ตั้งแต่ที่เข้ามาเทคลิเวอร์พูลเมื่อปี 2010 ด้วยงบประมาณ 300 ล้านปอนด์ มีหนี้สินอยู่ประมาณ 200 ล้านปอนด์ ลิเวอร์พูลยุคก่อนถูกเทคโอเวอร์ มูลค่าทีมประเมินน่าะจะอยู่ไม่เกิน 500 ล้านปอนด์ (ตัวเลขที่ซื้อทีมตอนนั้นยังไม่แน่ใจว่ารวมหนี้หรือแยกกัน)

ช่วงนั้นลิเวอร์เป็นทีมที่มีตัวเลขรายได้อยู่แค่ประมาณ 160-200 ล้านปอนด์ต่อปี แต่มีรายจ่ายสูงมาก โดยเฉพาะในปี 2009-2010 มีการประเมินว่าตัวเลขติดลบต่อปีถึง 150 ล้านปอนด์ ผลมาจากการไม่ได้เล่นยูฟ่า ทำให้เจ้าของทีมจำเป็นต้องขายทีมโดยด่วน

หลังจากที่ FSG มาเทคไป ปี 2011-2013 รายได้ตัวเลขยังเท่าเดิม ฟอร์มยังห่วยต่อเนื่องแบรนด์ดังอย่างไนกี้และอดิดาสเริ่มทอดทิ้ง ซัวเรสยังไม่ระเบิดฟอร์ม FSG เข้ามาบริหารได้ดีกว่าเจ้าของเดิมชัดเจน ขาดทุนแต่ยังติดลบลดลงกว่าเดิมถึง 100 ล้านปอนด์ ช่วงนั้น FSG เข้าเนื้อเต็มๆ พอมาปี 13/14 ความพีคของซัวเรสและการเสริมคูติญโญ่เข้ามาทำให้จบรองแชมป์จนทำกำไรครั้งแรกได้ในรอบหลายปีอยู่ที่ 1 ล้านปอนด์ และการได้กลับไปเล่นยูฟ่าในปี 14/15 และขายซัวเรสได้ในปีนั้น ทำให้ปีนั้นทำกำไรสูงสุดในรอบหลายปีที่ 60 ล้านปอนด์

หลังจากนั้นยุคมืดมนกลับมาอีกครั้ง เพราะหลังเสียซัวเรส แต่ทีมซื้อขายใช้งบเยอะมากในปี 14/15 แต่นักเตะค่าตัวแพงหลายคนโชว์ฟอร์มไม่ออก เช่น บาโลเตลลี่ มาร์โควิช ลาลาน่า ไม่สามารถแบกทีมได้ ความหวังมีเพียงแค่คูติญโญ่คนเดียว ทำให้ต้องอัดเงินซื้อกองหน้าเพิ่มอีกเช่น เฟอร์มิโน่ และ เบนเทเก้

ความหวังลิเวอร์กลับคืนอีกครั้งหลังจากที่เดือนตุลาคม 2015 คล๊อปได้เป็นผู้จัดการทีม ประคองลิเวอร์พูลจนจบอันดับ 8 เข้ารอบชิงยูโรป้า ลีก ทำให้ตัวเลขติดลบแค่ 20 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นตัวเลขขาดทุนน้อยที่สุดในรอบหลายปี ถึงตรงนี้ ตั้งแต่ FSG เทคสโมสรมาร่วม 5 ปี ไม่ได้ผลประกอบการใดๆกลับไปเลย มีแต่เติมทุนโป๊ะตัวเลขที่ติดลบแต่มูลค่าสโมสรเพิ่มขึ้น !! จากการได้สปอนเซอร์ใหม่อย่าง New Balance และ กระแสดึงดูดของคล๊อปต่อความเชื่อมันของแฟนๆทั่วโลก สปอนเซอร์รายใหญ่สนใจมากขึ้น กระแสเชิงบวกเพิ่มขึ้นสุดขีด นับได้ว่าปี 2015-2016 นั้นถึงแม้ว่าตัวเลขยังติดลบ แต่มูลค่าสโมสรนั้นโตขึ้นชัดเจน คาดการณ์ว่ามูลค่าสโมสรแตะ 1000 ล้านปอนด์ในปีนั้น และ รายได้แตะ 300 ล้านปอนด์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

