ทำไมลิเวอร์พูลสามารถซื้อนักเตะกว่า 400 ล้านโดยไม่ผิดกฎ PSR
...
สำหรับใครที่ขี้เกียจอ่าน ผมจะลงเสียงในไว้ในแชนแนล yt อีกประมาณ 2 วันครับ
...
ฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลได้ปิดดีลนักเตะใหม่ไปแล้ว 265 ล้านปอนด์ (ไม่รวมโบนัส) และหากว่าสามารถซื้อมาร์ค เกอี ราคา 40 ล้านปอนด์ และอเล็กซานเดอร์ อิซัค ราคา 130 ล้านปอนด์ ได้อีกจะทำให้ยอดค่าใช้จ่ายจากการเสริมทัพพุ่งไปถึง 435 ล้านปอนด์
ตัวเลขสี่ร้อยกว่าล้านปอนด์ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าลิเวอร์พูลไปรวยมาจากไหน และมีข้อกังขาจากแฟนบอลท่าแซะว่า ลิเวอร์พูลอาจได้รับการยกเว้นจากกฎ PSR
มาครับ ผมจะอธิบายทุกอย่าง ว่า FSG เขาเล่นกับ PSR ยังไง
PSR มันคือเพดานที่จะกำหนดว่าในฤดูกาลนั้นสโมสรฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกจะลงทุนได้กี่ล้านปอนด์ แล้วไม่ทำให้สโมสรใช้จ่ายเกินตัว คอนเซปต์คือการเติบโตอย่างยั่งยืน มีผลงานดีต่อเนื่อง สร้างผลกำไรมาหลายปี ไม่ใช่จะมาอัดเงินปีแรกแล้วเก่งเลย
สูตรคือ PSR = รายได้ - รายจ่าย (ที่ถูกบันทึกลงบัญชี)
โดยรายจ่ายมาจาก (ค่าเหนื่อย + ค่าแรง (Amotization) + ค่าเอเย่นต์ + อื่น ๆ) ไม่รวมเงินลงทุนในทีมเด็ก สนามซ้อม ทีมหญิง
พรีเมียร์ลีกอนุญาตให้ PSR ติดลบ หรือ "ขาดทุน" ย้อนหลัง 3 ปีได้ 105 ล้านปอนด์ สำหรับสโมสรที่เจ้าของอัดฉีดทุนเข้าสโมสร หรือที่เรียกว่า Equity injection
แต่ FSG ไม่ทำแบบนั้น พวกเขาใช้ self-sustaining model ให้สโมสรลิเวอร์พูลอยู่ได้ด้วยผลการดำเนินงาน
โมเดลของ FSG ประกอบด้วย 2 ส่วน
1) กำไรสะสม เพราะ FSG ไม่เอา Revenue ออกจากสโมสร เลยทำให้สามารถเอาผลกำไรหมุนเวียนกลับมาเสริม PSR ได้
2) เพิ่มทุน (Share Capital) FSG เคยเพิ่มหุ้นเข้ามาในลิเวอร์พูล ไม่ใช้วิธีอัดเงินโดยตรง แต่ก็ทำให้ cash flow ของทีมดีขึ้น
ซึ่ง PSR จะนับย้อนหลังไป 3 ฤดูกาลก่อนหน้า เพราะงั้นสำหรับ 2025/26 เราจะไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2022 2023 และ 2024
...
ปี 2022/23
Revenue = 594 ล้านปอนด์
Wages = 373 ล้านปอนด์
Amotization = 83 ล้านปอนด์
Total Costs = 604 ล้านปอนด์
PSR = -10 ล้านปอนด์
ดาร์วิน นูนเญซถูกซื้อเข้ามาด้วยราคา 64 ล้านปอนด์ ตอนนั้นยังสามารถหารได้ตามจำนวนปีในสัญญา ค่าตัวของหนูนเลยถูกหาร 6 ลงบัญชีปีละ 10.66 ล้านปอนด์เท่านั้น (ปี 2023 พรีเมียร์ลีกออกกฎใหม่ให้ Amortized ได้สูงสุด 5 ปี)
คือปีนั้นในภาพรวมลิเวอร์พูลขาดทุนในตลาดซื้อขายไป 57.2 ล้านปอนด์ แต่พอเอามาทำ Amortization และคำนวณกับรายได้อื่น ๆ กลายเป็น -10 ล้านปอนด์เท่านั้นเอง
...
ปี 2023/24
Revenue = 614 ล้านปอนด์
Wages = 429 ล้านปอนด์
Amotization = 101 ล้านปอนด์
Total Costs = 671 ล้านปอนด์
PSR = -57.1 ล้านปอนด์
ลิเวอร์พูลไม่ได้ไปเล่น UCL ขาดรายได้มหาศาล (ไม่เติบโตตาม projection) และเป็นปีที่จ่ายหนักมากกับกองกลาง 4 คนด้วยราคารวม 145.4 ล้านปอนด์ Net spend ค่าใช้จ่ายสุทธิอยู่ที่ 93.4 ล้านปอนด์
ซึ่ง FSG ก็ช่วยทีมไว้โดยการให้ Credit facility อธิบายง่าย ๆ คือให้กู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ ไปจ่ายค่าฉีกสัญญา โดมินิก โซโบสไล และ อเล็กซิส แม็ค-อัลลิสเตอร์ แบบ full payment (ไม่มีการผ่อนชำระ) แทนที่จะใช้เงินสดของสโมสร ซึ่งการทำแบบนี้ช่วยเพิ่ม Cash flow ให้สโมสรเป็นอย่างมาก
...
