ผมว่าเค้าน่าจะหมายถึงการแต่งงานใช้ชีวิตคู่ ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปจนแก่เฒ่ามั้งคน คนจะมาเจอกันเพื่อเซ็ก แต่ไม่ได้ต้องการการสืบพันธ์ มนุษย์เราต่างจากสัตว์ตรงนี้ด้วย สัตว์ผสมพันธ์กันตามสัญชาติญาณ เพื่อการดำรงเผ่าพันธ์ แต่มนุษย์สมัยนี้ต้องการมีเซ็กเพื่อสันทนาการ

ผมว่าไม่หรอกครับ เพราะ

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกล่าวไว้ว่ามีเพียงสองสิ่งที่อาจไม่มีที่สิ้นสุด นั่นคือจักรวาลและความหงี่ของมนุษย์

การเกิดลดลง มันไม่ใช่ว่าคนไม่อยากมีเซ็กซ์กับคน
หรือแม้แต่อยากไม่มีลูก
คนเรายังเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวเลย
แปลว่าจริงแล้ว คนส่วนใหญ่ยังต้องการมีลูก
ยังอยากมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆน่ารักไว้ในบ้าน
เพียงแต่การมีลูก มันคล้ายกับการขอสินเชื่อ
คือมันไม่ใช่ทุกคนที่สเตทเมนท์จะผ่าน  

มนุษย์เราจะสูญพันธุ์เพราะอัตราการเกิดน้อยนี่แหละ extinction มันไม่ได้เกิดเลยแบบปุปปับ เกิดวันนี้สูญพันธุ์พรุ่งนี้ มันใช้เวลาเป็นร้อยๆปี

อนาคตความสัมพันธ์ระยะยาวจะน้อยลงครับ มีแนวโน้มว่ามนุษย์จะเป็น Polygamy(มีคู่นอนแบบหลายผัวหลายเมีย) มากขึ้นจนกลายเป็น New Norm ไปเลย

กฎหมายเอื้อมไม่ถึง(เอาผิดเรื่องความสัมพันธ์ของคนไม่ได้โดยตรง)ศีลธรรมกลายเป็นเรื่องเชย กล้วยหอมผม หอยแครงชั้นจะเอาไปใช้อะไรยังไงกับใครก็ได้ อย่ามาเผือก

ยิ่งอารยธรรมดิจิตอลที่กำลังโตแบบก้าวกระโดดระดับนั้ผมว่าอีกไม่เกิน 50 ปีโลกน่าจะกลายเป็นสังคมแบบไซเบอร์พังค์แน่นอน(เจริญทางเทคโนโลยีขั้นสุด

แต่เสื่อมทรามทางด้านโครงสร้างทางสังคมเรื่อง Sex จะมีการซื้อขายกันแบบเสรีขั้นสุดใครอยากเด้ยกับใครที่ไหนเวลาไหนก็ได้ เพศพาณิชย์เบ่งบาน

บนทุกๆแพลตฟอร์มดิจิตอล(แบบใน Series Alterd Carbon)จะเป็นเซ็กซ์แบบแลกเปลี่ยนจุลินทรีย์แบบดั้งเดิมหรือจะเป็นเซ็กส์แบบ Simulator มีให้เลือกหมด

และแน่นอนมันว่าทุกอย่างที่ว่ามามันจะต้องเข้ามาเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์แบบคู่ชีวิตชายหญิงตั้งแต่ระดับเชิงโครงสร้างทางสังคมไปจนถึงตัวตน

ที่แท้จริงภายในของตัวบุคคลด้วย คนในอนาคตจะเกิดมาเพื่อทำความรู้จักกัน สานสัมพันธ์ มีเซ็กส์กัน แล้วก็แยกทางกันได้แบบเป็นเรื่องปกติเหมือนเปลี่ยนหลอดไฟ

(คนส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องสานสัมพันธ์กันด้วยซ้ำแค่อยากมีเซ็กส์กันก็มีได้เลยเหมือนกินขนม)

