::เครดิตจาก::
https://www.facebook.com/share/p/1B6UCdYYpv/
ผมเพิ่งเริ่มดูสงครามส่งด่วนครับ หนังสนุกดีแต่รู้สึกว่ามันมีสิ่งที่ไม่ make sense ทางธุรกิจหลายอย่าง เลยไปเปิดดู the secret sauce ตอนที่คุณเคนสัมภาษณ์คุณคมสันต์ แซ่ลี...
***ในนี้น่าจะมีสปอยล์หนังนะครับ เพราะผมจะพูดถึงบทสัมภาษณ์ซึ่งมันมีส่วนที่ถูกเอาไปสร้างเป็นหนัง ถ้าใครกังวลเรื่องนี้ อย่าเพิ่งอ่านจนกว่าจะได้ดูนะ
ก่อนที่ผมจะได้ดูหนัง ผมฟัง
the secret sauce ตอนที่สัมภาษณ์ producer และผู้กำกับก่อน ทำให้รู้ว่าการสร้างหนังจากเรื่องจริงมันมีด้วยกัน
3 level ครับ
level สูงสุดคือ documentary หรือสารคดี อันนี้จะเป็นเรื่องจริงทั้งหมดมีหลักฐาน ถ่ายของจริงให้เห็นจะๆ
level รองลงมือคือ based on true story อันนี้จริงๆก็อยากให้สมจริงแหละ แต่บางทีมันได้ข้อมูลมาจากคนโน้นคนนี้ คืออาจจะไม่ใช่ fact ทั้งหมด
level สุดท้ายคือ inspired by true story อันนี้จะมีเค้าโคลงหรือมีคนจริงเป็นฐานต่อยอดเอาไปเขียนบทเพิ่ม ซึ่งก็แล้วแต่เลยว่าจะใส่สีตีไข่ให้เมามันส์แค่ไหน
เรื่องสงครามส่งด่วนเป็นรูปแบบ inspired by true story นะครับ ดังนั้น เนื้อเรื่องเขียนเพิ่มเยอะมาก
สิ่งที่ผมว่าไม่ make sense เช่น เป็นไปไม่ได้หรอกครับที่คุณจะเล่าไอเดียสั้นๆแค่ว่าจะขายตัดราคาคู่แข่งให้นักลงทุนระดับประเทศฟังแค่นี้ แล้วเขาจะตัดสินใจร่วมเป็น partner ทางธุรกิจกับคุณเลย...
หรืออย่างตอนที่พระเอกถูกกดดันจากนักลงทุนว่า "อะไรคือความต่างของคุณ จะเอาอะไรไปสู่กับเจ้าใหญ่" แล้วพระเอกก็ตรัสรู้ขึ้นมาได้เลยทันทีว่าจะใช้เรื่องของการเข้าไปรับพัสดุถึงบ้าน key success factor แบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในเสี้ยววินาทีครับ...
หรือแม้แต่ CTO สุดเทพของพระเอกที่โคตรสถุล คือผมเชื่อว่าคนเก่งที่ดุ โหด tough มีจริง แต่คุณไม่สามารถถ่อยได้ ไม่งั้นไม่มีใครทำงานด้วยแน่นอน
หนังสนุกนะครับ แต่ยังมีอีกหลายตอนไม่ realistic เท่าไหร่ เลยอยากไปฟังคุณคมสันต์เล่าแล้วล่ะ ว่า flash มีที่มาที่ไปยังไง
คลิปสัมภาษณ์คุณคมสันต์กับ the secret sauce ผมว่าเป็นคลิปที่คนทำธุรกิจควรดูอย่างมาก คือผมฟัง podcast ทุกเช้า แต่จัดให้คลิปนี้เป็นติด top 3 ของ podcast ที่ชอบที่สุดเลย
VIDEO
=======
ผมอยากเล่าเรื่องที่ผมชอบมากๆให้ฟัง 13 ข้อ ไปเรียนรู้จากมนุษย์ระดับ unicorn คนนี้พร้อมๆกันครับ...
