นาฬิกาเปลี่ยนชีวิต (นิดหน่อย)
ปีกว่าๆที่ เฮียถอด Smart Watch วางไว้ในลิ้นชัก แล้วเดินออกจากบ้านพร้อม Casio สีเงินเรียบๆ ที่ไม่มี GPS ไม่มี Bluetooth ไม่มีเซ็นเซอร์จับหัวใจ ไม่มี AI คอยเตือนให้ลุกยืดเส้นยืดสาย และไม่มีแม้แต่เสียง “ตึ๊ง” เวลาใครส่งไลน์มาทัก หรือ มีเมลล์เข้ามา
มันอาจเหมือนการเลิกใช้ไม้เท้าในวันที่เริ่มเดินได้เอง มันเหมือนเอาหูฟังออกในวันที่หัวใจอยากฟังความเงียบ
เฮียไม่ได้เกลียดเทคโนโลยี
แค่เริ่มรู้สึกว่าบางอย่างที่เคย “ดี” สำหรับเราในวันหนึ่ง
อาจกลายเป็น “ดีเกินไป” ในวันที่เราอยากอยู่กับตัวเอง
นาฬิกา Casio แบบธรรมดา มันไม่ต้องชาร์จอย่างน้อย 10ปี
และการไม่ต้องชาร์จนี้แหละ ที่เปลี่ยนอะไรในใจเฮียได้มากกว่าที่คิด
เหมือนปลดภาระล่องหนบางอย่างออกไปจากชีวิต
ไม่ต้องลากสาย ไม่ต้องนึกถึงเปอร์เซ็นต์แบต ไม่ต้องกังวลว่าตอนนอนมันจะไปยิงคลื่นเลเซอร์อะไรเข้าแขนบ้างรึเปล่า
ก่อนหน้านี้ นาฬิกาของเฮียมันฉลาดเกินคนใส่ 555
มีทั้งการวัดการนอน วัดอารมณ์ วัดความเครียด
บางวันเฮียแค่นั่งคิดงานเงียบๆ มันก็สั่นเตือน “คุณดูเครียดนะ ลองหายใจลึกๆ”
สาดดดด กูไม่ได้เครียดนะ กูแค่ใช้สมองคิดงานอยู่
ตอนทำกับข้าว ก็สั่นบอกให้ยืนเฉยๆ สักพัก
ตอนเข้าห้องน้ำ ก็สั่นบอกว่าให้ดื่มน้ำเพิ่ม คือมึงเริ่มไร้กาลเทศะแล้ว 555
จนบางทีเฮียเริ่มไม่แน่ใจว่าใครกันแน่เป็นเจ้าของข้อมือ
ที่แย่คือ ความฉลาดนั้นมาพร้อมกับสายตาอันเฉียบแหลมของบริษัทเทคโนโลยี
การเฝ้ามองแบบสุภาพชนของ “การเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาแอป”
มันไม่ได้เลวร้ายอะไร ถ้าเฮียไม่เริ่มสงสัยว่า…
เรากำลังยื่นข้อมูลสุขภาพให้กับใครอยู่?
และมันจะถูกใช้ตอนไหน? โดยใคร? เพื่ออะไร? แล้วเอาไปสร้างมูลค่าบริษัทขนาดไหน
นาฬิกาธรรมดาแบบ Casio ไม่มีปุ่มให้กดเชื่อม Wi-Fi / bluetooth
ไม่มีเลเซอร์ยิงวัดชีพจร
ไม่มีแบตหมด ไม่มีเสียงเตือน
ไม่มีคำว่า “คุณนอนไม่พอ”
มันมีแค่ “เวลา” และเงียบดีอย่างน่าประหลาด
บางที มนุษย์อาจไม่ได้ต้องการให้ทุกสิ่งบอกเราเสมอว่าเราควรรู้สึกยังไง
บางที การไม่รู้ก็คือการได้อยู่กับตัวเองอย่างแท้จริง
แน่นอนว่า Casio ไม่ได้เปลี่ยนโลก
แต่มันเปลี่ยนวิธีที่เฮียใช้ชีวิตในโลกนี้นิดหน่อย
เหมือนก้าวเล็กๆ ที่เบากว่าเดิม
เหมือนลมหายใจที่ไม่ต้องถูกวัด
เหมือนการใช้ชีวิตแบบ “ไม่ต้องโหลดแอปเพิ่ม”
และจำได้ว่าตอนนััน(หรือแม้แต่หลังจากโพสนี้) พอเฮียโพสต์รูป Casio ลงไป ก็มีเสียงแว่วๆ ตามมาในหมวดหมู่ราวๆว่า
“เวอร์เปล่าวะ อย่างนี้ก็ห้ามใช้เน็ตนะ อย่าใช้มือถือเลยนะ อย่าเดินผ่านเสาไฟฟ้าด้วยนะ!”