ปี 2024/25 (โดยประมาณ)
Revenue = 700 - 750 ล้านปอนด์
Wages = 450 ล้านปอนด์
Amotization = 105 ล้านปอนด์
Total Costs = 715 ล้านปอนด์
Player Sales Profit = 55 ล้านปอนด์
PSR = 30 ล้านปอนด์+
ต้องบอกว่า อาร์เน่อ ชล็อต ริชาร์ด ฮิวจ์ และไมเคิล เอ็ดเวิร์ดคือ "ผู้พลิกเกม" ของแทร่
ฮิวจ์ขายผู้เล่นได้กว่า 55 ล้านปอนด์ กำเงินไว้รอเป้าหมาย
ชล็อตเปลี่ยนกราฟจากผู้เล่นส่วนเกินเป็นทรัพย์สิน นอกจากจะทำให้ไม่ต้องเสียเงินซื้อซูบิเมนดี้ ยังนำไปสู่รายได้ 89 ล้านปอนด์จาก UCL และ 175 ล้านปอนด์จากแชมป์พรีเมียร์ลีก ไม่รวมส่วนแบ่งจากไนกี้ที่ขายเสื้อได้ถล่มทลายอีก
เอ็ดเวิร์ดไปดีลสปอนเซอร์ใหม่ อดิดาส มาได้ ทำให้ในเดือนสิงหาคมนี้ ลิเวอร์พูลจะได้เงินอัดฉีดอีก 60 ล้านปอนด์
และในตอนนี้ลิเวอร์พูลมี Commercial Revenue แซงยูไนเต็ดแล้วครับ
...
เดือนมิถุนายน ลิเวอร์พูลมี PSR Headroom หรือช่องว่างระหว่างเพดาน 105 ล้านปอนด์อยู่ที่ราว ๆ 68 ล้านปอนด์
ฮิวจ์สามารถปล่อย เทรนต์ ได้เงินมาอีก 8.4 ล้านปอนด์ ควอนซาห์ 30 ล้านปอนด์ เคลเลเฮอร์ แนต ฟิลลิป รวม ๆ แล้วขายผู้เล่นไปแล้ว 53.9 ล้านปอนด์
แล้วยังแบ่งรายได้ไปจ่ายคืน Credit facility (หลังได้แชมป์ลีก) ปลดภาระหนี้สิน โดยไม่กระทบต่อ PSR
เพราะงั้นตอนนี้ ลิเวอร์พูลมี PSR Headroom เต็มที่ 105 ล้านปอนด์ บวกส่วนเกิน (เขียวอี๋)
ในการเสริมทัพ ลิเวอร์พูลจ่าย fixed fee และลงบัญชีปี 2025 ตามนี้ (หน่วยปอนด์)
- จอร์จี้ 25 ล้าน ลงบัญชี 5 ล้าน
- ฟริมปง 29.5 ล้าน ลงบัญชี 5.9 ล้าน
- โฟล 100 ล้าน ลงบัญชี 20 ล้าน
- เคอร์เคซ 40 ล้าน ลงบัญชี 8 ล้าน
- เป๊คซี 1.5 ล้าน ลงบัญชี 3 แสน
- วู้ดแมน ฟรี
- เอกิติเก้ 69 ล้าน ลงบัญชี 13.8 ล้าน
*ที่ยังไม่รวมโบนัสในการลงบัญชี เพราะจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเข้าเงื่อนไขแล้วเท่านั้น เช่น ลงเล่นครบ หรือ ได้แชมป์
ทั้งหมดนี้ จาก 265 ล้าน ลิเวอร์พูลลงบัญชี PSR 53 ล้านปอนด์
สมมติว่าซื้อ อิซัค 150 ล้าน จะลงบัญชีอีก 30 ล้านปอนด์ เป็น 83 ล้านปอนด์
ซื้อเกอี 40 ล้าน ลงบัญชี 8 ล้าน รวมเป็น 91 ล้านปอนด์
เหลือ PSR Headroom อีก 14 ล้านปอนด์ แต่จ่ายได้มากกว่านั้น คือจะจ่ายอีก 90 ล้านปอนด์ก็ไม่มีปัญหา แต่เข้าใจว่าคงไม่ใส่เต็มขนาดนั้น เพราะระวังค่าเหนื่อยรวมด้วย
นี่ยังไม่ได้พิจารณารายได้จากการจะปล่อยดิอาซ ดาร์วิน เอลเลียต โด๊ก มอร์ตัน อีกนะ จะทำให้การเงินของลิเวอร์พูลลื่นปรื๊ดเผื่อไปถึงปีหน้าเลย
แต่แน่นอนว่า ลิเวอร์พูลก็ต้องระวังฤดูกาลถัด ๆ ไป ที่ค่าใช้จ่ายมันจะถูกส่งต่อไปตามจำนวนปีในสัญญา รวมถึงโบนัสที่จะเริ่มจ่ายหลังจากปีนี้
ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของชล็อตและลูกทีมที่จะต้องทำให้ได้ตามเป้าหมายคือการเข้ารอบรองชนะเลิศ UCL เป็นอย่างน้อย และเป็นทำทีมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ได้
ไม่มีบ่อน้ำมันอะไรทั้งนั้น มีแต่สมองและฝีมือของทีมงานล้วน ๆ
#JB #ไดอารี่คนบ้าบอล #วุ่นวายบานปลายไม่ได้หลับไม่ได้นอน
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1249279923511909&id=100052897393967