ิผมว่าขายแบบ Business to Business จะมีความเรื่องมากกว่าขายแบบ Business to Customer เพราะบางทีตัว final product end user ก็ไม่ได้ละเอียดเท่าที่เป็น business ซื้อไปทำอีกที ใช่ไหมครับ

ตัดสินใจหลายคน ยาวนาน

ตรวจสอบคุณสมบัติ รายละเอียด ละเอียดถี่ถ้วนกว่าผู้บริโภคทั่วไปที่ซื้อไปใช้ส่วนตัว

ยากกว่าครับ กว่าจะตัดสินใจได้ยากมาก ยิ่งถ้าเกี่ยวข้องกับข้อกำหนดของ end user ยิ่งใช้เวลานาน แต่ถ้าได้งานแล้ว มีโอกาสได้งานยาวๆ เลย เพราะถ้าเค้าจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนยากเหมือนกัน ถ้าไม่มีคำสั่งจากข้างบนลงมาเค้าก็ไม่เปลี่ยน ไม่อยากหางานให้ตัวเอง

Boobs to boobs

Boobs to cock

ถ้าสินค้า ยากกว่า
ถ้าบริการ ง่ายกว่า

B2B ยากแต่ถ้าขายได้และสามารถผูกปิ่นโตได้สบาย
ฺB2C ง่ายไปเรื่อยๆ แล้วแต่สินค้า

ถ้าเลือกได้ขอเป็นแบบB2Bเป็นหลัก แต่ไม่ทิ้งB2C เพราะไม่มีอะไรแน่นอน

ยากง่ายคนล่ะแบบครับ

B2B ตัดสินใจซื้อยากกว่า แต่เรื่องมากน้อยกว่า เพราะคุณเอาใจคนแค่ไม่กี่คน
B2C ตัดสินใจง่ายกว่า แต่เรื่องมากกว่าเยอะ เพราะถ้าลูกค้าคุณ 1,000 คนนั่นหมายความว่าคุณต้องเจอ 1,000 ปัญหา ดีไม่ดีแก้ปัญหาไม่ถูกใจลูกค้า 1 คนมันเอาไปโพสด่า ให้อีก 999 ที่เหลือกลัว

ฺB2B ยากกว่าใช้เวลานานกว่า

แต่.. ส่วนใหญ่จะทำสัญญาซื้่อขายกันรายปี 1ปี 3ปี 5ปี อะไรก็ว่าไป ซึ่งหลังจากตกลงซื้อขายเสร็จมันจะง่ายและได้เม็ดเงินก้อนโต โปรเจ็คใหญ่และยั่งยืน ส่วนใหญ่จะต่อสัญญากันยาวๆ

ถ้านับ accomplishments เป็นครั้ง
B2b ยากกว่า

แต่ถ้านับตามหลักการขาย ง่ายกว่าเยอะ
กลุ่มธุรกิจความต้องการไม่ซับซ้อนเท่ากับ end user
เน้นไปที่ผลประโยชน์ร่วม ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มยอดขาย
หลักมีอยู่ไม่กี่อย่าง คุยร่วมกันได้ตามหลักการคือจบ

แต่ to the customer นี่ต้องทำแบรนดิ้ง
ทำบริการ แถมยังต้องพัฒนาตลอดเวลา
ปัจจัยควบคุมไม่ได้ของ customers นี่เยอะกว่าหลายล้านเท่า
อย่างที่คอมเม้นบนบอก ลูกค้า 100 คน 100 ปัญหา
แก้ไม่ได้หมดหรอก

ยิ่งลูกค้าคนไทยขาดความเข้าใจสินค้าก่อนซื้อ
ไม่อ่านคู่มือ ขาดความรู้ความเข้าใจ
เรื่องเยอะชิบหายย

ตามนี้เลย เจอมากับตัว ส่วนตัวชอบb2b มากกว่า ถ้าได้แล้วอยู่ยาวๆ

B2B ยากกว่าตรงที่ลูกค้าน้อยกว่า ฺB2C ต้องรู้เยอะ รู้จริง ต้องขายเป็น จับจุดลูกค้าให้ได้ B2C ขายกว้างขายง่ายกว่า แต่ๆๆๆๆ ขายให้ไม่เจ๊งก็ยังยาก แต่เมื่อลูกค้าน้อยกว่าก็ยากกว่าอยู่แล้ว