งานแต่งของผมไม่มีอะไรเลย แถมมีความเศร้าด้วยซ้ำคือ
ก่อนแม่ผมจะเสีย 1 เดือน แกบอกอยากให้แต่งได้แล้ว ส่วนผมก็วุ่นๆกับงาน
จนแฟนด่าก็เลยทำเรื่องจัดทำแหวน และกำหนดวันแต่งที่ 24 มิย 66 กะจัดสัก 3-4 โต๊ะสำหรับญาติและคนสนิทเท่านั้น

แต่ทว่า วันที่ 12 มิย แม่ผมเข้า รพ ด้วยการอาการไตวายขั้นที่ 4 และโรคหัวใจโต
ผมดูอาการท่าทีแม่ตลอดที่อยู่ รพ จนกระทั่งตัดสินใจจัดพิธีแต่งที่ รพ ที่ปลายเตียงแม่ขณะที่ท่านยังมีลมหายใจในวันที่ 16 มิย 66 แม่แกเห็นแกดีใจและยังตอบโต้พูดคุยได้บ้าง (สวมหน้ากากออ๊กซิเจน+ให้อาหารทางสายยางต่อเข้าไปในปาก) จนกระทั่งวันที่ 18 มิย 66 ช่วงเช้าที่แม่ยังมีลมหายใจแต่ตอบสนองไม่ได้แล้วท่านก็จากผมไปในช่วงค่ำของวันเดียวกันเวลา 20.11 น.

เพราะฉะนั้นแล้วงานแต่งที่มีค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นครับ ของเพียงให้ผู้ใหญ่ที่เราเคารพรับรู้เพียงพอแล้ว งานไม่ต้องใหญ่ด้วย

งานแต่งคือการเอาเงินไปเผาเล่น

ถ้ามีให้เผาเล่นเยอะ อยากจัดเท่าไหน่ก็จัด
แต่ถ้าต้องกู้มาเผาเล่นก็คงต้องแล้วแต่จะคิด

แต่งเท่าที่มีครับ ลองคุยกันก่อนว่าลดสินสอดได้มั้ย ถ้าแม่แฟนป่วยบ่อยก็บอกท่านว่าเราเอาเงินตรงนี้ไปสำรองไว้รักษาตัวไม่ดีกว่าหรอ ต่อไปแฟนท่านก็น่าจะต้องใช้เงินรักษาแม่แน่ๆ จัดงานก็ไม่ต้องเอิกเกริกใหญ่โต เอาแค่ญาติสนิทเพื่อนๆพอแล้ว เหมือนเม้นอื่นๆบอกงานแต่งมันคืองานเอาเงินไปเผาเล่น ถ้าไม่ได้เป็นคนใหญ่คนโตมีหน้ามีตา ที่แต่งแล้วได้ตังค์ได้ connection อย่าไปฝุ่มเฟือยเลย

ไม่ควรครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการกู้เงินแต่งงานเท่าไหร่

เงินตัวเองก็ไม่พออยู่แล้ว ยังจะหาหนี้เพิ่มให้ตัวเองอีก ชีวิตคู่ยังไม่ทันเริ่ม สร้างหนี้ซะละ
แต่งไปถ้าลำบากก็ลำบากกันสองคนในผัวเมีย ..

ส่วนลุ้นทุเรียนปีหน้า อะไรนี่ มันเป็นเรื่องของอนาคตเลยครับ ไม่แน่ไม่นอน , แต่หนี้คุณอะ นอนมาแน่ๆ

คิดว่าไม่ควรกู้
การที่คุณไม่มีเงินอีกแค่แสนเดียว
แต่ดูรวมๆคุณก็เก็บเงินได้ มีการทำมาหากินมีธุรกิจที่มันมีรายได้
คือมันก็อยู่ระหว่างก่อร่างสร้างตัว
ไม่ใช่ไม่ทำการทำงานหรือรายได้เดือนชนเดือนหมุนเงินไปมา

เพราะงั้นผมคิดว่ามันมีจังหวะชีวิตที่ดีอยู่แล้ว อายุ 30สมัยนี้ถือว่าน้อยด้วยซ้ำ ควรนับ1-10ไปดีแล้ว อย่าทำให้มันรวนแต่เเรกเริ่มชีวิตคู่เลย

ถ้าจะแต่งสำหรับผมถ้าไม่ลดแสนนึงก็รอ การลดแสนนึงในทีนี้ก็เพราะว่าดูแล้วผู้ชายใช้ได้เลี้ยงดูลูกสาวได้

ถ้าคิดว่าไม่ลดให้ก็แสดงว่ามองว่ายังไม่รู้ว่าผู้ชายมันใช้ได้มั้ย ก็รอดู จขกท.เก็บเงินอีกแสนไปก่อนเพื่อยืนยันว่าใช้ได้ดูแลลูกสาวได้