1. ข้ามเรื่องต้นกำเนิดจากเด็กชาวดอยไปนะครับ เอาเป็นว่าแกเกิดมาจนมากๆละกัน แน่นอนว่านั่นเป็นแรงขับให้ประสบความสำเร็จ...
Ali Abdaal ซึ่งเป็น youtuber และนักเขียนชื่อดังเคยบอกไว้ตรงๆว่า ที่เขารวยมาได้เพราะเขา obsess เรื่องเงินครับ คือคิดตลอดเวลาเกี่ยวกับการหาเงิน และคมสันต์ แซ่ลีเป็นคนแบบนั้นแหละ
2. competitive advantage อย่างแรกที่คุณคมสันต์มีเลยคือ พูดภาษาจีนได้ (แม่เป็นครูสอนจีน) ตอนเข้ามาเรียนมหาลัยฯ มีนักศึกษาแลกเปลี่ยนชาวจีนหลายร้อยคน แกก็เริ่มทำธุรกิจนำเข้าสินค้าจีนมาขายให้นักศึกษาเหล่านั้น
แกเรียนคณะบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ ก็คือเรียนไปแล้วก็ลงมือทำจริงไปด้วยเลย OMG!
3. เท่านั้นไม่พอ พอเริ่มเก็บเงินจากธุรกิจแรกได้ แกเอาไปลงทุนต่อโดยการซื้อวัตถุดิบอาหารส่งให้ร้านอาหารที่มหาลัย โดยที่แกจะรับออร์เดอร์แล้วไปซื้อของมาให้ก่อน จากนั้นตอนเย็นค่อยมาเก็บตังค์แล้วรับออร์เดอร์วันต่อไป
คุณคมสันต์บอกว่า นี่คือธุรกิจ finance เพราะสิ่งที่แกทำคือแกให้ร้านค้าได้หมุนเงินก่อน จะได้ไม่ต้องไปกู้เงินนอกระบบเพื่อซื้อวัตถุดิบแล้วเอามาทำอาหารขายก่อนแล้วค่อยจ่ายคืนเงินกู้ดอกเบื้ยราคาสูง
คือ... การไปซื้อของมาขาย อันนี้ใครๆก็ทำได้ คนหัวการค้าที่ขยันหน่อยก็น่าจะเริ่มธุรกิจแบบนี้ แต่สิ่งที่คุณคมสันต์ทำมันล้ำไปอีกขั้น เพราะเขาเลือกทำด้วยโมเดลที่แตกต่าง
นี่คือวิธีคิดของเด็กอายุ 20 ที่ยังเรียนไม่จบ
4. คุณคมสันต์เล่าว่า แกรู้จักคนเยอะมากและชอบคุยกับรุ่นพี่ รู้จักคนหลายคณะ พอรุ่นพี่เรียนจบไปแกก็จะคอยโทรหา สอบถามว่าไปทำงานเป็นไงบ้าง เพื่อที่แกจะได้รู้ว่าคนที่จบไปทำงานจริงๆในแต่ละสายจะต้องเจอกับอะไร
5. ตอนที่คุณคมสันต์อยู่ปี 3 มีเพื่อนทาบทามให้ไปช่วยบริหารเหมืองทรายที่กำลังจะเจ๊ง ติดลบปีละ 10 ล้าน แกเข้าไปแล้วพบว่าคอรับชั่นเละ คือผู้บริหารเหมืองเป็นคนจีนแต่ไม่เคยมาดูหน้างาน คนงานไทยก็ไปเอาพี่ป้าน้าอามาทำงานกัน ไร้ประสิทธิภาพสุดๆ แกเข้าไปถึงไล่คนออกเกือบครึ่ง แล้วก็บริหารจนหนึ่งปีถัดมากำไร 10 ล้าน
หลังลาออกจากเหมืองทราย แกได้เงินสดก้อนใหญ่เป็นค่าตอบแทน ก็คือมีเงินล้านตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา
