที่หนึ่ง
เพื่อนผมขับรถวนเพื่อจะออกทางหน้ามหาวิทยาลัย
ผ่านอ่างเก็บน้ำ ผมเหม่อมองไปที่อ่างเก็บน้ำ
มีคนนั่งอยู่เป็นหย่อมๆ แล้วสายตาผมก็เหลือบไปเห็นมอไซด์คันหนึ่งจอดอยู่ที่ข้างทางลงไปยังอ่างเก็บน้ำ
ผมบอกให้เพื่อนคนที่หนึ่งหยุดรถ เพราะถ้าผมจำไม่ผิดนั่นคือรถของเพื่อนคนที่สอง ผมจำทะเบียน กับรูปสติกเกอร์ที่ติดอยู่ข้างๆรถได้
ผมบอกสิ่งที่เห็นกับเพื่อนคนที่หนึ่ง
เราสองคนลงจากรถเพื่อเดินไปยังรถมอไซด์
เพื่อนคนที่สามไม่ยอมลงจากรถ
เราเดินมาจนถึงตัวรถ และพบว่ามันเป็นรถของเพื่อนคนที่สองแน่ๆ เรามองหน้ากันอีกครั้ง
ผมตะโกนเรียกชื่อเพื่อนสุดเสียง ดังไปรอบอ่างเก็บน้ำ
เพื่อนคนที่หนึ่งก็ช่วยตะโกน
แต่เงียบ
ไม่มีเสียงตอบรับ
มีเพียงเสียงสะท้อนดังมาเป็นระยะ
เรามองหน้ากัน ตกลงที่จะเดินหารอบๆอ่างเก็บน้ำ
เราเดินแยกไปคนละฝั่งของอ่างเก็บน้ำ
ผมเดินเรียบอ่างเก็บน้ำเรื่อยเข้าไปทางเดินแคบๆ
หลังจากแยกกันได้ประมาณสิบนาที ผมก็ได้ยินเสียงเพื่อนคนที่หนึ่งตะโกนร้องเรียกชื่อผม
ผมชะงักและมองไปทางต้นเสียง มองเห็นเพื่อนผมโบกมืออยู่ทางอีกฝั่งของอ่างเก็บน้ำและตะโกนเรียกผม ท่าทางมันร้อนรน ผมตะโกนตอบ และรีบวิ่งไปหามัน
พอมาถึงจุดที่มันยืนอยู่ เห็นมันยืนหันหน้าออกจากอ่างเก็บน้ำ
หน้าตาซีดเซียว
ผม : เฮ้ย เป็นไรวะ
มันไม่ตอบแต่ชี้มือไปทางอ่างเก็บน้ำ ผมมองไปในทิศที่มันชี้
ภาพที่ปรากฎเบื้องหน้า ทำเอาผมมวนท้อง ผมเบือนหน้าหนี แต่ภาพนั้นยังติดตา
เพื่อนคนที่สองที่หายไป ตอนนี้ครึ่งตัวส่วนขาของมันแช่อยู่ในน้ำ ท่อนบนพิงอยู่ที่ขอบอ่าง ใบหน้าเขียวขล้ำ ดวงตาเบิกโพลง
ไม่ต้องใช้สมองคิดก็รู้ว่ามันตายไปแล้ว
นึกมาถึงตอนนี้ ผมรู้สึกมวนท้องขึ้นมาอย่างแรง หน้ามืดและนึกลำดับภาพไปต่างๆนาๆ
ผมมองไปทางเพื่อนคนที่หนึ่ง ซึ่งตอนนี้มันกำลังร้องให้ ผมเดินไปหามัน
ตบที่บ่ามันเบาๆ ไม่มีคำพูดอะไร และตอนนั้นผมก็ไม่ได้รู้สึกดีไปกว่ามัน
บ่ายสองโมงของวันนั้น ผม เพื่อนคนที่หนึ่ง และคนที่สาม ยืนอยู่รอบอ่างเก็บน้ำ ตำรวจและ รปภ มหาลัยยืนอยู่กระจัดกระจายทั่วบริเวณ
นักศึกษาหลายคนบริเวณนั้น จับกลุ่มคุยกันเป็นกลุ่มๆ บริเวณรอบๆที่เพื่อนคนที่สองตายถูกกั้นไว้ไม่ให้เข้า
เย็นวันนั้นผมและเพื่อนทั้งสองถูกนำตัวไปสอบสวนที่สถานีตำรวจจนถึงสองทุ่มครึ่ง
เราทั้งหมดให้การตรงกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้นัดหมายและไม่มีใครพูดถึงเหตุการณ์ที่เนินดินนั่นเลย
