การอ่านคน, การพูดคุย, การเลือกคบ, การเลือกลงทุน หรืออย่างลงคอร์สธุรกิจจะมีช่วงพักทานของว่าง จะเป็นช่วงที่เปิดโอกาสให้ทำความรู้จักระหว่างทานของว่าง สังเกตว่ามีคนขยันทักทาย คนรีบตัดบทคุย คนที่คุยพอถึงจุดนึงค่อยตัดบท คนที่คุยกันจนขอช่องทางติดต่อ

หรืออย่างงานระดับเฉพาะ xx ล้านในบัญชีขึ้นไป สถาบันการเงินก็มีจัดงานไพเวทให้มารู้จักกันแบบนี้ อยากรู้ว่าคนเหล่านี้เค้ามีสัญชาตญาณมาแต่ต้นหรือผ่านการขัดเกลาจากอะไร ถึงสามารถตัดสินใจได้

ปล.ส่วนใหญ่ผมนั่งมองเฉยๆ ผมเป็นคนมองคนไม่ออก เป็นไปได้ก็ระวังตัวจนเกินกว่าปกติด้วยซ้ำ

ส่วนตัวผมคิดว่า หลักๆเลย คือ ประสบการณ์

ตอนผมทำงานใหม่ก็งงๆ ไม่ทันคนเท่าไหร่

พอทำงานไปนานๆ เริ่มรู้ช่อง รู้วิธีคุยบ้างละ

มีงานนึงนานมาแล้ว เกือบได้ช่องทางติดต่อละครับ เจ้าของกิจการอสังหาริมทรัพย์ในลำปาง ตัวลูกสาวเค้าคุยเรื่องทั่วไป แต่แม่เค้าถามเรื่องตัวผมเองล้วนๆ สุดท้ายเค้าชวนไปเที่ยวด้วยกันต่อ แต่ผมเองตัดสินใจกลับบ้าน เลยไม่ได้ขอช่องทางติดต่อเลย

พื้นฐานครอบครัว สภาพแวดล้อมที่โตมา และประสบการณ์

ยิ่งสัญชาตญาณจากเมียนะ บอกเลย

เสียวสันหลังมาก เกมส์กันมาเยอะแล้ว

สัญชาตญาณคือสิ่งที่คนทำได้โดยไม่ต้องมีคนสอนมาก่อนตั้งแต่เกิด ของที่ท่านพูดมาไม่ได้เรียกสัญชาตญาณนะผมว่า มันคือการที่เค้าเรียนรู้มาโดยตรงแดละทางอ้อมตั้งแต่เกิด จะด้วยพื้นเพทางบ้าน โรงเรียน เพื่อน เรียนรู้ด้วยตัวเอง passive learning ก็ล้วนเป็นการเรียนรู้ทั้งนั้น

สิ่งที่เจอบ่อยๆ เจอซ้ำๆ และความคุ้นเคย พฤติกรรมคน และหลายๆเหตุการณ์ มักจะเกิดขึ้นซ้ำๆ

เอาจากประสบการ


เจ้าของธุรกิจที่เปนแบบตั้งใจทำนะ เก่งกว่าพวกลูกจ้างทั่วไปพอสมควร นับเรื่องรวมๆไม่นับแบบเทคนิค่อลจ๋าๆนะ

เอาแค่ง่ายๆ เวลาคุยปกติเรื่องธรรมดาไม่เกี่ยวกับงาน


แค่พูด สมมติเรื่องมี 10


ถ้าคุยกับพวกไวๆ เราพูดแค่ 1 4 7 มันรุ้ละ เป้าหมายที่เราจะพูดคือไร 10 สรุปพูดแค่3ขั้น แต่โอเควิธีแก้ปัญหาแต่ละคนก้จะต่างกัน

ซึ่งสมมติคิดมาแล้ววิธีแก้มันมี A B C D E 5วิธี คนที่คุยด้วยอาจจะคิดออกแค่ 3 วิธี ABC แล้วมาหาข้อดีข้อเสียของ ABC กระทบอย่างไร
กระทบ ระยะสั้น กลาง ยาว กระทบภายใน ภายนอก กระทบอดีต ปัจจุบัน อนาคต ยังไง


ถ้าคุยกับคนทั่วไป 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 บางทียังไม่เข้าใจ ต้องแบบ 1 222 3 4 55 6 77 8 9 10 เสียเวลาไปอีกบาน