6. พอเรียนจบมหาลัยก็ไปทำธุรกิจที่เชียงใหม่ คือไปเป็นนายหน้าขายคอนโดฯให้คนจีน แต่พวกนายหน้าเนี่ย คนจะไม่ค่อยอยากคุยด้วย กลัวโดนขาย ทีแรกเลยหาคอนแทคลูกค้ายากมาก
7. คุณคมสันต์เห็นว่า เอ้อ คนจีนพอมาอยู่ไทยเขาก็อยากใช้ของจีน และก็อยากส่งของไทยกลับไปให้คนที่จีน ดังนั้น ก็เลยเปิดอีกกิจการนึงที่เป็นกิจการนำเข้าส่งออกสินค้าไทย-จีน แล้วก็ tie-in การขายคอนโดฯไปด้วย
คือที่เปิดธุรกิจขนส่งอ่ะ ที่จริงจะได้เก็บคอนแทคลูกค้ามาขายคอนโดฯนะ ลูกค้าพอมาส่งของหลายๆรอบก็เกิดความเชื่อใจ คราวนี้พอขายคอนโดฯก็ขายง่ายเลย ธุรกิจนายหน้าอสังหาฯทำกำไรมหาศาล
8. แต่... ธุรกิจขนส่ง เสือกรวยกว่าอี๊ก! ทำไปทำมาเปิดสาขาไป 4 - 5 ประเทศ เห้ย!! แบบนี้มันต้องมี something ละ! นั่นก็เลยเป็นที่มาที่ทำให้คุณคมสันต์อินและคลุกวงในเข้าสู่อุตสาหกรรม express เต็มตัว
9. คุณคมสันต์ศึกษาตลาดจนทะลุปรุโปร่ง ได้เดินทางไปจีน และอีกหลายประเทศที่ e-commerce เติบโตถึงขีดสุด จนได้พบว่าไทยมีช่องว่างอีกมาก ค่าขนส่งในไทยตอนนั้นเริ่มต้นเฉลี่ย 65 บาท แต่ที่จีนซึ่งประเทศใหญ่กว่าไทย 18 เท่าค่าขนส่งเริ่มที่ 15 บาท แสดงว่ามี gap มหาศาล
พอศึกษาตลาดอย่างละเอียด ก็เลือกที่จะไปดีลกับแบรนด์ขนส่งของจีน กะว่าให้เขาเข้ามาลงทุน และใช้เทคโนโลยีที่เขามี ส่วนเราก็ลงแรงทำงานในไทย
10. ที่ไหนได้พอทำการบ้านให้เขาเรียบร้อย ปรากฎแบรนด์จีนถีบคุณคมสันต์ทิ้งแล้วก็มาเปิดเอง (ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ในไทยนะครับ เดากันออกไหมว่าแบรนด์ไหน?) คุณคมสันต์จึงได้เบิกเนตรสังสาระ... เดี๋ยวๆๆ คือได้สั่งสมความแค้นเป็นอีกแรงขับเคลื่อนหนึ่งของการสร้าง flash express
11. ตอนนั้นจริงๆคุณคมสันต์รวยแล้วนะ แต่นั่นแหละด้วยความที่ศึกษาตลาดมาดีมากมายแล้ว ก็เลยมั่นใจว่าธุรกิจนี้มันรุ่งแน่ อยากทำจริงๆ เลยตั้งใจจะ all in คือทุ่มเงินทั้งหมดที่มีมาสร้าง flash คุณคมสันต์บอกว่าตอนที่ปรึกษาแฟน เกือบเลิกกัน!
แฟนบอกว่า ตอนที่เจอกันเนี่ยคมสันต์ยังไม่มีรองเท้าใส่เลยนะ ตอนนี้เรากินดีอยู่ดีแล้ว จะให้กลับไปเท้าเปล่าอีกหรือไง?