ผมออกจากโรงพักตอนสามทุ่ม เราตกลงกันว่าจะแวะไปหาเพื่อนคนที่สี่และจะกลับไปนอนที่บ้านเพื่อนคนที่หนึ่ง และแน่นอน
ผมและเพื่อนคนที่สามยังไม่อยากกลับไปนอนที่หอพักในตอนนี้
ผมมาถึงโรงพยาบาลจึงรู้ว่าเพื่อนคนที่สี่ถูกย้ายไปอยู่ห้องเดี่ยวในโรงพยาบาล แม่มันมาถึงแล้ว เราเข้าไปในห้องผู้ป่วย เจอแม่ของเพื่อนคนที่สี่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วย เพื่อนคนที่สี่ตื่นแล้ว และกำลังดูทีวีอยู่ พอพวกเราเข้าไปในห้องมันก็ยิ้มรับ เราทักแม่มันพอเป็นพิธี แต่ยังไม่ได้บอกถึงข่าวการเสียชีวิตของเพื่อนอีกคน
ผมเล่าให้แม่มันฟังถึงเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นโดยคร่าวๆ ไม่ได้บอกถึงเรื่องที่เนินดิน สบตาเพื่อนคนที่สี่ ก็พอรู้ว่ามันยังไม่ได้เล่าอะไรให้แม่มันฟัง
สี่ทุ่มกว่า เราคุยกันอีกสองสามคำแล้วผมและเพื่อนคนที่หนึ่งและเพื่อนคนที่สามก็ออกจากโรงพยาบาล
เราทั้งสามคนต่างเหน็ดเหนื่อยกับเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นในวันนี้
พอถึงบ้านเพื่อน เราก็ฝังตัวอยู่ในห้อง แม่เพื่อนคนที่หนึ่งเอาข้าวผัดมาให้เราคนละจาน ผมกินไปได้สองสามคำ ส่วนเพื่อนคนที่สาม ไม่ยอมแตะเช่นเดียวกับเพื่อนคนที่หนึ่ง
เรานั่งคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พยายามลำดับเหตุการ์ณต่างๆ ทุกอย่างดูจะมืดมนลงเมื่อเราพูดถึงหนทางแก้ไข
มาถึงจุดนี้ผมรู้สึกเพลียมาก จึงล้มตัวลงนอนไม่ได้สนใจบทสนทนาของเพื่อนคนที่สามกับคนที่หนึ่ง ที่ยังคงพูดคุยกันต่อไป
4---------
คืนนั้น ผมหลับเป็นตาย มารู้สึกตัวอีกทีตอนเกือบรุ่งสาง ออกมาเข้าห้องน้ำ และกำลังจะกลับไปนอนต่อ เหลือบเห็นเพื่อนคนที่หนึ่ง และคนที่สาม นอนกอดกันอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง ไม่มีใครขึ้นไปนอนบนเตียง
ผมกลับมาที่มุมเดิมของที่นอน แล้วล้มตัวลงนอน ตอนสายของวันนี้เราต้องไปที่โรงพักอีกครั้ง
ผมจึงอยากจะนอนอีกซักตื่นเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
ผมหลับลงอีกครั้งอย่างง่ายดาย และผมก็ฝัน มันเป็นความฝันที่ชัดเจนเหมือนกับเกิดขึ้นจริง
ในฝันผมนั่งอยู่ที่พื้น เบื้องหน้าผมมีพระรูปหนึ่งยืนอยู่ ในมือถือไม้เท้า หลังงองุ้ม ใบหน้าเหี่ยว ย่น ท่านไม่ได้พูดอะไร
ผมรู้สึกปลอดโปร่งเมื่อมองไปที่ภาพเบื้องหน้า
ผมเหลือบไปเห็นจีวรของท่านฉีกขาด ผมเงยขึ้นสบตาท่าน ท่านยิ้ม
ผมไม่ทันพุดอะไร ท่านก็เดินจากไป
ผมลุกขึ้นจะเดินตาม แต่ก็ถูกปลุกให้ตื่นจากความฝันเสียก่อน