นี่เป็นแค่การคาดเดาจากแนวโน้มความสัมพันธ์ของผู้คนที่ผ่านพ้นยุคมิลเลนเนียมมาครับ สังเกตว่ากราฟด้านนี้(การหย่าร้าง-นอกใจ)

มันจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆตามยุคสมัยที่เทคโนโลยีมันพัฒนาเร็วขึ้นในอัตราส่วนที่สัมพัทธ์กัน

การแพร่กระจายของความรู้และแนวคิดที่มาในยุคอินเทอร์เน็ต ทำให้ผู้คนเกิดมุมมองใหม่ๆ การตีคุณค่าในตนเองแบบใหม่

สังเกตจากยิ่วเป็นคนเจนใหม่ก็ยิ่งมีความมั่นใจสูงขึ้น ไม่ยึดติดกับใคร มีความสัมพันธ์แบบอิสระเสรีตามใจปรารถนา

ยึดถือความสุขและความต้องการพื้นฐานของตนเองเป็นหลักในการดำเนินชีวิตสรุปโดยภาพรวม ผมว่าในอนาคตเอาแค่ 10หรือ 20 ปีต่อจากนี้

ก็น่าจะเห็นภาพได้ชัดแล้วครับว่าคนหนุ่มสาวยุคถัดไปมักจะเลือกความเป็นโสด และมีอิสระ(แต่ก็สามารถมีความสัมพันธ์ทางร่างกายกับใครได้แบบไม่ผูกมัด 100%)

แนวคิดผมอาจจะเป็นในเชิง Dystopia หรือ Cyberpunk เกินไปหน่อย แต่ผมเชื่อว่าตราบใดที่แนวโน้มที่เทคโนโลยีกระทำต่อระบบจิตวิทยาเชิงสังคมของมนุษย์

สังคมก็น่าจะพัฒนาไปในด้านนั้นแหละ คือกระตุ้นการเสพติดแนวคิดบริโภคนิยมและวัตถุนิยมไปจนถึงขั้นสูงสุดที่มันสามารถควบคุมสมอง ครอบงำความคิด

และพฤติกรรมของมนุษย์ส่วนใหญ่ได้อย่างแบบเบ็ดเสร็จ Worst Case Scenario สุดๆเลยจินตนาการของผม

ลืมสรุปเรื่องการดำรงอยู่และสืบพันธุ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถ้าอนาคตไปถึงจุดที่เป็น Cyber Punk จริงๆผมว่ามนุษย์รุ่นใหม่น่าจะเกิดจากหลอดแก้วหรือสเต็มเซลล์ในห้องทดลอง

มากกว่าการจับคู่เล่นบท Roleplay เป็นพ่อเป็นแม่กันจริงๆแบบในยุคอารยธรรมเก่าแก่ (ถึงตอนนั้นจริงจะเรียกอารยธรรมยุคโบราณว่าอารยธรรมเก่าแก่ก็คงไม่ผิดนัก)

การดำรงค์อยู่ของมนุษย์มีเพื่ออะไร ลองไปหาคำนี้ดูได้เลยครับ ตามธรรมชาติคือ "สืบพันธ์" อันนี้ไม่ได้ทะลึ่งเลยนะ การไม่มีใครเอาผมว่าน่าตลกซะมากกว่าอีก