หลังจากนั้นยุคลิเวอร์พูลภายใต้การบริหารของ FSG ทำกำไรมาอย่างต่อเนื่อง การขายคูติญโญ่สร้างรายได้มหาศาลเป็นอย่างมาก ลิเวอร์พูลใช้งบประมาณภายในหมุนเงินซื้อตัวนักเตะโดยที่ FSG แทบไม่เคยได้อัดฉีดเงินส่วนใดให้เลย หมายความว่า ขายได้ก็ใช้เท่าที่มี ส่วนถ้าเงินไม่มีจะใช้ก็ใช้ได้ เอารายได้ปีต่อไปมาโปะเอาลิเวอร์พูลก็มีกู้เงินบางส่วนจากธนาคาร

และในปี 2018,2019 ลิเวอร์พูลมี 2 ถ้วยใหญ่อย่าง UCL และ Premier League นับตั้งแต่ที่คล๊อปเข้ามาเมื่อหักลบกับตัวเลขซื้อขายแล้ว จนถึงปี 2019 รวมๆแล้วลิเวอร์พูลมีกำไรมากถึง 252 ล้านปอนด์ เงินส่วนใหญ่โป๊ะหนี้ต่างๆ ที่ติดลบ และเป็นงบเสริมกำลังในอนาคต FSG ไม่เคยดึงผลประกอบการออกไปเลย สิ่งที่ FSG สนใจมีเพียงอย่างเดียวคือ มูลค่าของทีมและรายได้ที่โตขึ้นแบบไม่มีหยุด โดยปี 2019 นั่น ถึงแม้จะไม่มีตัวเลขออกมาชัดเจน แต่มูลค่าของทีมคาดว่าน่าจะแตะ 2000 ล้านปอนด์ มีรายได้แตะ 500 ล้านปอนด์ในช่วงนั้น การได้แบรนด์กีฬาชั้นนำอย่างไนกี้และอดิดาสกลับมาทำให้สโมสรมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ในปี 2020 มีการปรับปรุงสนามโดย FSG ควักเงินให้ Liverpool ในงบประมาณ 100 ล้านปอนด์ เป็นเงินกู้ระยะยาวในดอกเบี้ยต่ำ แม้ในช่วงโควิดจะไม่สามารถทำรายได้กลับไปได้ในจุดเดิม รายได้ลดลงแต่สโมสรยังสามารถประคองให้ติดลบน้อยมาก (ไม่เกิน 10 ล้านปอนด์) นับว่าเป็นการฝ่าวิกฤตที่เก่งมากจริงๆ

KEY สำคัญมันอยู่ตรงนี้ FSG มาถึงจุดเอาทุนคืน เมื่อ FSG ตัดสินใจขายหุ้นให้กลุ่ม Red Bird ในอเมริกาในสัดส่วน 10 เปอร์เซ็นต์ โดยอ้างอิงจากมูลค่าของ Boston Redsox ที่ 3 พันล้านปอนด์ และ ลิเวอร์พุลที่ 2000++ ล้านปอนด์ โดยทั้ง 2 ทีมรวมแล้วคิดเป็น 5332 ล้านปอนด์ เท่ากับว่า FSG ได้มา 533 ล้านปอนด์ หากคิดที่เฉพาะมูลค่าของลิเวอร์พูลนั้น ได้กลับไปเหนาะๆ 200++ ล้านปอนด์แน่นอน มาถึงตรงนี้ หากเทียบกับเงินก้อนแรกที่ซื้อทีมไปประมาณ 500 ล้านปอนด์ ในปี 2010 ที่ไม่รวมหนี้สิน ณ ตอนนั้น (ยังไม่แน่ชัด) FSG ได้เงินคืนไปบางส่วนแล้ว

หลังจากประสบความสำเร็จอย่างมากในปี 2018-2019 ลิเวอร์พูลเดินหน้าคว้ำแชมป์อีกทุกรายการภายใต้การทำทีมของคล๊อป มีการสร้างสนามซ้อมใหม่ (FSG ควักให้กู้เหมือนเดิม) ปรับปรุงสนามให้ใหม่ขึ้น เพิ่มส่วน Hospitality มากขึ้น รายได้กลับมาที่จุดเดิมหลังโควิดและแตะตัวเลข 600 ล้านปอนด์ในปี 2023/2024 ถึงแม้ว่าปีนั้นไม่ได้เล่น UCL และลงทุนเสริมทัพไปมากกว่า 100 ล้านปอนด์ แม้จะขาดทุน 54 ล้านปอนด์ สาเหตุมาจากรายได้จากสื่อลดลง 38 ล้านปอนด์ แต่รายได้ยังโตขึ้น