ลองถามเมียคุณดูสิครับ อนาคตเป็นคู่ชีวิตก็ต้องแยกหนี้ด้วยกัน เอามั้ย

ถามในssคำตอบส่วนมากก็จะแบบนี้ “บ้าป่าว ยืมเงินเพื่อมาแต่งงาน เอาอะไรมาคิด แม่แฟนป่วยบ่อยจะแคร์เพื่อ อนาคตแกเป็นอะไรไปแล้วมาช่วยใช้หนี้มั้ย รอมีเงินเก็บพร้อมก่อน ถ้าแกทนไม่ไหวตุยไปก่อนที่ลูกสาวจะได้แต่งอย่าไปคิดมาก จุดธูปบอกเอาก็ได้

ถ้าในเฟสจะเป็นแนวนี้ ครั้งหนึ่งในชีวิตความฝันของผู้หญิงเกือบทุกคนก็คือการได้แต่งงานสวมแหวน ใส่ชุดขาวแสนสวย เดินผ่านเพื่อนโปรยดอกกุหลาบ งานไม่ต้องใหญ่มากเชิญเพื่อนสนิทมาร่วมงาน มีพ่อแม่เดินจูงมือส่งให้เจ้าบ่าว แม่แฟนแฮปปี้ ตายไปไม่เสียดาย

ถ้าในพันดิพ เงินเดือนไม่ถึงแสนจะแต่งเพื่อ อนาคตทำไง เงินจะจัดงานแต่งงานยังไม่มีเลย

ไปก่อนนะครังหมอเรียกกินยา

ก็แต่งโดยเลี้ยงเฉพาะเพื่อนและญาติๆก็พอสิครับ เอาแบบพิธีเรียบง่ายก็พอ ชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวเช่าเอา หรือจะสั่งซื้อทางออนไลน์ก็ได้ พอเสร็จงานก็ขายต่อ ค่าชุดขาดทุนไม่เยอะ (ชุดงานเช้าผมซื้อ ส่วนงานเลี้ยงตอนเย็นผมเช่า)

อย่าคิดไปเป็นหนี้เลยครับ จัดงานแต่งสมัยนี้ส่วนใหญ่จะขาดทุน ผมกับแฟนมาคิดทีหลังแล้วรู้สึกเสียดายตังค์เลย จริงๆน่าจะจัดแค่ตอนเช้าไปขอเจ้าสาว พอเสร็จพิธีก็เลี้ยงอาหารญาติผู้ใหญ่ พอตอนเย็นจัดปาร์ตี้ชิลๆกับเพื่อน น่าจะดีกว่าอีก ได้สนุกแถมไม่เหนื่อยด้วย

ปล.แนะนำอย่าจัดงานเอาหน้าเลยครับ แปปเดียวคนก็ลืม

อะไรก็ได้ อย่ารบกวนคนอื่น ผมจัดเองหมด ล้านนึง จ่ายเลย พ่อแม่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่ต้องยุ่ง ไม่มีนะสินสอด ผมบอกไว้ก่อนเลย ซองผมเอาหมด สุดท้ายได้เงินซองมา จนทุนพอดี รอดตายไป

ตอนนี้มีลูกละ ไม่มีครอบครัวฝั่งไหนสอดแทรก แสดงความคิดเห็นอะไร เพราะเราไม่พึ่งเค้าตั้งแต่แรก

จำคำผมไว้นะ

"ไม่เพิ่งใครตั้งแต่แรก" = "ไม่มีบุญคุณติดค้าง"

นั่นหมายความว่า ถ้าเค้าจะบ่นอะไร เค้าไม่มีสิทธิ เราดำเนินชีวิตได้เต็มที่

แต่งงานแบบยืมเงินมา กู้เงินมา แค่กระดุมเม็ดแรกก็ผิดแล้ว

ไหนจะเอาเงินพ่อแม่มาช่วยอีก ผมว่าอย่าเลย

ส่วนเรื่องสินสอด คือมันยุคนี้ละครับ ไม่ต้องจ่ายกันแล้ว เพราะในอดีต ฝ่ายชายจ่ายสินสอด ฝ่ายหญิงจัดงาน แต่ไม่รู้ไอ้บ้าที่ไหนมันไปสร้างวิธีแปลกๆ ที่ผู้ชายต้องมารับจบหมด

...มีบริการให้เช่าสินสอดอยู่นะครับ....

อย่าไปยืมใครให้เป็นหนี้เป็นสินเลย..
คนยืมก็ทุกข์ คนให้ยืมก็ทุกข์

งานวิวาห์ ควรเป็นงานมงคล ที่ทุกคนมีแต่ความสุขครับ...