ผมตื่นขึ้นเพราะถูกเพื่อนคนที่หนึ่งปลุก เพื่อนทั้งสองคนตื่นก่อนผม อาบน้ำและกินอะไรกันเรียบร้อยแล้ว
ผมรีบไปอาบน้ำกินอะไรนิดหน่อยแล้วเราก็ออกจากบ้านตรงไปที่โรงพัก
ที่โรงพัก เราถูกสอบสวนเหมือนเดิมอีกรอบ และเราได้พบอธิการบดีที่นั่น ท่านบอกให้เราเก็บ เรื่องที่เกิดขึ้นให้เป็นความลับ เพราะถ้าข่าวรั่วออกไปจะทำให้เสียชื่อมหาลัย เรารับปาก
ออกจากโรงพักตอนเที่ยง เราแวะกินข้าวที่หน้าศาลากลางและตรงไปที่โรงพยาบาล ตัดสินใจจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนคนที่สี่ฟัง
ถึงโรงพยาบาลเราตรงไปที่ห้องผู้ป่วย จึงรู้ว่าเพื่อนคนที่สี่บินกลับกรุงเทพไปกับแม่มันตั้งแต่เช้าแล้ว ผมตัดสินใจโทรเข้ามือถือเพื่อน แต่ไม่มีคนรับ
เราออกจากโรงพยาบาลมุ่งหน้าไปลำพูนเพื่อไปงานศพเพื่อนคนที่สอง
วันนั้นทุกคนยังนิ่งเงียบ ทุกคนเหมือนมีเรื่องให้ต้องคิด เพื่อนคนที่สามอาการดีขึ้น ไม่ได้นั่งสวดมนต์ตลอดทาง แต่มันยังยกสร้อยที่ห้อยคอออกมาสาธุเป็นระยะ เรามาถึงวัดแห่งหนึ่งในอำเภอหนึ่งของจังหวัดลำพูนตอนเที่ยงกว่าๆ
เราเข้าไปไหว้และทักทายพ่อและแม่ของเพื่อนที่ตาย พูดคุยอะไรกันสองสามคำ ทั้งสองคนยังติดใจในสาเหตุการตายของลูกตัวเอง และยังอยู่ในอาการเศร้าสร้อย
ในเบื้องต้นหมอสรุปว่าเพื่อนผมเสียชีวิตเพราะร่างกายนอนในที่อากาศเย็นเป็นเวลานาน
ทำ ให้ปอดไม่ทำงาน และที่เป็นเช่นนั้นเพราะมันเมา และเผลอหลับไป
เนื่องจากไม่มีบาดแผล หรือร่องรอยถูกทำร้ายบนร่างกาย จึงไม่น่าจะมีสาเหตุอื่นในการเสียชีวิตได้
เราแยกตัวออกมาจากกลุ่มญาติของผู้ตาย หลบมานั่งอยู่ทางด้านหลังของแถวที่ฟังพระสวด
พอพระสวดจบ เรากำลังจะขอตัวกลับ และจะกลับมางานอีกครั้งในวันเผา
เราเดินมาที่รถ
ทันใดนั้นผมเหลือบไปเห็นพระรูปหนึ่งกำลังกวาดใบไม้อยู่ที่ลานวัด หลังของท่านงองุ้ม ใบหน้าเหี่ยวย่น เหมือนกับภาพที่ผมเห็นในฝันเมื่อคืน
ผมเดินเข้าไปไกล้ขึ้น และรู้แน่ในตอนนั้นว่าผมจำไม่ผิดแน่ เหมือนกันทุกอย่างผิดกันที่อิริยาบทเท่านั้นเอง
ท่านเงยหน้าขึ้นมองผม และยิ้ม เหมือนกับรอยยิ้มที่ผมเห็นเมื่อคืน ผมนั่งคุกเข่าลง บรรจงกราบท่านสามครั้ง ท่านยังยิ้มมาที่ผม
เพื่อนทั้งสองคนเดินตามผมมาและนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ ทั้งสองยังมีสีหน้างง ในสิ่งที่ผมทำ ซึ่งผมก็ยังไม่ได้บอกใครเรื่องความฝันเมื่อคืน
หลวงปู่ : เจริญสุขเถอะโยม
ผม: ......หลวงปู่ครับ คือว่า เมื่อคืนนี้ผม...