คุณคมสันต์บอกว่า คือถ้าเขาไม่ทำ flash เนี่ยครอบครัวอาจจะมีความสุข แต่คมสันต์อาจจะไม่มีความสุขเลยตลอดชีวิต สุดท้ายก็เลยตกลงที่จะกันเงินส่วนหนึ่งไว้ให้ลูก แล้วที่เหลือค่อยเทหมดหน้าตัก ขายทั้งบ้าน ขายทั้งรถ มา bootstrap ตัวเองด้วยเงินราวๆ 300 ล้าน
12. คุณคมสันต์บอกว่า ผมต้อง all in ถ้าไม่งั้นผมจะมีทางถอยได้ แล้วธุรกิจนี้มันก็จะไม่สำเร็จครับ
13. สุดท้าย คุณคมสันต์บอกว่าในประเทศที่ e-com มัน growth มากๆ ไม่มีที่ไหนที่ลูกค้าต้องเดินทางมาหาผู้ให้บริการขนส่งที่สาขา ตัวผู้ให้บริการนั่นแหละต้องไปหาลูกค้า
ในตอนนั้นที่ไทยเจ้าใหญ่แบรนด์ดังมีจุดเด่นเรื่องสาขาเยอะเข้าถึงง่าย แต่พอ flash เข้ามาด้วยโมเดลแบบเข้าไปรับถึงหน้าบ้าน flash มีต้นทุน physical store ต่ำทำให้เล่นราคาได้ ในขณะที่แบรนด์ใหญ่ที่เคยมีจุดเด่นเรื่องสาขาเยอะ จุดเด่นนั้นแม่งกลายเป็นจุดอ่อนเลยทันที เพราะถ้าจะเลียนแบบไปรับสินค้าที่บ้านบ้าง ไอ้สาขาก็จะกลายเป็นต้นทุนจมทันที
โหดสาดดด!!!
เอาแค่นี้นะครับ... ไปฟังคลิปเต็มต่อเอง แปะลิงก์ไว้ให้ในเม้นต์นะ ควรค่าแก่การฟังมากๆ เอาเป็นว่าถ้าคุณอยากพัฒนาตัวเองทางด้านธุรกิจแล้วตลอดทั้งปีนี้มีโควต้าสามารถดูคลิปยาวได้แค่ 1 คลิป ให้ดูคลิปนี้
ผมว่าคมสันต์ แซลี ผู้ชายคนนี้เก่งแบบยอดมนุษย์ ทั้ง mindset / hard skill / soft skill
mindset ที่แบบ obsess เรื่องเงินจัดๆ แถมมองหาการสร้างความแตกต่างทางธุรกิจอยู่ตลอด (อันนี้ส่วนหนึ่งเดาว่าเพราะคบค้าสมาคมกับคนจีนเยอะด้วย)
hard skill ที่แบบวิเคราะห์ตลาดขาด หาจุดต่างแม่น
soft skill ที่แบบ connect กับคนไปได้ทั่ว จนกว้างขวาง เปิดโอกาสให้ตัวเองได้มากมาย แถมกล้าได้กล้าเสีย
ลองไปฟังเขาดูครับ แล้วจะรู้ว่าทำไมอาณาจักรของเขาถึงมีมูลค่าระดับหมื่นล้าน...
======
ลืมไปอีกอันที่ชอบมาก... ชื่อ flash ที่สื่อถึงสายฟ้า หลายคนจะนึกว่ามาจากความตั้งใจที่จะให้แบรนด์แสดงออกถึงความรวดเร็ว
แต่ที่จริงคุณคมสันต์บอกว่าสายฟ้าจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีพายุฝน ซึ่ง flash เกิดขึ้นได้จากมรสุมอันรุมเร้า ก่อนจะฝ่าฟันกับสิ่งเหล่านั้นจนได้เปล่งประกายในที่สุด
โคตรต๊าซซ!!!