ึ

หลักการพัฒนาและกระบวนการผลิต
เลือดเทียมดังกล่าวใช้ เฮโมโกลบิน (Hemoglobin) ซึ่งเป็นโปรตีนลำเลียงออกซิเจนในเม็ดเลือดแดง โดยสกัดจาก เลือดมนุษย์ที่หมดอายุแล้ว นำมาแยกและบรรจุภายใน เยื่อหุ้มไขมันสังเคราะห์ (lipid membrane) ขนาดนาโนเมตร เพื่อเลียนแบบโครงสร้างของเม็ดเลือดแดงและให้คงคุณสมบัติในการลำเลียงออกซิเจน
.
✅ จุดเด่นของการใช้เยื่อหุ้มไขมัน
• ป้องกันการปนเปื้อนของไวรัส ที่อาจมากับเลือดต้นทาง
• ขจัดแอนติเจนบนเยื่อหุ้มเซลล์เดิม ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการปฏิเสธเลือดในผู้ป่วยต่างกรุ๊ป
→ ส่งผลให้สามารถ ใช้งานได้กับผู้ป่วยทุกกรุ๊ปเลือด (Universal compatibility)
.
ข้อดี
• ไม่ต้องจัดเก็บในอุณหภูมิเย็น → เก็บที่อุณหภูมิห้องได้นานถึง 24 เดือน
• เหมาะสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน, พื้นที่ขาดแคลนเลือด, และการจัดส่งข้ามพื้นที่
.
เหตุผลที่เลือดเทียมมี “สีม่วง”
แม้เลือดเทียมชนิดนี้จะมีประสิทธิภาพใกล้เคียงเลือดมนุษย์ แต่มีลักษณะสีม่วงเนื่องจาก กระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเฮโมโกลบิน ระหว่างการสกัดและการบรรจุในเยื่อหุ้ม ซึ่งแตกต่างจากเลือดปกติที่มีสีแดงอ่อนถึงแดงเข้มตามระดับออกซิเจนที่จับอยู่

Cr : https://s.changtrixget.com/3ZXVzKT

แล้วข้อเสียคืออะไรบ้างครับ

แบบในหนังที่ผลิตเลือดเทียมไว้ให้แวมไพร์รักสันติกินแทนการล่าเหยื่อใช่ไหมครับ

พวกสายแท้งค์ใช้กันมานานแล้ว

คนไม่ต้องตายจากผีดิบดูดเลือดแล้ว แจกให้พวกมันไป จบ ๆ

ไม่ใช่ละ

พอดีไม่ค่อยมีความรู้ด้านนี้
อ้างอิงจาก AI ละกันครับ

เห็นมียูสฯ ที่เป็นหมออาจจะมาช่วยอธิบาย

✅ ข้อดีของเลือดเทียม
ไม่ต้องเข้าคู่หมู่เลือด (ใช้ได้กับทุกคน)
เก็บไว้ได้นานกว่าหลายเท่า (เลือดจริงเก็บได้ ~42 วัน)
ใช้ในพื้นที่ขาดแคลนเลือด
ปลอดเชื้อ HIV, ตับอักเสบ ฯลฯ
ใช้ในสนามรบ หรือเคสฉุกเฉินที่ไม่มีเวลา

❌ ข้อเสีย
มีผลข้างเคียงมากในบางรุ่น (ไตวาย, ความดันสูง, ตายเฉียบพลัน)
แพง และผลิตยาก
ขนส่งออกซิเจนได้ไม่เท่าเลือดจริง
ยังไม่สามารถทดแทน ระบบภูมิคุ้มกัน หรือ เกล็ดเลือด ได้

ใช้ในคนจริงได้หรือยัง?
ยังไม่ได้รับอนุมัติใช้งานทั่วไป (ปี 2025)
แต่...

บางรุ่นเคย ใช้ทดลองในทหาร, ผู้ป่วยฉุกเฉิน, กรณีจำกัด

มี คลินิก/รพ.เฉพาะทางบางประเทศ เคยใช้ เช่น แอฟริกาใต้, รัสเซีย, จีน

ยังไม่มีรุ่นใดที่ FDA หรือ WHO อนุมัติให้ใช้แทนเลือดจริงในวงกว้าง

อนาคต?
ใน 5–10 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มสูงว่า...
จะมี เลือดเทียมจากสเต็มเซลล์ ใช้กับผู้ป่วยเฉพาะกลุ่ม (เช่น ธาลัสซีเมีย)
กองทัพและภารกิจอวกาศ (เช่น NASA, SpaceX) จะใช้เลือดเทียมแบบพกพา
อาจใช้ เลือดเทียมเฉพาะฟังก์ชัน เช่น ขนออกซิเจนอย่างเดียว แล้วเสริมเกล็ดเลือดสังเคราะห์ภายหลัง

ตามดูกันไปถึงผลกระทบ

ให้ผมเดานะ ยังไม่ได้อ่าน


คิดว่าแน่ๆคือ ราคาในการทำสูงมาก และเป็นการรีไซเคิล แปลว่า source เริ่มต้นก็ยังต้องเป็นเลือดอยู่ดี ไม่ได้แก้ไขปัญหาตั้งต้นเรื่องเลือดขาดแคลน


อีกอย่างก็น่าจะเป็นเรื่องของประสิทธิภาพของเลือดแหละครับ ของเลียนแบบหรือประยุกต์ มันมักจะไม่สามารถเลียนแบบได้ครบทุกฟังก์ชัน เพื่อสำหรับทุกคน เชื่อว่าน่าจะต้องมีผลข้างเคียงอะไรบางอย่างเกี่ยวกับอวัยวะที่เกี่ยวข้อง อาจจะเหมาะสม ใช้ได้ สำหรับคนส่วนใหญ่ แต่คงไม่ใช่ทั้งหมด


ถ้าเอาหลักเกณฑ์การวิจัยเป็นพื้นฐาน กว่าจะเห็นผลการทดลองจริง รอไปอีก 10 ปีครับว่าคุ้มมั้ย แล้วค่อยมาเริ่มหาวิธีลดต้นทุนกันต่อไป

กลัวเรื่องผลข้างเคียงระยะยาวมากกว่า ไม่รู้จะส่งผลยังไง มีการเปลี่ยนแปลงระดับพันธุกรรมอะไรมั้ย

ต่อไปคงมีเปลี่ยนถ่ายเหมือนน้ำมันเครื่อง มีให้เลือกว่าจะเอา เลือดเกรดไหน ใส่ออฟชั่นอะไรมั้ย แค่คิดก็สนุกแล้ว...

ผมไม่ได้ไปอ่านตัวเต็มให้เดาๆก็
อายุของเลือดเทียมในร่างกายครับ เนื่องจาก hemoglobin มันเก็บ Oxygen เพราะฉะนั้น พอนำเข้าร่างกายละ มันก็จะมี oxidative stress เกิดขึ้น สุดท้ายเลือดเทีนมมันก็น่าจะอายุสั้นมาก > เลือดก็จะแตกสลายไป ซึ่งน่าจะแตกระยะเวลาใกล้ๆกันทีเดียว ก็จะมี Hemoglobinในเลือด สูงขึ้นเฉียบพลัน ก็อาจจะมันก็มีไตวายได้ จะมีกลุ่มอาการตัวเหลืองได้ สุดท้ายก็ติดเชื้อมั้ง พวกคนที่มีเม็ดเลือดแตกเรื้อรังทั้งหลายมันส่งผลกับภูมิคุ้มกันได้ อันนี้ใช้นิดๆหน่อยไม่น่ามีไร

อื่นๆก็รูปร่างหน้าตาเม็ดเลือดน่าจะไม่ใช้ Conclave แบบเม็ดเลือดจริง พวกนี้ อาจจะมีปัญหา การไหลเวียน การแข็งตัวของเลือดที่มากผิดปกติได้

แล้วก็แพง เลือดแดงปกติที่ให้กับ ต้นทุนการเตรียมเลือดราคาถุงละหมื่น อันนี้เอา waste productive ที่ทิ้งมาใช้ เท่ากับ ต้นทุนคือหมื่นบาท แต่ถ้าจะคิดว่ามันเป็นขยะ ก็อาจจะบอกว่าฟรีก็ได้มั้ง ได้เลือดเทียมออกมาเท่าไรไม่รู้ละ แต่ดูละน่าจะแพงแน่ๆละ
ใช้กันตายก็ไม่ต้องคิดเยอะละมั้ง