ก่อนฤดูกาล 2024/2025 คาดการณ์ว่า ลิเวอร์พูล ไม่ได้เสริมทัพในปีนั้น ส่วนหนึ่งอาจจะงบดุลที่ติดลบในปี 23/24 แต่หากดึงงบประมาณซื้อตัวที่พึงมีจะมีในแต่ละปีมาคำนวณ ลิเวอร์พูลอาจจะเสริมได้ถึง 80-100 ล้านปอนด์ตามรอบบัญชีของปี 2024/2025 พอมาถึงปี 2025 ลิเวอร์พูลมีรายได้สูงเกิน 700 ล้านปอนด์ แซงหน้า ยูไนเต็ด เป็นครั้งแรก ผลจากแชมป์พรีเมียร์ลีค และ มีรายได้จากแชมป์ลีคเฟส ของ UCL ประมาณการณ์ว่าน่าจะมีตัวเลขกำไรหลงเหลือหักลบกับที่ขาดทุนปีก่อนร่วมๆ 300-350 ล้านปอนด์ เมื่อคิดในแง่ความเป็นจริงแล้วตัวเลขทางบัญชีไม่แน่ใจว่าเค้าจะคิดกันแบบไหน หากส่งงบกำไรถึง 200 ล้านปอนด์ ค่าภาษีอาจจะแลกบิ๊กเนมดังๆได้ซักคน ทำให้จำเป็นต้องบ้าคลั่งอย่างหนักในปีนี้

ใดใดคือ ณ ตอนนี้ปี 2025 มูลค่าของทีม กระโดดเป็น 5 พันล้านปอนด์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ที่ผ่านมานั้น ลิเวอร์พูลสามารถซื้อนักเตะได้โดยตลอดเพราะมีงบเสริมทีมที่บริหารโดยหลักการยืนด้วยขาของตัวเองอยู่แล้ว FSG แทบไม่ได้เติมทุนซื้อนักเตะอะไรเลย แต่ก็ไม่ได้ดึงกำไรเข้าตัวเองด้วย FSG สนใจเพียงแค่ ตัวเลขมูลค่าของทีมที่จะสามารถขายหุ้นบางส่วนออกไปได้ในอนาคต คืนทุนทบต้นทบดอก+กำไรเต็มๆ!! และยังสามารถนั่งบอร์ดบริหารทีมต่อไปได้อีก

ถ้ามองว่าลิเวอร์พูลเป็นที่ดินเปล่าซักแปลง เมื่อปี 2010 คุณซื้อแค่ 500 บาท แต่ภายในปี 2025 คุณขายได้ถึง 5500 บาท

ถึงผมจะเคยด่า FSG แต่ขอแย้งครับเค้าไม่เคยเป็น ตัวร้ายเลยนะ บริหารดีมาตลอด แค่เมื่อก่อนขี้งกอย่างเดียว


เข้าเทคโอเวอร์ทีช่วยทีมไม่ไห้ตกชั้นจะเป็นตัวร้ายได้ไง

กองเชียร์ fsg strike back หรอ

เอาจริงต้องแยกก่อน คนที่ด่าFSG ไม่ใช่เขาจะเกลียดหรือมองเป็นผู้ร้ายนะ

สิ่งที่แสดงออกมามันน่าด่าก็ด่า นั่นก็ถูกแล้ว ทำดีก็ไม่ใช่ว่าจะชมไม่ได้

ว่ากันตามเหตุผล ไม่ทำตัวเป็นติ่ง

ผมเองครับเคยมองแบบนั้น พอมาไล่ดูงบการเงินของทีมกับแชท ai แล้ว ถึงรู้แจ้งครับ

ไม่ใช่ตัวร้ายหรอก แต่ที่แฟนบอลบ่นอ่ะ หลักๆคือตอนนี้บอร์ดขี้งก ได้แชมป์แล้วไม่ยอมลงทุนต่อยอด กว่าจะซื้อนักเตะทีต้องรอคนที่ใช่ สุดท้ายวืดเกือบหมด

