[RE: พระไทยกับความ professional]
Operation Meetinghouse พิมพ์ว่า:
พุทธศาสนามันปรับตัวตามสังคมสภาพเศรฐกิจ ย้อนกลับไปสัก 100 ปีที่แล้ววัดเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชนเพราะวันมันเป็นที่พึ่งพาของคนในชุมชน มาสมัยนี้วัดเป็นสถานที่เอาไว้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอย่างเดียว นักบวชก็สะสมเงินทองความมั่งคั่งเพราะสภาพเศรฐกิจมันเอื้อสมัยนี้คนมีอันจะกินมากขึ้นไม่เหมือน 100 ปีที่แล้วที่คนไทยยากจนเหมือน ๆ กันหมด
รัฐไทยก็มีส่วนเยอะมากในความเสื่อมทรามของของพุทธศาสนาในไทยเพราะรัฐไทยพยายามเข้าไปควบคุมพุทธศาสนาอย่างใกล้ชิดเอาการเมืองมาครอบพุทธศาสนา พระมียศมีลำดับชั้นมีพระชนชั้นปกครอง ฯลฯ ทำให้นักบวชสะสมเงินทองความมั่งคั่งกันหนักเข้าไปอีกเพราะถ้านักบวชมีเงินมีทองมากคุณก็มีสิทธิที่จะมียศถาบรรดาศักดิ์สูงขึ้นไปอีกจากการส่งส่วยเพื่อให้ได้ตำแหน่งเมื่อมีตำแหน่งที่สูงขึ้นนักบวชก็จะมีรายได้ที่มากขึ้นเป็นวงจรอุบาทไม่รู้จบเหมือนหน่วยงานตำรวจ
การสร้างองค์กรมาตรวจสอบก็ไม่ช่วยอะไรเพราะยิ่งสร้างองค์กรมาตรวจสอบ สุดท้ายองค์กรนั้นแหละจะกลายเหมือนศาลรัฐธรรมนูญในทางการเมืองที่มีอำนาจล้นฟ้าผูกขาดการตีความให้โทษหรือให้คุณกับใครก็ได้ สุดท้ายองค์กรพวกนี้จะฉ้อฉล
พระสมัยโบราณต้องบิณฑบาตรขอข้าวประชาชนกินถ้าพระทำตัวแย่มันไม่ต้องมีองค์กรอะไรมาลงโทษเพราะประชาชนนั่นแหละจะลงโทษเองโดยไม่ใส่บาตรให้กินเมื่อไม่มีอะไรกินก็จะอยู่ไม่ได้ มันเป็นระบบ Check and Balances ในตัวเอง มาสมัยนี้ระบบ Check and Balances มันพังเพราะนักบวชไม่ต้องพึ่งพาประชาชนชาวบ้านอีกต่อไปมีเงินเดือนกินมียศถาบรรดาศักดิ์
เห็นด้วยในหลายๆข้อเลยครับ
ที่สำคัญ คือ การกำหนดยศให้จริงๆ เพื่อเป้นเครื่องมือปกครองและกระจายฐานอำนาจ
ยิ่งพระผู้ใหญ่ในท้องถิ่นนี่โคตรมาเฟีย ผู้ว่ามาใหม่ นายตำรวจย้ายมาต้องไปไหว้ก่อน
ไม่ใช่แค่เรื่องเคารพผู้หลักผู้ใหญ่อย่างเดียว เป็นการแนะนำตัวให้ลูกศิษย์ลูกหาวัดในท้องถิ่นรู้จักด้วย
จะได้คุ้มครอง ไม่ขัดขากับใคร
ผมเจอเองกับตัวมาแล้วเหมือนกัน สมัยอยู่บ้านนอก