กำลังสนใจอยากบริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่ อยากรู้ว่าถ้าเราตายแล้ว ปกติทางบ้านจะจัดงานศพให้เรายังไงหรอครับ เข้าใจว่าพอเค้าศึกษาเสร็จจะมีใบมาเชิญญาติเราไปร่วมทำพิธีสงฆ์ที่โรงพยาบาล แต่อยากรู้ว่าหลังเราตายใหม่ๆ ปกติทางบ้านเค้าต้องทำพิธีอะไรให้เรามั้ย แล้วไปติดต่อวัดยังไง ถ้าไม่มีร่างของผู้เสียชีวิต คือผมสนใจ แต่ก็ไม่อยากสร้างภาระให้คนข้างหลัง เลยอยากหาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจครับ ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคำตอบครับ

บริจาคได้เลยครับ
ถ้าจะให้ดี ให้บริจาคร่างกาย + บริจาค ดวงตา ด้วยครับ
ผมบริจาคร่างกายมา 20 ปี ++ แล้ว ตอนนั้นเค้าให้บัตรผู้บริจาคร่างกายแยกกัน
ระหว่างบริจาคร่างกาย กับบริจาคดวงตาครับ

ในกรณีเราเสียชีวิตให้ติดต่อไปสถาบันที่เราบริจาคร่างกายให้เร็วที่สุดครับ
เมื่อผู้บริจาคร่างกายถึงแก่กรรมและอยู่ระยะทางไม่เกิน 100 กิโลเมตรจากกรุงเทพฯ ให้ญาติแจ้งมาทางภาควิชาฯ ภายใน 24 ชั่วโมง ตามเบอร์โทรศัพท์ที่ระบุไว้ด้านหลังบัตรประจำตัวผู้บริจาคฯ (02-201-5400 และ 081-841-6830 หรือ 081-841-8632) และต้องแจ้งกับทางห้องเก็บศพของทางโรงพยาบาล (ในกรณีเสียชีวิตในโรงพยาบาล) ว่าได้บริจาคร่างกายไว้ และไม่ต้องให้ทางโรงพยาบาลฉีดน้ำยารักษาศพ เพียงแต่ให้เก็บร่างผู้บริจาคไว้ในตู้เย็นของโรงพยาบาลเท่านั้น และควรเป็นตู้เย็นธรรมดา ไม่ใช่ตู้แช่แข็ง เพราะทางภาควิชาฯ จะส่งเจ้าหน้าที่ไปจัดการเรื่องฉีดน้ำยารักษาสภาพศพตามวิธีของเรา และต้องฉีดภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากเสียชีวิต ในการฉีดน้ำยา เจ้าหน้าที่อาจรับศพไปฉีดน้ำยาที่ภาควิชาฯแล้วนำไปดองน้ำยาต่อไป การเคลื่อนย้ายร่างผู้บริจาคจำเป็นต้องมีบันทึกประจำวันแจ้งการเสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ (สำหรับการเสียชีวิตที่บ้าน) หรือเอกสารรับรองการเสียชีวิตจากแพทย์ (สำหรับการเสียชีวิตที่โรงพยาบาล) ไปกับรถทุกครั้ง ฉะนั้นญาติต้องดำเนินการให้ได้เอกสารนี้อย่างใดอย่างหนึ่งให้เรียบร้อยก่อน เมื่อเจ้าหน้าที่ได้สำเนาเอกสารแล้วจึงจะเคลื่อนย้ายศพได้ จากนั้นญาติต้องดำเนินการขอใบมรณบัตร
https://anatomy.sc.mahidol.ac.th/old/thai/bodydonation.html

ผมก็บริจาค
เวลาเราตายแล้วให้ญาติแจ้งไปยังหน่วยงานที่เราบริจาคไว้
เขาจะรับศพเราไปตรวจก่อนว่าเข้าเกณฑ์เขาไหม กรณีบริจาคอวัยวะ เขาก็จะดูว่าอวัยวะนั้นนำไปปลูกถ่ายได้หรือเปล่า จากนั้นเขาก็ฉีดฟอมาลีน
คืนศพให้ญาติ ไปประกอบพิธี แต่ไม่เผา กรณีเป็นอาจารย์ใหญ่ พอศึกษาเสร็จ จะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ ให้อีกที

