BLOG BOARD_B
ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Email: sale@soccersuck.com
ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1, 2
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
แบบสำรวจ
วิกฤตมั้ย
วิกฤตจริงๆ
???
ไม่วิกฤต หรอก
???
คะแนนทั้งหมด: 68
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 19 Sep 2024
ตอบ: 227
ที่อยู่: Banshee Village
โพสเมื่อ: Fri Jun 06, 2025 15:19
ถูกแบนแล้ว
[RE: วิกฤตเด็กเสี่ย]
Vyse พิมพ์ว่า:
วิกฤตจริงครับ พอคนอยากเป็นเด็กเสี่ยเพิ่มขึ้น
Supply เพิ่มในขณะที่ Demand ลดเพราะเสี่ยรวยน้อยลง มันจะทำให้เกิดการแข่งขันสูง
พอจลาดเริ่มเป็น Red Ocean ก็เริ่มแข่งกันด้วย Price หนักหน่อยอาจจะเริ่มมี Promotion หรือจำเป็นต้อง Placement หลายที่รับหลายจ๊อบ

ในขณะที่ตัว Product นั้นมีแต่เสื่อมลง ถึงจุดนี้ Depreciation Cost อาจจะไม่คุ้มกับ Pricing แล้ว เลยจุด Equalibrium แล้ว ก็จะไม่เกิดการซื้อขายเกิดขึ้น

น่าหนักใจแทนนัการตลาดมากๆนะครับ  




ที่บอกว่าตลาดนี้กลายเป็น Red Ocean ไปแล้วนั้น ผมว่ามันยิ่งกว่านั้นอีกครับ ตอนนี้มันคือ "สงครามราคา" (Price War) ที่รุนแรงมากๆ เพราะเมื่อ "Product" ในสายตาของผู้บริโภค แทบไม่มีความแตกต่างกัน (Commoditization) สิ่งเดียวที่จะใช้แข่งขันได้ก็คือ "ราคา" ซึ่งก็คือค่าตอบแทนที่ลดลงนั่นเองครับ

ในอดีต "Product" อาจจะยังพอสร้างความแตกต่าง (Differentiate) ได้ด้วยคุณสมบัติต่างๆ เช่น หน้าตา การศึกษา หรือเสน่ห์เฉพาะตัว แต่เมื่อ Supply ล้นตลาด ความแตกต่างเหล่านี้แทบจะถูกมองข้ามไปหมด สิ่งที่น่ากังวลคือ เมื่อต้องลด "Price" ลงมาแข่ง สิ่งที่เคยเป็น Value Proposition หรือคุณค่าของ "Product" ก็จะถูกลดทอนลงไปด้วย

แล้วเมื่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Target Audience) หรือ "เสี่ย" ไม่ได้มีกำลังซื้อ (Purchasing Power) เท่าเดิมอีกต่อไป Segment ระดับ Premium ที่เคยยอมจ่ายไม่อั้นมีขนาดเล็กลงมาก ตลาดส่วนใหญ่กลายเป็นกลุ่มที่อ่อนไหวต่อราคา (Price Sensitive) มากขึ้น ทำให้ "ผู้ขาย" จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ทั้งหมดเพื่อจับตลาด Mass ซึ่งแน่นอนว่า Margin (กำไร) ก็จะแทบไม่เหลือ

นอกจากนี้ยังมี ต้นทุนที่มองไม่เห็น (Hidden Cost) อันที่จริง Depreciation Cost (ค่าเสื่อม) นั้นถูกต้องที่สุดครับ แต่ในมุมมอง "ผู้ขาย" ยังมีต้นทุนอื่นๆ อีก เช่น ต้นทุนการหาลูกค้า (Customer Acquisition Cost - CAC) ที่สูงขึ้นมาก เพราะต้องแข่งขันกับคนจำนวนมหาศาล และ ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) ที่ต้องเอาเวลาและทรัพยากรไปทุ่มกับตลาดที่ไม่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเหมือนเดิม

ถ้าจะให้วิเคราะห์ทางรอดในมุมนักการตลาดจริงๆ สถานการณ์แบบนี้ใครที่ปรับตัวไม่ทันก็ต้องออกจากตลาดไป (Market Exit) ผู้ที่ยังอยู่รอดอาจจะต้องมองหา "Blue Ocean" ของตัวเองให้เจอ เช่น การสร้าง Personal Branding ที่แข็งแกร่งมากๆ เพื่อจับตลาด Niche ที่ยังมีกำลังซื้อ หรือการปรับเปลี่ยน "Service" ไปเลย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ในรูปแบบอื่นที่คู่แข่งไม่มี

5
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 25 Nov 2010
ตอบ: 10158
ที่อยู่: บนเนินสีเขียวๆ
โพสเมื่อ: Fri Jun 06, 2025 16:02
[RE: วิกฤตเด็กเสี่ย]
Kai_Procter พิมพ์ว่า:
Vyse พิมพ์ว่า:
วิกฤตจริงครับ พอคนอยากเป็นเด็กเสี่ยเพิ่มขึ้น
Supply เพิ่มในขณะที่ Demand ลดเพราะเสี่ยรวยน้อยลง มันจะทำให้เกิดการแข่งขันสูง
พอจลาดเริ่มเป็น Red Ocean ก็เริ่มแข่งกันด้วย Price หนักหน่อยอาจจะเริ่มมี Promotion หรือจำเป็นต้อง Placement หลายที่รับหลายจ๊อบ

ในขณะที่ตัว Product นั้นมีแต่เสื่อมลง ถึงจุดนี้ Depreciation Cost อาจจะไม่คุ้มกับ Pricing แล้ว เลยจุด Equalibrium แล้ว ก็จะไม่เกิดการซื้อขายเกิดขึ้น

น่าหนักใจแทนนัการตลาดมากๆนะครับ  




ที่บอกว่าตลาดนี้กลายเป็น Red Ocean ไปแล้วนั้น ผมว่ามันยิ่งกว่านั้นอีกครับ ตอนนี้มันคือ "สงครามราคา" (Price War) ที่รุนแรงมากๆ เพราะเมื่อ "Product" ในสายตาของผู้บริโภค แทบไม่มีความแตกต่างกัน (Commoditization) สิ่งเดียวที่จะใช้แข่งขันได้ก็คือ "ราคา" ซึ่งก็คือค่าตอบแทนที่ลดลงนั่นเองครับ

ในอดีต "Product" อาจจะยังพอสร้างความแตกต่าง (Differentiate) ได้ด้วยคุณสมบัติต่างๆ เช่น หน้าตา การศึกษา หรือเสน่ห์เฉพาะตัว แต่เมื่อ Supply ล้นตลาด ความแตกต่างเหล่านี้แทบจะถูกมองข้ามไปหมด สิ่งที่น่ากังวลคือ เมื่อต้องลด "Price" ลงมาแข่ง สิ่งที่เคยเป็น Value Proposition หรือคุณค่าของ "Product" ก็จะถูกลดทอนลงไปด้วย

แล้วเมื่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Target Audience) หรือ "เสี่ย" ไม่ได้มีกำลังซื้อ (Purchasing Power) เท่าเดิมอีกต่อไป Segment ระดับ Premium ที่เคยยอมจ่ายไม่อั้นมีขนาดเล็กลงมาก ตลาดส่วนใหญ่กลายเป็นกลุ่มที่อ่อนไหวต่อราคา (Price Sensitive) มากขึ้น ทำให้ "ผู้ขาย" จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ทั้งหมดเพื่อจับตลาด Mass ซึ่งแน่นอนว่า Margin (กำไร) ก็จะแทบไม่เหลือ

นอกจากนี้ยังมี ต้นทุนที่มองไม่เห็น (Hidden Cost) อันที่จริง Depreciation Cost (ค่าเสื่อม) นั้นถูกต้องที่สุดครับ แต่ในมุมมอง "ผู้ขาย" ยังมีต้นทุนอื่นๆ อีก เช่น ต้นทุนการหาลูกค้า (Customer Acquisition Cost - CAC) ที่สูงขึ้นมาก เพราะต้องแข่งขันกับคนจำนวนมหาศาล และ ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) ที่ต้องเอาเวลาและทรัพยากรไปทุ่มกับตลาดที่ไม่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเหมือนเดิม

ถ้าจะให้วิเคราะห์ทางรอดในมุมนักการตลาดจริงๆ สถานการณ์แบบนี้ใครที่ปรับตัวไม่ทันก็ต้องออกจากตลาดไป (Market Exit) ผู้ที่ยังอยู่รอดอาจจะต้องมองหา "Blue Ocean" ของตัวเองให้เจอ เช่น การสร้าง Personal Branding ที่แข็งแกร่งมากๆ เพื่อจับตลาด Niche ที่ยังมีกำลังซื้อ หรือการปรับเปลี่ยน "Service" ไปเลย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ในรูปแบบอื่นที่คู่แข่งไม่มี

 


ถือว่าได้ความกาม เอ้ยความรู้มากขึ้นเยอะเลยทีเดียว

ย่อหน้าแรกผมเห็นแย้งเล็กน้อยว่า Product Characteristic ยังคงมีความ Differentiate อยู่บ้าง ตามหน้าตาพิมพ์นิยม และสัดส่วน ขาวหมวยหรือคมเข้ม
แต่ย่อหน้าสองเห็นด้วยจริงๆที่ Product เสีย Value proposition ไปเนื่องจากมองข้ามจุดขาย selling point ของตัวเอง แล้วมาเล่น Price War แทน (แต่ก็เป็นผลดีอยู่บ้างกับผู้บริโภค)

และเรื่อง Hidden Cost นี่คือจริงๆเลย ถ้า Cost บวม Margin ต่ำ อาจจะต้องไปหาตลาดอื่น ซึ่งตอนนี้ OLF ก็ดูจะกลายเป็น Red Ocean ไปอีกอันแล้ว

พวกเราดูให้เวลากับอะไรแบบนี้เยอะดีนะครับ
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน


ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 19 Sep 2024
ตอบ: 227
ที่อยู่: Banshee Village
โพสเมื่อ: Fri Jun 06, 2025 16:05
ถูกแบนแล้ว
[RE: วิกฤตเด็กเสี่ย]
Vyse พิมพ์ว่า:
Kai_Procter พิมพ์ว่า:
Vyse พิมพ์ว่า:
วิกฤตจริงครับ พอคนอยากเป็นเด็กเสี่ยเพิ่มขึ้น
Supply เพิ่มในขณะที่ Demand ลดเพราะเสี่ยรวยน้อยลง มันจะทำให้เกิดการแข่งขันสูง
พอจลาดเริ่มเป็น Red Ocean ก็เริ่มแข่งกันด้วย Price หนักหน่อยอาจจะเริ่มมี Promotion หรือจำเป็นต้อง Placement หลายที่รับหลายจ๊อบ

ในขณะที่ตัว Product นั้นมีแต่เสื่อมลง ถึงจุดนี้ Depreciation Cost อาจจะไม่คุ้มกับ Pricing แล้ว เลยจุด Equalibrium แล้ว ก็จะไม่เกิดการซื้อขายเกิดขึ้น

น่าหนักใจแทนนัการตลาดมากๆนะครับ  




ที่บอกว่าตลาดนี้กลายเป็น Red Ocean ไปแล้วนั้น ผมว่ามันยิ่งกว่านั้นอีกครับ ตอนนี้มันคือ "สงครามราคา" (Price War) ที่รุนแรงมากๆ เพราะเมื่อ "Product" ในสายตาของผู้บริโภค แทบไม่มีความแตกต่างกัน (Commoditization) สิ่งเดียวที่จะใช้แข่งขันได้ก็คือ "ราคา" ซึ่งก็คือค่าตอบแทนที่ลดลงนั่นเองครับ

ในอดีต "Product" อาจจะยังพอสร้างความแตกต่าง (Differentiate) ได้ด้วยคุณสมบัติต่างๆ เช่น หน้าตา การศึกษา หรือเสน่ห์เฉพาะตัว แต่เมื่อ Supply ล้นตลาด ความแตกต่างเหล่านี้แทบจะถูกมองข้ามไปหมด สิ่งที่น่ากังวลคือ เมื่อต้องลด "Price" ลงมาแข่ง สิ่งที่เคยเป็น Value Proposition หรือคุณค่าของ "Product" ก็จะถูกลดทอนลงไปด้วย