โอเคครับ เดี๋ยวขออนุญาตตอบแบบตรงๆ หน่อย
ตรรกะแบบนี้มันก็ไม่ต่างจากคนที่เห็นใครไม่อยากกินน้ำตาล แล้วพูดว่า
“อ้าว อย่างนี้ก็อย่ากินข้าวเลยนะ มันก็มีคาร์บเหมือนกัน!”
หรือเห็นคนไม่ใส่หูฟัง Bluetooth แล้วพูดว่า
“อ้าว งั้นอย่าใช้มือถือเลยนะ มันก็มีคลื่นเหมือนกัน!”
หรือเห็นคนพยายามเลี่ยงมลพิษทางอากาศแล้วพูดว่า
“อ้าว อย่างนี้ก็อย่าหายใจเลยนะ เพราะอากาศก็ไม่สะอาด!”
เห็นไหม… คนบางคนไม่ได้อยากเข้าใจ เขาแค่ไม่อยากให้ใคร “เลือกต่างจากเขา”
เพราะมันไปกระทบความสบายของเขาเองโดยไม่รู้ตัว
เหมือนจิตมันต้านเพราะไม่อยากเปลี่ยนตาม เลยเลือกแซะแทน
มันคือ เป็นตัวอย่างคลาสสิกของ “ตรรกะวิบัติแบบ Straw Man (มนุษย์ฟาง)” และบางครั้งผสมกับอย่างอื่นด้วย ซึ่งเป็นธรรมดาของโลกใบนี้ครับ เอาไว้ซีรีส์ตรรกะวิบัติ จะมาต่อหลังจากซีรีส์น้ำมันจบลง
คือการที่เฮียเลือก “ลดบางอย่าง”
มันไม่ได้แปลว่าเฮียต้อง “ลบทุกอย่าง” ออกจากชีวิต
เฮียไม่ได้ต่อต้านเทคโนโลยี
แค่ต่อต้านการไม่รู้ตัว ว่าเรากำลังตกเป็นแบตเตอรี่ของระบบเทคโนโลยี
การที่เฮียถอด Smart Watch ไม่ได้แปลว่าเฮียกลัวคลื่น
แต่เฮียอยากได้จังหวะชีวิตที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้แรงสั่นจาก notification ทุกสิบนาที จะบอกใจไม่นิ่งก็ตามสบายถ้าจะทำให้ท่านสูงส่งขึ้นกว่าเฮีย เชิญเหยียบขึ้นไปได้เลยจ๊ะ ไม่ว่ากัน
เฮียยังใช้มือถือ ใช้เน็ต และเดินผ่านเสาไฟฟ้า
แต่ก็เลือกได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรอยู่ “ติดตัว” กับเรา
และอะไรควรอยู่ “ห่างตัว” หน่อย… เพื่อให้เราได้อยู่กับ “หัวใจ” เราเอง
บางที ความเป็นส่วนตัว ไม่ได้อยู่ที่การ “ปิดทุกอย่าง”
แต่อยู่ที่การ “เปิดใจ” ว่าบางอย่างเราไม่ได้ต้องการมันขนาดนั้น
นาฬิกาธรรมดาอาจไม่มีฟีเจอร์บอกสุขภาพ
แต่มันทำให้เฮียเริ่มกลับมาฟังร่างกายตัวเองมากกว่าที่เคย
ฟังความเมื่อย ฟังความอ่อนล้า ฟังจังหวะหัวใจที่เต้นในความเงียบ หรือแม้แต่ฟังคนข้างๆแบบไม่เสียสมาธิกับการแจ้งเตือน
มันได้ smart life กลับมาหว่ะเธอ
ก็ไม่รู้หรอกว่า Casio เรือนนี้จะอยู่กับเฮียนานแค่ไหน
แต่ที่แน่ๆ มันทำให้เฮียรู้ว่า…
บางที “การกลับไปสู่ความธรรมดา”
คือความก้าวหน้ารูปแบบหนึ่ง
ที่เทคโนโลยีไม่สามารถอัปเดตให้เราได้เอง
ถ้าเฮียจะเลือกความเรียบง่าย
ก็ขอเลือกแบบมีสติ ไม่ใช่เพราะความกลัว
และถ้าใครจะถามอีกว่า “อย่างนี้ก็ห้ามทำอะไรเลยใช่ไหม?”
เฮียขอตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“เปล่าครับ แค่ไม่อยากให้ข้อมือเป็นที่ติดตั้งอุปกรณ์เฝ้าดูอีกชิ้นหนึ่งเท่านั้นเอง”
ต้นเรื่อง
https://www.facebook.com/teeratongsiri/posts/pfbid035G4W8oDHDkgWhfXzrcvWDH3dp83mZFvWQ5RZiVz7XCrNtmU1hrpBzCxgiJPCf8WYl
ทุกท่านคิดเห็นเช่นไร ผมว่าบางทีก็จริงนะ เช่นทุกวันนี้ผมใส่ smart watch ก็รู้สึกมันเตือนบ่อยจริงๆ
ทั้งที่ก็เปิดแต่ที่จำเป็นๆ เท่านั้นละ