ผมเชื่อมั่นในความ หงี่ ยังไงก็ยังต้องการคู่

ถามชายแท้ใน SS ยัง
ใครไม่ปี้ กรูปี้

1.มาตราฐานที่สูงขึ้น
แต่ก่อนการรับรู้คุณภาพของเพศตรงข้ามของแต่ละคนมีวงที่แคบมากๆ เราเห็นหน้าตาเห็นหุ่นเห็นนิสัยคนแค่หยิบมือรอบๆตัวเรา เพื่อนเรา เพื่อนของเพื่อนเรา มันทำให้นั่นกลายเป็นมาตราฐานของคนเราในสมัยก่อน แต่พอมาถึงยุค sns แค่คุณกดเข้าไป ig yt fb tt คุณก็สามารถเจอคน หล่อ สวย หุ่นดี กันได้ง่ายๆและเกลื่อนกลาดมาก มันทำให้คนเราเข้าใจว่านี่คือมาตราฐานมนุษย?ทั่วไปที่เราควรจะได้คบทั้งๆที่พวกที่ชอบโชว์ตาม ig มันก็แน่นอนอยู่แล้วว่าเป็นพวก สวย หล่อ รวย อยู่แล้ว มันทำให้คนเราประมานตนผิดมทตราฐานสูงขึ้น ยกตัวอย่างถ้าคุณมี internet 1000mb แล้วคุณคงดลับไปใช้ 100mb ยากแล้ว คุณจะมองว่ามันห่วย ทีนี้พอคนเราเล่น sns แล้วมองไปรอบๆตัวเองก็จะได้แต่ถอนหายใจว่าไม่มีใครได้ตามมาตราฐานที่เราเห็นจาก sns เลย หรือไอ่พวกที่บ่นๆว่าไม่มีคนจีนนั่นแหละ

2.ไม่อดทนสร้างความสัมพันธ์กัน
สมัยก่อนจะรู้จักใครทีนึงใช้เวลาเป็นเดือนๆปีๆ ค่อยๆทำความรู้จักกันทีละนิดจนเข้าใจกันจริงๆ แต่พอ SNS มาหลายๆเคสแค่เห็นหน้าตาก็ swipe left กันไป70-80%แล้วโดยเฉพาะฝั่ง ผญ มีอัตราการ swipe left ใน app กาคู่แบบ 90%+ เลย แล้วก็เนื่องจากการพิมใน sns มันทำได้ง่ายเพราะฉะนั้นเวลาคนเริ่มลองคุยกันมันมักจะจบเร็วมากหากอีกฝ่ายตอบหรือพิพม์อะไรที่ไม่ถูกใจทั้งๆที่นั่นอาจจะยังไม่ใช่ตัวตนจริงๆก็ได้แต่ก็ตัดโอกาสไปแล้ว มันทำให้คนเราปฏิเสธอีกฝ่ายง่ายและเร็วขึ้นมากๆโดยที่ยังไม่ได้ทำความรู้จักกันจริงๆเลย

3.ทำให้สกิลการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์แย่ลง
ต่อจากข้อ2 เลย sns มันทำให้เราไม่รู้แล้วว่าควรมีปฏิสัมพันกันยังไง เวลาเจอกันควรพูดอะไร ทำความรู้จักกันยังไง มนุษย์เราเริ่มเสียสกิลตรงนี้ไป สุดท้ายพอสกิลนี้หายไป การที่คนเราจะ match กันมันก็ยากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะตั้งแต่อดีตแล้วมนุษย์สร้างความไว้ใจ ความสบายใจ ความมั่นใจ กันผ่านการปฏิสัมพันกัน เมื่อไม่มีสกิลนี้คนเราก็ไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายรู้สึก click กับเราได้

4.หลงคิดว่ามีตัวเลือกเยอะ
Sns โดยเฉพาะพวกแอพหาคู่ทำให้คนเรามโนไปเองว่าเรามีตัวเลือกเยอะยังไม่ต้องเลือกก็ได้ หาคนที่ perfect ที่สุดต่อไปจนตุย

ทั้งๆที่จริงแล้วตัวเลือกคนที่ level เดียวกับเราแล้ว match กับเราจริงๆมันไม่ได้มีเยอะ คนเราเริ่มหวังน้ำบ่อหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เลือกลงหลักปักฐานกับคนที่ยังไม่ 10/10 ซักทีเพราะคิดว่าตัวเองมีตัวเลือก