แล้วเมื่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Target Audience) หรือ "เสี่ย" ไม่ได้มีกำลังซื้อ (Purchasing Power) เท่าเดิมอีกต่อไป Segment ระดับ Premium ที่เคยยอมจ่ายไม่อั้นมีขนาดเล็กลงมาก ตลาดส่วนใหญ่กลายเป็นกลุ่มที่อ่อนไหวต่อราคา (Price Sensitive) มากขึ้น ทำให้ "ผู้ขาย" จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ทั้งหมดเพื่อจับตลาด Mass ซึ่งแน่นอนว่า Margin (กำไร) ก็จะแทบไม่เหลือ

นอกจากนี้ยังมี ต้นทุนที่มองไม่เห็น (Hidden Cost) อันที่จริง Depreciation Cost (ค่าเสื่อม) นั้นถูกต้องที่สุดครับ แต่ในมุมมอง "ผู้ขาย" ยังมีต้นทุนอื่นๆ อีก เช่น ต้นทุนการหาลูกค้า (Customer Acquisition Cost - CAC) ที่สูงขึ้นมาก เพราะต้องแข่งขันกับคนจำนวนมหาศาล และ ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) ที่ต้องเอาเวลาและทรัพยากรไปทุ่มกับตลาดที่ไม่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเหมือนเดิม

ถ้าจะให้วิเคราะห์ทางรอดในมุมนักการตลาดจริงๆ สถานการณ์แบบนี้ใครที่ปรับตัวไม่ทันก็ต้องออกจากตลาดไป (Market Exit) ผู้ที่ยังอยู่รอดอาจจะต้องมองหา "Blue Ocean" ของตัวเองให้เจอ เช่น การสร้าง Personal Branding ที่แข็งแกร่งมากๆ เพื่อจับตลาด Niche ที่ยังมีกำลังซื้อ หรือการปรับเปลี่ยน "Service" ไปเลย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ในรูปแบบอื่นที่คู่แข่งไม่มี

 


ถือว่าได้ความกาม เอ้ยความรู้มากขึ้นเยอะเลยทีเดียว

ย่อหน้าแรกผมเห็นแย้งเล็กน้อยว่า Product Characteristic ยังคงมีความ Differentiate อยู่บ้าง ตามหน้าตาพิมพ์นิยม และสัดส่วน ขาวหมวยหรือคมเข้ม
แต่ย่อหน้าสองเห็นด้วยจริงๆที่ Product เสีย Value proposition ไปเนื่องจากมองข้ามจุดขาย selling point ของตัวเอง แล้วมาเล่น Price War แทน (แต่ก็เป็นผลดีอยู่บ้างกับผู้บริโภค)

และเรื่อง Hidden Cost นี่คือจริงๆเลย ถ้า Cost บวม Margin ต่ำ อาจจะต้องไปหาตลาดอื่น ซึ่งตอนนี้ OLF ก็ดูจะกลายเป็น Red Ocean ไปอีกอันแล้ว

พวกเราดูให้เวลากับอะไรแบบนี้เยอะดีนะครับ  


Spoil
บ้ากาม  
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะตำบล
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 05 Apr 2020
ตอบ: 1766
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jun 06, 2025 16:43
[RE: วิกฤตเด็กเสี่ย]
Kai_Procter พิมพ์ว่า:
Vyse พิมพ์ว่า:
วิกฤตจริงครับ พอคนอยากเป็นเด็กเสี่ยเพิ่มขึ้น
Supply เพิ่มในขณะที่ Demand ลดเพราะเสี่ยรวยน้อยลง มันจะทำให้เกิดการแข่งขันสูง
พอจลาดเริ่มเป็น Red Ocean ก็เริ่มแข่งกันด้วย Price หนักหน่อยอาจจะเริ่มมี Promotion หรือจำเป็นต้อง Placement หลายที่รับหลายจ๊อบ

ในขณะที่ตัว Product นั้นมีแต่เสื่อมลง ถึงจุดนี้ Depreciation Cost อาจจะไม่คุ้มกับ Pricing แล้ว เลยจุด Equalibrium แล้ว ก็จะไม่เกิดการซื้อขายเกิดขึ้น