อ้อ คุยกับญาติให้เคลียร์ เพราะถ้าถึงตอนนั้นญาติไม่ยินยอม เขาดำเนินการต่อไม่ได้ เพราะ ศพในแง่กฏหมายถือเป็นทรัพย์สินครับ

ติดต่อ รพ.ที่บริจาค เจ้าหน้าที่จะมารับศพ และมีกระบวนการทางการแพทย์นิดนึง จึงจะเคลื่อนย้ายศพให้มาทำพิธีได้ อาจมีเงื่อนไขนิดหน่อยเรื่องต้องเป็นโลงแบบไหน

ของผมบริจาคที่ รามา
เขียนในใบบริจาคไปครับว่า ระบุแล้วว่าให้เอาตามกระบวนการทางแพทย์เป็นหลัก ผมจะพยายามทำผมศพสมบูรณ์ให้ นศ.แพทย์ได้ไปศึกษาแบบ เคสศพอ่อน (ไม่แช่แข็งดองไว้ แล้วค่อนนำมาศึกษา)

เขียนอธิบายเกี่ยวกับร่างกายที่โมดิฟายมาให้ว่าที่คุณหมอทราบ
- เข่าขวาผ่าซ่อม ACL 2 รอบ
- กระดูกสันหลัง L5-SI มีสกรูทางการแพทย์ยึดอยู่ตั้งแต่อายุ ...
เผื่อเป็นข้อมูลไปวิจัยพัฒนากันต่อ


สำหรับที่บ้านผมบอก เน้นเรื่องผมมีบริจาคอวัยวะ บริจาคร่างกายไว้
ถ้าจัดก็ให้อิงตามที่ รพ.เข้าว่าไว้ ถ้าไม่มีศพมา ก็เอาของใช้บางอย่างมาใส่เป็นพิธ๊พอ อาจจะริสแบนด์ก็พอแล้ว
จัดเพื่อให้ญาติๆ เพื่อนๆ ได้มาเจอกัน ก็คงครบตามวัตถุประสงค์จะดงานพอแล้ว

ทำอย่างดี สุดท้ายเมียไม่ยอม จบเลยนะครับ

ต้องคุยให้ดี พ่อผมบริจาคทั้งตัวครับ เข้าข่ายด้วย เพราะสมองตาย

สุดท้ายแม่ไม่ยอมให้บริจาคครับ แย่จัด ขนาดตายแล้วยังคอนโทรลพ่อผมได้

จดหมาย เขียน เซ็นไว้เลย ให้เมียเก็บไว้

ผมบริจาคทั้งตัว เหมือนกันครับ เข้ามาเอาความรู้ด้วย

ขอบคุณทุกคำตอบครับ คือจริงๆพ่อแม่ผมก็บริจาคครับ ทีนี้อยากรู้ว่าพอเค้ามารับศพไปแล้ว เราไม่ต้องจัดงานศพใดๆให้เค้าเลยหรอครับ แค่รู้สึกว่าถึงวันนั้นจริงๆคงใจหายมากๆ อยู่ๆพ่อแม่เราก็ไม่อยู่แล้ว เหมือนอยู่ดีๆก็หายไปจากชีวิตเราเลย แล้วก็ไม่มีพิธีอะไรให้ใช้เวลาทำใจเลย

เราบริจาคได้สามอย่างทำให้ครบเลยครับ
ดวงตา
อวัยวะ
ร่างกาย

ส่วนพิธีกรรมจัดได้ตามปกติครับ เผาโรงเปล่า ๆ หรือใช้ของส่วนตัวใส่ในโรง
หรือไม่จัดก็ได้ อันนี้แล้วแต่คุยกันในครอบครัว
ส่วนของผมบอกภรรยาไว้แล้วว่าไม่ต้องจัด

ไม่จัดงานศพข้อดีเพียบเลยนะครับ ไม่เหนื่อย ไม่เสียตังค์ แต่อดได้ซอง 55

คือคนตายเขาตายไปแล้วครับ เขาไม่ได้มารับรู้เรื่องใดๆกับเราแล้ว

ชีวิตคนเรามันก็แค่นั้นแหละครับ แว่บเดียว จากลากันตลอดกาล

พิธีไม่ได้มาช่วยเราทำใจหรอกครับ แค่มาทำให้เราเหนื่อยครับ

สิ่งที่แฮปปี้ที่สุดในงานศพพ่อผมเลยนะ คือกินข้าว กินเหล้า กับญาติ แล้วก็เพื่อนร่วมงานพ่อผมครับ แฮปปี้มากๆ

แต่ตรงพิธีศพผมโคตรหัวร้อนเลย ไม่ได้รู้สึกระลึกอะไรเลย ทั้งๆที่พ่อผมตายนี่เขาขอเลย

" เอาบริจาคเลยนะ แล้วไม่ต้องจัดพิธีอะไรเลย " สุดท้ายไม่ได้ทำตามคำขอแก

ผมบริจาคร่างกาย ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน(สุพรรณ) และบริจาคเลือดสม่ำเสมอ(ถ้าว่าง) ลูกสาวก็เตรียมบริจาคเหมือนกัน ผมว่าดีกว่าเผาแล้วเสียอวัยวะโดยเปล่าประโยชน์ เอาจริงต่อให้เป็นโรคที่ส่งต่ออวัยวะไม่ได้ก็เอาไว้ให้นศ.แพทย์ฝึกผ่าดูโน่นนี่

ว่าจะไปบริจาคอยู่ ตอนนั้นเคยไปศิริราช อายุยังไม่ถึง เขาให้พ่อ แม่เซ็นก่อน เลยไม่ได้ทำต่อ

อวัยวะ ร่างกาย ดวงตา ผมบริจาคหมดเลยครับ

แต่มีเพื่อนส่วนหนึ่งมักจะมาขัดผมว่า "ตายไปก็ใช่ว่าคนจะเอาไปใช้ได้ ต้องไม่มีโรคติดต่อ และอวัยวะที่บริจาคต้องสภาพดีเมื่อตายด้วย"

ซึ่งผมก็หงุดหงิดนะ จะมาสอนกุทำไม ใช้ไม่ได้ ก็ทิ้งไป

อวัยวะบริจาคละ เหลือร่างกาย ภาคอีสานต้องไปบริจาคที่ขอนแก่น เดี๋ยวหาโอกาสไป

ว่าจะไปอยู่เหมือนกันครับ บริจาคเป็นอาจารย์ใหญ่ ม.นเรศวร

เท่าที่พอรู้มาบ้าง อาจารย์ใหญ่จะมี2แบบ แบบนิ่มกับแบบแข็ง
แบบนิ่มคือรับศพมาก็แช่เย็นเอาไว้เวลาทำพวก cadaver workshopสำหรับหมอ อาจใช้ทั้งร่างหรือเฉพาะส่วน อย่างถ้ามีworkshopเกี่ยวกับneurologist ก็ตัดเอาแค่ส่วนหัวไปทำworkshop ไม่ได้ไปทั้งร่าง หรืออย่างworkshopอย่างผ่าตัดเข่าหรือสะโพกก็เอาทั้งร่างแต่ใช้เข่าและสะโพกทั้ง2ข้างสำหรับพวกหมอสายorthopedic หลังจากใช้ในworkshopเสร็จก็อาจมีพิธีฌาปนกิจเลย

ส่วนอาจารย์ใหญ่แบบแข็งก็ต้องไปผ่านการดองและให้นักศึกษาแพทย์ใช้ หลังจากใช้ทั้งร่างเสร็จถึงจะมีพิธีฌาปนกิจ