หลวงปู่: เอาเถอะโยม อาตมาพอจะรู้เรื่องของพวกโยมมาบ้าง อยากจะรู้ทางแก้ปัญหาใช่ไหม ล่ะ
ปัญหาของโยมนั้น เกิดขึ้นจากกรรม กรรมที่ร่วมกันทำมา ก็ต้องร่วมกันแก้ อาตมาหมายถึง พวกโยมที่เหลือทั้งสี่คน ได้ร่วมสร้างกรรมนี้ขึ้นมา กรรมอันเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ ด้วยความโง่เขลา และความไม่รู้
ตอนนั้นผมอึ้งมาก เพื่อนทั้งสองคนก็งงไม่น้อยไปกว่าผม
เพื่อนคนที่หนึ่งสะกิดผมด้านหลัง ถามผมเบาๆว่า รู้จักกันมาก่อนเหรอ
ผมส่ายหน้า
หลวงปู่ : ไม่ต้องสงสัยในตัวอาตมาหรอกโยม พวกโยมมีเรื่องที่ต้องคิดกันพอสมควรอยู่แล้ว
ท่านพูดมาถึงตอนนี้ก็ส่งยิ้มมาที่เราทุกคน แล้วท่านก็วางไม้กวาดลงที่พื้น หยิบไม้เท้าที่วางอยู่ข้างๆ
หลวงปู่: ตามอาตมา ไปที่กุฏิเถอะ
พูดจบท่านก็ออกเดิน
ผมลุกขึ้นและเดินตามท่านไป เพื่อนคนที่สามถามผมตอนที่เราเดินตามท่านไป ตอนนั้นผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ตอบไปสั้นๆว่า
เราอาจจะพบทางแก้ปัญหาแล้วก็ได้ พวกเมิงตามกรูมาเถอะ เดี๋ยวค่อยอธิบายให้ฟัง
ท่านนั่งลงบนอาสนะที่กุฏิ
ส่วนพวกเราทั้งสามคนนั่งพับเพียบอยู่ด้านหน้าท่าน
หลวงปู่: เอาล่ะโยม มารับนี่ไป
หลวงปู่ล้วงไปในกระเป๋าย่ามเก่าๆข้างตัวท่าน หยิบผ้าสีแดงออกมาสามผืน บนผ้ามีตัวอักษรภาษาบาลีอยู่สามสี่ตัว ไม่ใช่ผ้ายันต์
ผมอ่านไม่ออกว่ามันเขียนว่าอะไร ผมส่งผ้าให้เพื่อนคนละผืน ตัวเองเก็บไว้หนึ่งผืน
หลวงปู่: อาตมาขอให้พวกโยมทุกคน
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจงเก็บผ้าผืนนี้ติดตัวไว้ตลอดเวลา อย่ายกให้กับบุคคลอื่น
เพื่อนคนที่หนึ่งถามท่านว่าท่านรู้เรื่องของพวกเราได้อย่างไร
ท่านยิ้ม
หลวงปู่: ไม่มีประโยชน์อันใด ที่จะรู้หรอกโยม เพราะบางสิ่งบางอย่าง เมื่อรู้แล้วก็นำมาซึ่ง ความโง่เขลา มากกว่าปัญญา
อาตมาขอให้พวกโยมทุกคน ค้างกับอาตมาที่นี่คืนนี้ พรุ่งนี้ค่อยกลับเชียงใหม่ อาตมาให้เด็กวัด เตรียมที่นอนไว้ให้แล้ว ตอนเย็นเจ้าผมยาวก็จะมา เมื่อมันมาถึงพามันมาหาอาตมาที่นี่
เพื่อนทั้งสองคนหันมามองหน้าผม เพราะคนที่ท่านพูดถึงนั้น หมายถึงเพื่อนคนที่สี่ของเรา ที่เพิ่งบินกลับกรุงเทพไปเมื่อเช้า
หลวงปู่ : อาตมาขอตัวก่อนะโยม พวกโยมจะได้คุยกัน หลังจากทำวัตรเย็นแล้ว อาตมาขอให้พวกโยมมาพร้อมกันที่นี่