น่าหนักใจแทนนัการตลาดมากๆนะครับ  




ที่บอกว่าตลาดนี้กลายเป็น Red Ocean ไปแล้วนั้น ผมว่ามันยิ่งกว่านั้นอีกครับ ตอนนี้มันคือ "สงครามราคา" (Price War) ที่รุนแรงมากๆ เพราะเมื่อ "Product" ในสายตาของผู้บริโภค แทบไม่มีความแตกต่างกัน (Commoditization) สิ่งเดียวที่จะใช้แข่งขันได้ก็คือ "ราคา" ซึ่งก็คือค่าตอบแทนที่ลดลงนั่นเองครับ

ในอดีต "Product" อาจจะยังพอสร้างความแตกต่าง (Differentiate) ได้ด้วยคุณสมบัติต่างๆ เช่น หน้าตา การศึกษา หรือเสน่ห์เฉพาะตัว แต่เมื่อ Supply ล้นตลาด ความแตกต่างเหล่านี้แทบจะถูกมองข้ามไปหมด สิ่งที่น่ากังวลคือ เมื่อต้องลด "Price" ลงมาแข่ง สิ่งที่เคยเป็น Value Proposition หรือคุณค่าของ "Product" ก็จะถูกลดทอนลงไปด้วย

แล้วเมื่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Target Audience) หรือ "เสี่ย" ไม่ได้มีกำลังซื้อ (Purchasing Power) เท่าเดิมอีกต่อไป Segment ระดับ Premium ที่เคยยอมจ่ายไม่อั้นมีขนาดเล็กลงมาก ตลาดส่วนใหญ่กลายเป็นกลุ่มที่อ่อนไหวต่อราคา (Price Sensitive) มากขึ้น ทำให้ "ผู้ขาย" จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ทั้งหมดเพื่อจับตลาด Mass ซึ่งแน่นอนว่า Margin (กำไร) ก็จะแทบไม่เหลือ

นอกจากนี้ยังมี ต้นทุนที่มองไม่เห็น (Hidden Cost) อันที่จริง Depreciation Cost (ค่าเสื่อม) นั้นถูกต้องที่สุดครับ แต่ในมุมมอง "ผู้ขาย" ยังมีต้นทุนอื่นๆ อีก เช่น ต้นทุนการหาลูกค้า (Customer Acquisition Cost - CAC) ที่สูงขึ้นมาก เพราะต้องแข่งขันกับคนจำนวนมหาศาล และ ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) ที่ต้องเอาเวลาและทรัพยากรไปทุ่มกับตลาดที่ไม่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเหมือนเดิม

ถ้าจะให้วิเคราะห์ทางรอดในมุมนักการตลาดจริงๆ สถานการณ์แบบนี้ใครที่ปรับตัวไม่ทันก็ต้องออกจากตลาดไป (Market Exit) ผู้ที่ยังอยู่รอดอาจจะต้องมองหา "Blue Ocean" ของตัวเองให้เจอ เช่น การสร้าง Personal Branding ที่แข็งแกร่งมากๆ เพื่อจับตลาด Niche ที่ยังมีกำลังซื้อ หรือการปรับเปลี่ยน "Service" ไปเลย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ในรูปแบบอื่นที่คู่แข่งไม่มี

 


เหมือนเรียนวิชา กามตลาด 101
3
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ดาวซัลโวยุโรป
Status: ยึดมั่นในหลักการที่ถูกต้อง
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 11 May 2022
ตอบ: 12025
ที่อยู่: ซอยมัยลาภ
โพสเมื่อ: Fri Jun 06, 2025 18:10
วิกฤตเด็กเสี่ย
เสึ่ยไหน
โพสต์บนแอป Soccersuck บน Android
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
ดาวซัลโวโอลิมปิก
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 24 Jan 2008
ตอบ: 12922
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jun 06, 2025 18:25
[RE: วิกฤตเด็กเสี่ย]
SOCCER SEX พิมพ์ว่า:
หน้าเวทีงานคอนเสิร์ต หรือ หมอลำตามต่างจังหวัด เด็กเสี่ยเพียบครับ

มาเดินขายกันอย่างโจ่งครึ่ม

 


แถวบ้านผมเอิ้น สาด...
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ไปหน้าที่ 1, 2
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel