ตำนาน "พระโค-พระแก้ว" นิทานที่เขมรใช้สอนให้เกลียดชาวสยาม
ตำนานพระโค-พระแก้วเป็นนิทานพื้นบ้านที่เล่าถึงการเสียเมืองละแวกของกัมพูชา เรื่องราวเล่าถึง ชาวนาที่อาศัยอยู่ในเมืองละแวกคู่หนึ่ง ภรรยาปีนต้นมะม่วงและตกลงมาเสียชีวิตในขณะที่กำลังตั้งครรภ์ ครรภ์ของนางจึงแตกออกมาเป็นลูกแฝด แฝดผู้พี่เป็นวัว จึงมีชื่อว่า พระโค มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ส่วนแฝดผู้น้องเป็นคน มีชื่อว่า พระแก้ว เมื่อชาวบ้านรู้ข่าวว่าครอบครัวนี้มีลูกเป็นวัว จึงพากันขับไล่พ่อและลูกทั้งสองออกไป
ต่อมาเมื่อพ่อเสียชีวิตลง สองพี่น้องจึงต้องดูแลกันเอง พระโคเลี้ยงดูพระแก้วด้วยการเคี้ยวหญ้าแล้วเสกออกมาเป็นอาหาร รวมทั้งเสกสิ่งของต่าง ๆ ให้พระแก้วด้วย เมื่อชาวบ้านทราบก็เกิดละโมบ คิดจะจับพระโคฆ่าเอาทรัพย์สินที่อยู่ในท้อง พระโคจึงบอกให้พระแก้วจับหางตนไว้แล้วพาเหาะหนีกันไป
ต่อมาพระแก้วได้แต่งงานกับนางเภา ธิดาของพระบาทรามาเชิงไพร กษัตริย์ผู้ครองเมืองละแวก กิตติศัพท์เรื่องพระโค-พระแก้วล่วงรู้ไปถึงกรุงศรีอยุธยา พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาปรารถนาได้พระโค-พระแก้วมาไว้ในพระนครศรีอยุธยาจึงส่งทูตมาเพื่อท้าประลองชิงบ้านเมือง พระโคเป็นตัวแทนของเมืองละแวกแปลงกายไปร่วมประลอง ครั้งแรกเป็นการประลองการแข่งชนไก่ ครั้งที่ 2 เป็นการชนช้าง พระโคสามารถเอาชนะการประลองได้ทั้งสองครั้งได้ ต่างจากการประลองครั้งที่ 3 ที่เป็นการชนวัว พระโครู้ว่าตนไม่สามารถเอาชนะโคยนต์ของกรุงศรีอยุธยาได้ จึงวางอุบายให้พระแก้วกับนางเภา จับหางแล้วเหาะหนีไป แต่ทหารสยามยกทัพติดตามมา ทำให้นางเภาตกลงมาเสียชีวิต ส่วนพระโคและพระแก้วถูกจับได้ ทําให้เสียเมืองละแวกแก่สยามในที่สุด พระโคและพระแก้วถูกจับตัวไปยังกรุงศรีอยุธยา ทำให้สรรพวิทยาและของวิเศษทั้งหมดที่อยู่ในท้องพระโคถูกนํามาไว้ที่กรุงศรีอยุธยา เป็นเหตุให้สยามเจริญรุ่งเรือง ต่างจากเขมรก็เสื่อมอำนาจลงเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน
นักวิชาการตีความนิทานเรื่องพระโค-พระแก้วไปในหลายทิศทาง ทั้งในเชิงรูปธรรมและเชิงนามธรรม ในเชิงรูปธรรมนั้น ชาวเขมรบางส่วนเชื่อว่าพระโคในนิทานเรื่องนี้คือประติมากรรมสำริดรูปพระโคนนทิ และพระแก้วก็คือพระแก้วมรกตนั่นเอง ในขณะที่รองศาสตราจารย์ศานติ ภักดีคำ เสนอความเห็นว่าพระโคน่าจะหมายถึงประติมากรรมพระโค และพระแก้วก็หมายถึงพระยาแก้ว เชื้อพระวงศ์เขมรองค์สำคัญ ส่วนในเชิงนามธรรม มีผู้เสนอว่า พระโคเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ เกี่ยวเนื่องกับพระโคนนทิในศาสนาพราหมณ์ และพระแก้วก็มีนัยยะสื่อถึงความรุ่งเรืองทางพุทธศาสนา หรืออาจตีความได้อีกนัยหนึ่งว่าพระโคหมายถึงความรู้และศิลปวัฒนธรรมที่ไทยรับมาจากการกวาดต้อนผู้คน และพระแก้วก็หมายถึงอำนาจทางการเมือง แต่ไม่ว่าจะตีความพระโค-พระแก้วไปในทิศทางใดก็ตาม การตีความทั้งหมดแสดงให้เห็นจุดร่วมอย่างหนึ่งว่า พระโค-พระแก้ว มีความสำคัญต่อชาติกัมพูชาจนอาจนับได้ว่าเป็นอัตลักษณ์ของชาติด้วย ชาวเขมรจึงรู้สึกหวงแหนเป็นอย่างยิ่ง เมื่อไทยนำสิ่งสำคัญเหล่านี้ไปจากกัมพูชา จึงไม่แปลกที่ชาวเขมรจะมองว่าชาติของตนเป็นต้นธารของศิลปวัฒนธรรมไทยทั้งหมด และเกิดความรู้สึกเกลียดชังชาวไทยในที่สุด
หน้าปกหนังสือเรียน
ผู้นำของกัมพูชาใช้นิทานเรื่องพระโค-พระแก้วปลูกฝังความรู้สึกชาตินิยมให้แก่ชาวเขมรตลอดมา เช่น ตีพิมพ์หนังสือนิทานเพื่อปลุกใจในช่วงเรียกร้องอิสรภาพจากฝรั่งเศส หรือบรรจุนิทานเรื่องนี้ในหลักสูตรการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาสั่นคลอนอย่างหนัก นิทานเรื่องนี้ก็จะถูกหยิบยกมาอ้างถึงอยู่เสมอ เช่น ช่วงปลายทศวรรษ 1960 ถึงต้นทศวรรษ 1970 ประเทศไทยและกัมพูชาเกิดกรณีพิพาทเรื่องพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหารขึ้น รัฐบาลกัมพูชาจึงจัดให้คณะนาฏศิลป์หลวงนำเสนอนิทานเรื่องนี้ผ่านทางสถานีวิทยุในช่วงเย็น ส่งผลให้ชาวเขมรฮึกเหิม พร้อมลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อชาติ
สำหรับใครที่อยากฟัง