หลังจากพูดจบท่านก็ลุกขึ้นยืน และเดินเข้าห้องท่านไป
หลังจากท่านจากไป เพื่อนทั้งสองคนก็ยิงคำถามใส่ผมหลายชุด ผมพยายามปะติดปะต่อเรื่องและเล่าให้ฟัง
หลังจากทราบเรื่องราว เพื่อนทั้งสองคนก็สงบลง
เหตุการ์ณที่เกิดขึ้น จะเรียกว่าปาฏิหารย์ก็ได้ เพราะผมไม่รู้จะใช้คำพูดอื่นใดทดแทนได้
เย็นวันนั้นขณะเราเตร็ดเตร่อยู่แถวงานศพ
เพื่อนคนที่สี่ก็โผล่มา พวกเราตกใจเล็กน้อย เพราะอันที่จริงก็เตรียมใจกันไว้แล้ว ว่ามันต้องโผล่มา
เราก็เข้าไปซักถาม ว่ากลับมาเชียงใหม่ได้อย่างไร
มันบอกว่าไปถึงดอนเมือง แล้วอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ เลยรู้ข่าวว่าเพื่อนคนที่สองตาย จึงจับเครื่องกลับเชียงใหม่ทันที พอมาถึงเชียงใหม่ก็ไปที่บ้านคนที่หนึ่ง จึงรู้ว่าพวกเรามาที่งานศพ จึงตามมาที่นี่
พวกเราพยักหน้า
ผมเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นให้เพื่อนคนที่สี่ฟัง เราลำดับเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นเป็นลำดับขั้น เป็นอันว่าตอนนี้ ไม่มีใครรู้เรื่องที่เนินดิน
นอกจากพวกเราสี่คน
ตกเย็น เราพากันไปนั่งรอหลวงปู่ที่กุฏิ
หลวงปู่กลับขึ้นกุฏิ ไม่มีสีหน้าประหลาดใจ ยังส่งยิ้มมาที่เราทุกคน พวกเราก้มลงกราบพร้อมกัน
หลวงปู่: เจริญสุขเถอะโยม มากันพร้อมหน้าแล้วซินะ เอาล่ะ มารับนี่ไป
หลวงปู่ยื่นผ้าสีแดงให้เพื่อนคนที่สี่
หลวงปู่ : จงติดตัวไว้อย่าให้ห่าง
หลวงปู่: เอาล่ะทีนี้จงฟังอาตมาให้ดี
พรุ่งนี้พวกโยมทุกคนหลังจากกลับถึงเชียงใหม่แล้ว ให้กลับไปที่เชิงตะกอนเก่า นำน้ำมนต์นี้ราดลงรอบๆเชิงตะกอนและบนยอด
แต่ต้องทำในเวลาหลังเที่ยงคืน จากนั้นให้โยมจุดธูปคนละ 1 ดอก สวดมนต์ตามที่อาตมาจดให้นี้จนครบสามรอบ แล้วนำธูปขึ้นไปปักที่เชิงตะกอน
ไม่ว่าจะเห็นหรือพบเจออะไรอย่าได้หยุดสวดมนต์ และในวันรุ่งขึ้น ให้พวกโยมกลับมาหาอาตมาและถือศีลอยู่ที่วัดนี้ซักเจ็ดวัน
กล่าวจบหลวงพ่อก็ยกขันน้ำมนต์ใบใหญ่มาตั้งตรงหน้าพวกเราพร้อมกับบทสวดมนต์ ครึ่งหน้ากระดาษ
หลงปู่พรมน้ำมนต์ให้เราทุกคน
จากนั้นก็รินน้ำมนต์ใส่กระติกน้ำแข็ง บอกให้เรานำกลับไปทำพิธีในวันพรุ่งนี้ พวกเรารับกระติก และสาธุขึ้นพร้อม
จากนั้นหลวงปู่ก็ลุกเดินเข้าห้องไป พวกเราก้มลงกราบอีกที