มนุษย์ยุคนี้ไม่ได้ถูกเลี้ยงมาให้รู้จักตัวเอง แต่ถูกเลี้ยงมาให้เป็นผู้บริโภค
เมื่อมนุษย์ไล่ตามความอยาก และวิ่งหนีความกลัว มากกว่าการแสวงหาความหมายของชีวิต
ในโลกยุคใหม่ การตลาดไม่ใช่แค่เครื่องมือขายของ แต่มันคือศาสตร์แห่งการ “ฝึกมนุษย์”
ศิลปะแห่งการ "ตอกย้ำ" ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนวิธีคิด ความรู้สึก และวิถีชีวิตของเรา โดยที่เราไม่รู้ตัว
มันปลูกฝังให้เราเชื่อในสิ่งที่ใช้ควบคุมเรา ตั้งโปรแกรมให้เราโหยหาในสิ่งที่ไม่มี
และค่อย ๆ หล่อหลอมให้เรารู้สึกว่า "ความไม่พอ" คือธรรมชาติของเรา
เด็กคนหนึ่งที่เคยสงสัยว่า "เรามีชีวิตไปเพื่ออะไร?"
แต่เมื่อเติบโตขึ้น โลกกลับตอบเขาว่า
"เราเกิดมาเพื่อซื้อในสิ่งที่ยังไม่มี"
เราไม่ได้ถูกฝึกให้รู้จักจิตใจ
แต่ถูกฝึกให้เปรียบเทียบ แข่งขัน และสร้างภาพ
ไม่ได้ถูกฝึกให้เข้าใจทุกข์
แต่ถูกฝึกให้หลีกเลี่ยงทุกข์ ด้วยการเสพอันซ้ำซาก
สุดท้าย เราจึงทุ่มเททั้งชีวิต เพื่อเติมเต็มคลังความอยาก... ที่ไม่มีวันเต็ม
…
การตอกย้ำที่พาไปผิดทาง
ผู้เขียนทำงานด้านการตลาดมาตลอดชีวิต พบว่ากลวิธีที่ทรงพลังมากที่สุด และนิยามพฤติกรรมมนุษย์ยุคนี้ได้ในหนึ่งประโยคคือ
"สิ่งที่ถูกตอกย้ำบ่อยที่สุด มักถูกเชื่อว่าเป็นความจริงในที่สุด"
มนุษย์ไม่ได้เชื่อในความเป็นจริง
แต่เลือกเชื่อในสิ่งที่เห็นและได้ยินซ้ำบ่อยที่สุด
สิ่งที่ผ่านเข้ามาในใจบ่อย ๆ แม้ไม่จริง จะค่อย ๆ ก่อรูปเป็นความเชื่อ โดยไม่ต้องใช้เหตุผล
และเมื่อความเชื่อฝังราก มันจะกลายเป็นเกราะที่ป้องกันความจริง
แม้สิ่งใหม่จะชัดแจ้งเพียงใด ก็ยากที่จะแทรกซึมเข้าไปได้
โฆษณาเครื่องดื่มเพียง 15 วินาที บอกว่า "คุณจะสดชื่นทันทีที่ดื่ม"
ถูกเปิดนับพันครั้งต่อวันในทุกแพลตฟอร์ม
แต่คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา"
แทบไม่มีแม้แต่เสียง หรือช่องทางที่ทำให้คนหยุดฟัง
นี่คือเหตุผลที่
- สโลแกนสั้น ๆ จึงติดอยู่ในใจ มากกว่าหลักธรรมที่ลึกซึ้ง
- โลโก้แบรนด์ จึงฝังแน่นยิ่งกว่าศีลธรรม
- ความเห็นผิดจึงถูกเชื่ออย่างแพร่หลายกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า
เด็กวัย 8 ขวบรู้จักโลโก้แบรนด์มือถือ
แต่ไม่รู้จักอริยสัจ 4
เพราะโลโก้ถูกตั้งโปรแกรมให้ปรากฏบนหน้าจอทุกวัน
ขณะที่สัจธรรมต้องการใจที่นิ่งและเงียบพอเท่านั้นจึงจะเข้าถึง
เมื่อการตอกย้ำกลายเป็นคลื่นแห่งตัณหา
ระบบไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้เราเข้าใจความจริง
แต่มันถูกออกแบบมาเพื่อให้เรา "คล้อยตาม"
มันไม่ได้โน้มน้าวด้วยเหตุผล
แต่วางโปรแกรมด้วยการตอกย้ำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จนกลายเป็นความคุ้นเคย
และเมื่อสิ่งใดคุ้นเคยพอ ใจจะเชื่อว่านั่นคือความจริง
สัจธรรมไม่ได้แพ้ เพราะไม่มีพลัง... แต่เพราะไม่ได้ถูกตอกย้ำมากพอ
ขณะที่คำโฆษณามาพร้อมคำว่า
"คุณจะได้อะไร"
ธรรมะกลับมาพร้อมคำว่า
"คุณต้องละอะไร"
ละความอยาก ละตัวตน ละมายาที่เคยเป็นที่พึ่งพิงในใจ
และนั่นคือเหตุผลที่คนส่วนใหญ่ หลงเชื่อในสิ่งที่ได้ยินบ่อย
แต่กลับเฉยชาต่อสิ่งที่จะปลดปล่อยเขาจากความหลงทั้งหมด
ในหนึ่งวัน เราได้ยินเสียงของธรรมกี่ครั้ง?
และเปิดรับการตอกย้ำของตัณหากี่พันครั้ง?
เปลี่ยนการตอกย้ำ เปลี่ยนชีวิต
เราอาจยังเปลี่ยนโลกไม่ได้ในทันที
แต่เราสามารถเปลี่ยนกระแสความถี่ให้จิตรับรู้ได้
ตื่นรู้ในสิ่งที่ถูกตอกย้ำ
- ให้พื้นที่กับความเงียบมากพอ จนได้ยินเสียงภายใน
- สังเกตสิ่งที่เข้ามาในใจอย่างไม่ประมาท
- เลือกสิ่งที่เร้าปัญญา ไม่ใช่เร้าอารมณ์
สร้างการตอกย้ำใหม่
- ทบทวนคำสอนแห่งสัจธรรมให้มากกว่าที่เราเสพโฆษณา
- ฝึกความตั้งมั่น ลดการไหลไปตามกระแส
- ฝึกสติให้ทันเห็นในขณะที่ความอยากกำลังเกิด ไม่ใช่หลังจากที่ถูกมันครอบงำแล้ว
- เลือกเสพเนื้อหาที่เร้าปัญญา 1 อย่าง แทนการไถหน้าจอ 30 นาที
เมื่อเราเงียบพอ...
ความจริงอาจไม่ต้องพูดอะไร
เพราะมันอยู่ตรงนั้นตลอดมา
อ่านเต็มที่
https://www.facebook.com/share/p/16hBCPTqtx/