ส่วนวิธีการฝึก อันนี้อยุ่ที่ความไวแต่ละคนด้วย แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือการเรียนรุ้เอาปสกจากเรื่องอื่นมาประยุกกับอีกเรื่องยังไง อันนี้สำคัญมาก เอาแค่อ่านกระทู้ในss เรื่องบางเรื่อง ที่ดูไม่เกี่ยวกับเรา เอาวิธีคิดมาใช้

ส่วนที่ถามสันชาติญาณ มันก้มาจากพวกนี้แหละ ว่าฝึกจนเก่งแค่ไหน

บางทีการคุย ไปคุยไอนี่พูดมา 10คำ ก้รุ้ละว่าอ่อน หรือสไตลไม่ตรงกัน เค้าก้ไม่คุยต่อ


ไหนๆก้ไหนๆละ

ยกตัวอย่าง เรื่องนึงละกัน เรื่องบิทคอย

http://www.soccersuck.com/boards/topic/1777275/2
http://www.soccersuck.com/boards/topic/2530521/1#54081836
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1958790/1

ซัดไว้ถูกที่ขึ้นสองรอบหนักๆ (แต่รอบสามปัจจุบันไม่ได้ตามละ มันต้องสายเทคนิค่อลจ๋าๆแล้ว)


เรื่องนี้ส่วนตัวไม่ได้มีความรุ้อะไรเลยยยยยยยยยยยยยย แบบรุ้แค่ว่ามันเปนสินทรัพดิจิตัล ที่มีระบบป้องกันสูงมากๆ แล้วปั่นขึ้นปั่นลงได้เรียกได้ว่าจากอากาศเลย หรือขุดจากการ์ดจอ


พูดง่ายๆคือ เปนเงินจากอากาศ มันก้โยงไปถึงพวกการพนันได้เลยว่า มันดึงดูดคนที่อยากได้เงินไวง่ายๆได้มากกกกกเลย เงินฟรีหอมๆ


มันก้ต้องมีคนที่มีความรุ้ ปั่นให้เม่าเข้ามาอยุ่แล้ว

วิธีปั่นให้เม่าเข้ามาคืออะไร ก้คือทำให้มันดูหอม ก้คือการปั่นให้มันเด้งสูงๆง่ายๆ

ซึ่งถ้าตอนนี้มันยังไม่หอม (ตอนยังต่ำๆ) ก้แสดงว่า เดี๋ยวมันก้ต้องหอม

มันก้ถึงมีวลีคำว่า ถ้าคนในss เริ่มคุย แสดงว่าให้เริ่มซื้อเลย แล้วมันจะเด้ง แล้วพอคุยเยอะๆ ให้ขายเพราะคนเข้ามาเยอะถึงจุดอิ่มตัว ใช้หลักการการพนัน + วิธีการคิดจากพวกแม่มณี ออมเงิน โกงเงิน +หรืออย่างคดีพวกบอสทั้งหลาย มาใช้


สุดท้ายก้เปนแบบที่คิดจริงๆ พวกคนมีเงินมีความรุ้ มันก้ลากเม่าให้ขึ้นให้ลงตามใจ


คนที่กลัวก้จะแบบ เฮ้ยถ้ามันเปน0เลยจะทำไง (อันนี้พูดย้อนไปสมัยขึ้นรอบแรกนะ)

ก้ถ้ามันจะเปน0 มันเปนไปนานแล้ว เพราะมันไม่มีอะไรรองรับเลย แต่ที่ไม่0ก้แสดงว่ามันยังล่อเม่าอย่ชัดๆ (แบบปัจจุบัน)


โอกาสเป็น0คือ คนเจอของเล่นมาปั่นใหม่ กับ คนรุ้เยอะเกินไปทำยาก กับ ระบบมันโดนแฮกได้ คนก้เลิกเล่น

อย่างสสมติเทียบง่ายๆอาจจะไม่ตรงทุกอย่าง

บิทคอย ไอค่อน

คนถือเหรียญหรือคนฉลาดๆ บอสต่างๆ

ทรัพสินไม่มีมูลค่า ของใช้จากไอค่อน

ปั่นให้คนเข้ามาซื้อ ปั่นให้คนเข้ามาเปนดาวไลน

สร้างความน่าเชื่อถือจากอีลอนและคนอื่นๆ จากบอสดาราต่างๆ

มูลค่าขึ้นเยอะให้หอม ไอค่อนก้กระจายให้ดังว่าทำเงินง่ายๆใครๆก้ทำได้




เห็นปะ ก้จับเชื่อมโยงๆกันเรื่อยๆ 2เรื่องคนละทางก้เอามาวางเทียบกัน ถ้ามันดูว่าใกล้ ก้อันนี้แหละ