ส่วนตัวผมเองก็ทั้งด่า และชมนะ เรื่องดีๆของFSGมันก็มี ทั้งขยายสนาม สร้างศูนย์ฝึกใหม่ และบริหารการเงินของทีมให้มั่นคงตลอด แฟนบอลไม่ต้องมาลุ้นว่าจะเสี่ยงFFPมั้ย




แต่มาถึง ณ วันนี้ ถ้าได้อิซาคและโรดริโก้มา ผมขอกราบเสี่ยรี่และFSG วันละ3รอบเลย 555555555555

ทีมเป็นหนี้ 238 ล้าน ตอนนั้นก็เทคทีมด้วยการสะสางหนี้ก้อนเดียวนี่แหละ

ประเด็นคือมันไม่ได้น่าด่าจริงไงครับ

คือหลาย ๆ คนช่วงก่อนหน้านี้ก็มาให้เหตุผลอยู่แล้วว่ามันสมเหตุสมผลนะการกระทำของ FSG

คือทีมก็ไม่ได้งก และ เห็นทิศทางที่ดีขึ้นตลอด ตลาดที่ไม่ได้ซื้อ มันก็ยังรับได้อาจเพราะไม่เจอคนที่ปรับปรุงทีมให้ดีขึ้นได้จริง ๆ ซื้อมาคือมาสนอง ความอบากแต่ไม่ได้ทำให้ทีมดีขึ้นชัดเจน

ยิ่งปีล่าสุดโดนด่ายับ แต่บอร์ดเชื่อมั่นในทีมจนสุดท้ายผลงานเป็นคัวบอกว่าบอร์ดตัดสินใจถูก แต่คนด่า สาดเสียเทเสียไปแล้วไงครับท่านตอนที่ได้มาแค่เคียซ่า

ผมว่าหลาย ๆ คนก็เลยอยากออกมาบอกแหละ ว่าที่หลังก็อยากให้แฟน ๆ ใจเย็น ๆ กัน ถ้ายังเห็นว่าทีมพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ก็ยังไม่ต้องรีบด่า รีบใส่กันก็ได้ครับ

ผมไม่ค่อยด่า FSG นะ แต่จะไม่ชมเช่นกัน เค้าเป็นมืออาชีพเรื่องพัฒนาสโมสรกีฬา และลิเวอร์พูลคือกระเป๋าตังเค้า เค้าไม่ปล่อยมห้ทีมตกต่ำหรอก

แต่ในตลาดนี้ที่ทุกคนอวยๆกันเพราะซื้อตัวเยอะ อยากให้ระวังไว้อย่าง ณตอนแรกที่เค้าเข้ามา เค้าก็ทุ่มเช่นกัน แต่ตอนนั้นเราอยู่กลางตาราง มูลค่าทีมน้อย และเค้ายังใหม่กับฟุตบอล เค้าจ่ายเงินค่าผิดพลาดได้เพราะไซส์มันเล็ก มาวันนี้สโมสร5พันล้านปอนด์ ถ้าดีลที่เราลงทุนมันพลาด เราอาจไม่มีตังพอมาแก้ทีม นี่คือสิ่งที่FSGต่างจากเจ้าของนิว เชลซี แมนซิ เจ้าของเราไม่มีเงินพอสำหรับความผิดพลาด

https://www.soccersuck.com/boards/topic/2103652/1


ตัวอย่าง

คำว่าต่อยอดเนี่ย มันเอาอะไรมาชี้วัด ตัวเลขเงินที่จ่ายสำหรับซื้อตัวเท่านั้นเหรอ ที่เป็นการต่อยอด?

สำหรับผม การต่อยอด คือการรักษาสถานะของทีมให้อยู่ข้างบนไว้ ไม่ใช่สวิงไปมา ปีนี้แชมป์ ปีหน้ากลางตาราง

การรักษาแกนหลักของทีม การพัฒนาบุคลากรในทุกๆด้าน พัฒนาสนาม อคาเดมี่ รวมไปถึงด้านภาพลักษณ์ต่างๆ ลิเวอร์พูลดีขึ้นอย่างชัดเจน

