Operation Midnight Hammer “ปฎิบัติการค้อนมัชฌิมยาม”
Operation Midnight Hammer: ยุทธการถล่มอิหร่าน
ในค่ำคืนที่ดูเหมือนจะเงียบสงบนั้น โลกไม่ได้รู้เลยว่าปฏิบัติการทางทหารครั้งประวัติศาสตร์กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ปฏิบัติการที่ใช้เวลาวางแผนและเตรียมการนานนับเดือน ภายใต้ชื่อรหัสอันน่าเกรงขาม "Operation Midnight Hammer" หรือ "ค้อนมัชฌิมยาม"
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นที่ฐานทัพอากาศไวท์แมน ในรัฐมิสซูรี สหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B-2 Spirit อันทรงพลังหลายลำได้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในความมืดมิด จุดหมายปลายทางของพวกมันอยู่ห่างออกไปครึ่งโลก นั่นคือโรงงานนิวเคลียร์ที่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาที่สุดของอิหร่าน การเดินทางครั้งนี้เป็นการบินปฏิบัติภารกิจที่ยาวนานที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ เทียบเท่าได้กับภารกิจหลังเหตุการณ์ 9/11 เลยทีเดียว
แต่ B-2 ไม่ได้ออกโรงเพียงลำพัง... ใต้ผืนน้ำอันมืดมิดของมหาสมุทร เรือดำน้ำของสหรัฐฯ กำลังเคลื่อนที่เข้าสู่ตำแหน่งอย่างเงียบเชียบ และเมื่อได้รับสัญญาณ ขีปนาวุธร่อน "โทมาฮอว์ก" มากกว่า 24 ลูกก็ได้พุ่งออกจากท่อยิง มุ่งหน้าสู่โรงงานนิวเคลียร์ที่เมืองอิสฟาฮานอย่างแม่นยำ
ขณะเดียวกันบนท้องฟ้า สหรัฐฯ ได้ใช้กลยุทธ์ที่แยบยลยิ่งนัก พวกเขาส่งเครื่องบินกลุ่มหนึ่งบินเป็น "ตัวล่อ" เพื่อดึงดูดความสนใจของระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่าน และมันก็ได้ผล... ในขณะที่อิหร่านกำลังพะวงกับเป้าหมายลวง ฝูงบิน B-2 ตัวจริงก็สามารถหลุดรอดเข้าไปเหนือเป้าหมายหลักได้อย่างสมบูรณ์
และสิ่งที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ เครื่องบินสหรัฐฯ สามารถบินลึกเข้าไปในน่านฟ้าอิหร่าน ปฏิบัติภารกิจจนเสร็จสิ้น และบินกลับออกมาโดยที่กองทัพอิหร่านไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย ไม่มีเครื่องบินรบของอิหร่านแม้แต่ลำเดียวที่บินขึ้นมาสกัดกั้น และไม่มีขีปนาวุธต่อสู้อากาศยานแม้แต่ลูกเดียวที่ถูกยิงออกมาตอบโต้ มันคือความสำเร็จของเทคโนโลยีล่องหนและกลยุทธ์ลวงที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
และแล้ว "ค้อน" ก็ถูกฟาดลงมา... นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การรบ ที่ "ระเบิดทะลุทะลวงบังเกอร์" ขนาดมหึมา หรือ MOP (Massive Ordnance Penetrator) ถูกนำมาใช้งานจริง ระเบิดทรงพลัง 14 ลูกถูกทิ้งลงสู่โรงงานนิวเคลียร์ที่ฟอร์โดว์และนาแทนซ์ ซึ่งเป็นหัวใจของโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน
เพียงไม่นานหลังจากนั้น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้ประกาศกร้าวต่อชาวโลกว่า "โรงงานเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์ที่สำคัญของอิหร่านถูกทำลายอย่างสิ้นซากโดยสิ้นเชิง" พร้อมคำขู่ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นหากอิหร่านไม่ยอมหันมาสร้างสันติภาพ
เช้าวันรุ่งขึ้น กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือเพนตากอน ได้เปิดแถลงข่าวยืนยันปฏิบัติการ พลเอก แดน เคน และรัฐมนตรีกลาโหม พีท เฮกเซธ ได้เปิดเผยรายละเอียดอันน่าทึ่งของปฏิบัติการที่ใช้เครื่องบินถึง 125 ลำ และอาวุธนำวิถี 75 ลูก แต่ก็ย้ำอย่างชัดเจนว่าภารกิจนี้ "ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง" แต่เพื่อหยุดยั้งภัยคุกคามจากนิวเคลียร์
แน่นอนว่าอิหร่านไม่ได้นิ่งเฉย เสียงไซเรนและเสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วกรุงเทลอาวีฟและเยรูซาเล็มในอิสราเอล จากการยิงขีปนาวุธตอบโต้ของอิหร่าน รัฐบาลเตหะรานประกาศกร้าวว่าขอสงวนสิทธิ์ทุกทางในการป้องกันตนเอง พร้อมทั้งทิ้งไพ่ใบใหญ่ที่อาจสั่นสะเทือนโลก นั่นคือการพิจารณาถอนตัวจากสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ และอาจถึงขั้นปิดช่องแคบฮอร์มุซ เส้นเลือดใหญ่ของการขนส่งน้ำมันโลก
ท่ามกลางความตึงเครียดที่พุ่งถึงขีดสุด ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ได้ออกมาสร้างความโล่งใจเล็กน้อยว่ายังตรวจไม่พบการรั่วไหลของกัมมันตรังสี แต่สถานการณ์ในภาพรวมยังคงล่อแหลมอย่างยิ่ง ควันปืนยังไม่จางหาย โลกกำลังจับจ้องไปยังตะวันออกกลางด้วยความหวาดหวั่น ว่าค้อนที่ถูกฟาดลงไปในคืนนั้น จะเป็นจุดเริ่มต้นของมหาสงครามครั้งใหม่หรือไม่... คงมีแต่เวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบได้
Credit : Beauty Investor
https://www.facebook.com/share/p/1EBXtjNeio/?mibextid=wwXIfr
ปล.เครื่องที่เป็นนกต่อนี่เป็น F22 กับ F35 ป่ะ

ไม่พบการรั่วไหลนี่แสดงว่าขนย้ายไปตั้งนานแล้วป่ะฮะ
There has to come a time when enough is enough : เมื่อถึงเวลาพอก็ต้องพอ