สัญชาติญาณ ผมว่า 50% ฝึกกันได้ อีก 50% คือเรื่อง vision/experience/sense ปั่นรวมๆกัน ซึ่งฝึกกันไม่ค่อยได้

แล้วพอมีเรื่อง sense มันเลยลามไปถึง first impression หรือ dejavu ในช่วงพริบตาอีก

ที่ท่านว่ามันออกแนวประสบการณ์นะ ทำงานเยอะๆ ศึกษาเยอะๆ เจอคนเยอะๆ ออกงานบ่อยๆ มันจะพอดูออกเองอะว่าไอ้นี่ยังไง ประมาณไหน แผนงานประมาณนี้ใช้ได้จริงขนาดได้ โม้หรือไม่โม้ แล้วยิ่งพวกดีลแพงๆเนี่ย ดาต้าเค้าเยอะมากเวลาจะตัดสินใจที เค้าแค่ไม่ได้บอกให้คนอื่นรู้เฉยๆ

ถ้าสัญชาตญาณสำหรับผมมันจะดูเป็นอะไรเหนือธรรมชาติหน่อยๆ ฟีลแบบกำลังจะซื้ออยู่แล้ว แต่อยู่ๆเปลี่ยนใจแบบไม่มีเหตุผล ใครถามก็ตอบได้แค่เชื่อกูเหอะ แล้วสุดท้ายมันรอดจากความเสียหายอะไรซักอย่างประมาณนั้นอะ

ส่วนตัวเชื่อว่า เขาไม่บอกวิธีคิดวิธีวิเคราะห์หรือแหล่งข้อมูลในการตัดสินใจของเขาฮะ เก็บไว้ใช้คนเดียว หล่อจะตาย

ประสบกาม

นึกถึงสแลมดั้งตอนที่ซากุรางิเจอกับมากิ
แล้วสกัดได้
ซากุรางิถามว่าทำไมนายสัญชาตญาณดีจัง

มากิบอกว่ามันไม่ใช่สัญชาตญาณมันคือ"ประสบการณ์"

ประสบการณ์ การคิดวิเคราะห์ของแต่ละคนไม่เหมือนกันมันมากจากหลายอย่างครับ สัญชาตญาณเหล่านี้มันก็ถูกแสดงออกมาในรูปแบบของการวิเคราะห์ที่รวดเร็ว


การสังเกตและการอยากรู้อยากเห็น ฝึกกันยากครับ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตรรกะหลายๆชั้น พวกเหตุการณ์ก่อนหน้าที่อาจจะเกิดขึ้นทำให้มาถึงจุดนี้ หรือแม้กระทั่งอะไรก็ตามที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแต่ควรจะต้องอยู่


ประสบการณ์จะช่วยให้แม่นยำได้มากขึ้น การพบปะคนหลายๆประเภท สถานการณ์หลายๆชนิด สถานที่หลายๆที่ มันช่วยให้วิเคราะห์ได้รวดเร็วขึ้นครับ


เคยรู้สึกมั้ยครับว่า เวลาฟังอะไรซักอย่างแล้ว เอ๊ะ!? ทั้งๆที่มันเมคเซนส์ แต่มันไม่ควรจะเมคเซนส์ บางทีคนก็ไม่รู้หรอกครับว่ามันเอ๊ะตรงไหน แต่มันเอ๊ะเพราะมันไม่ line up ไปในทิศทางเดียวกัน แล้วค่อยมาหากันว่าเอ๊ะตรงไหน คือคนเราจะคิดตรรกะตามกี่ชั้นมันเป็นนิสัยส่วนบุคคล


จะว่ามันเป็นอนุมานจากการสั่งสมประสบการณ์ก็ไม่ผิด แต่ประสบการณ์พวกนั้นต้องผ่านการสังเกตและการเรียนรู้มาในระดับนึงเลย

ตัวผมเอง เกิดจากการโดนแมงมุมกัด