เอาตรงๆลิเวอร์พูลคือทีมลุ้นแชมป์ร่วมกะซิตี้ทุกปี มายาวนานกว่า 5-6 ปีแล้ว

2ปีที่แย่งแชมป์ลีกมาได้ คือปีที่แทบไม่ใช้จ่ายอะไรเลยทั้ง2ปี

10 ปีที่ตั้งหลักได้ และคว้าได้ทุกถ้วย มันไม่ใช่เรื่องฟลุค

ก็ในเมื่อทีมบริหารรู้ว่า ทีมไม่ได้ใช้เงินได้โครมๆแบบไม่จำกัด ไม่คิดจะเล่นซิกแซก ดังนั้นการบริหารแบบนี้แหละเหมาะกับลิเวอร์พูลที่สุดแล้ว

มันคือทำถูกทางมาตลอด ไม่ใช่พระเอก ไม่ใช่ผู้ร้าย แต่เป็นผู้บริหารที่อยู่ในโลกความจริง

ผมดีใจนะ ที่ทีมไม่บ้าจี้ทำอะไรตามใจแฟนบอลอย่างเดียว ทุกการตัดสินใจ มีถูกมีผิด แต่ในเรื่องของไดเรคชั่น ก็ต้องบอกว่า เลือกถูกแล้ว

การซื้อตัว ก็เคยถกกันจนปากเปียกปากแฉะมานานแล้ว ซื้อมา คือต้องคิดว่าเอามาใช้งานจริง ไม่ใช่ซื้อมาเผื่อๆ ซื้อตัวที่โค้ชอยากได้ อยากใช้งาน ไม่ใช่ซื้อเพราะเห็นชาวบ้านซื้อ เลยต้องซื้อ

ปีนี้ดีใจกันที่ซื้อเยอะ ปีหน้าก็เตรียมเลย อาจจะเหงาๆ เพราะทีมก็ซื้อพวกที่ใช้งานได้ยาวๆ ไม่ใช่เอามาปีสองปีโละ ขาย

ตลาดซื้อขายของทีมมันเลยจะไม่หวือหวาแบบนี้ทุกปี มันว่ากันด้วย เหตุผล สภาพคล่อง ความต้องการของโค้ช

สุดท้ายหลายคนก็ยอมรับและเข้าใจ การจะยอมรับว่าเคยมองผิดไป มันไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร

แนวทางการบริหาร ผมดูลิเวอร์พูลมาสามสิบปี ไม่เคยมียุคติดลมบนได้แบบนี้มาก่อน ผมเลยไม่เห็นว่าการบริหารมันผิดยังไงเลย ถ้ามันตกต่ำกลางตารางยาว แต่ยังทำแบบเดิม แล้วผมมาอวยสิ มารุมด่ากันได้เลย

ไม่เสริมทีมบอล แต่เอาเงินไปซื้อทีมบาสทีมเบสบอล

ผมยังจำทฤษฎีสมคบคิดนี้ได้ ไม่รู้มันจริงหรือเปล่า

เห็นด่าแต่ฤดูกาลก่อนละผมบอกละว่าตัวที่มีอยู่มันพอมันเล่นได้ พวกจะเสริมอย่างเดียว เสริมแล้วไอ้ที่เหลือละจะเอาไปกองไว้เฉย ๆ มันได้หรอ

จะให้ซื้ออย่างเดียวซื้อเป็นผักปลาตามตลาดเลย

ซื้ออะซซื้อจริงแหละ เพราะ FSG มันกลุ่มทุนบริหารกีฬา แต่มันไม่ได้ดึงเงินในสโมสรมาใช้ และไม่สับคันโยกแบบทีมอื่นๆด้วย

ใดๆที่คือ ถูกคนด้วย โค๊ช 2 คนล่าสุด

ทั้งคลอป ทั้งสลอต

โดยเฉพาะคลอป ต้องขอบคุณมากจริงๆ ขอบคุณมากๆจริง ไม่มี คลอป FSG ก็น่าจะลำบากไม่น้อย เวลาโต ไม่น่าไวขนาดนี้

เพราะ ลำบากทั้งการขยายสนาม การขึ้นค่าตั๋วไม่ได้ การเอาใจแฟนท้องถิ่น ต้องไปหารายได้จากส่วนอื่นแทน

ความหมายของคนพูดคือ ดึงกำไรของลิเวอร์พูลไปลงกับวงการอื่นหรือเปล่าครับ

ถ้าเค้าเข้าใจว่ามันเงินแยกบริษัทกัน มันก็จะไม่เกิดกอสซิปแบบนี้แน่นอน