[RE]คิดยังไงกับมูฟเม้นท์ พรรคประชาชน ช่วงนี้
TakeoKikuchi พิมพ์ว่า:
ถ้าสมัยหน้าอยากได้สส.มากกว่า 250 ก็ถือว่าทำถูกแล้วที่ปรับตัวไปตามโจทย์และสถานการณ์
คือเวลาเจอปัญหาใหญ่ ทุกคนรู้ว่าถ้าแก้ Root Cause ได้ก็จบ แต่ชีวิตจริงมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น เพราะคนไทยเกือบ 70 ล้านคน ผมว่ามีไม่ถึงล้านคนที่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมสิ่งนั้นถึงเป็น Root Cause
ถ้าพรรคมุ่งจะไปแก้ Root Cause โดยที่คนยังไม่เข้าใจ ไม่ buy-in พรรคก็จะไม่ได้รับการสนับสนุน สุดท้ายตัวเองก็ไปไม่ถึงไหน Root Cause ก็ไม่ถูกแก้ไขอยู่ดี
แถม Root Cause มันมีบริวารรายล้อมเต็มไปหมด จะพุ่งเข้าไปแก้เลยมันทำไม่ได้อยู่แล้ว ได้แค่แสดงออกถึงจุดยืนของตัวเอง ซึ่ง ณ จุดนี้ ผมว่าพรรคไม่จำเป็นต้องแสดงอะไรอีก ถ้าใครเข้าใจและอยากแก้ Root Cause คุณมีพรรคประชาชนเป็นตัวเลือกเดียว
ดังนั้น ผมเลยคิดว่าที่พรรคทำอยู่ก็ถูกแล้ว คือค่อยๆ แก้ปัญหา เก็บบริวารที่ละตัวไป เริ่มจากข้าราชการทุจริตเนี่ยแหละ แล้วก็ไล่เก็บไปเรื่อยๆ ตำรวจ พรรคการเมือง ทหาร นายทุน
ในขณะที่ด้านเศรษฐกิจก็ทำคู่ขนานกันไป แสดงให้ชนชั้นกลาง-บน เห็นว่ามีไอเดียทำเศรษฐกิจอย่างไร เพราะวันนี้เพื่อไทยไม่เหลือความเป็นพรรคเก่งเศรษฐกิจอีกต่อไป
ถึงวันนึงผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะเห็นภาพมากขึ้นว่าเครือข่ายอำนาจมันโยงใยกันยังไง ผ่านการไม่ยอมเสียประโยชน์ของพวกมันเนี่ยแหละ อย่างปฏิทินประกันสังคม หรือแต่งผนังประธานสภา เนี่ยคือตัวอย่างชัดๆ เลย
แล้วถ้าประชาชนไว้ใจให้พรรคประชาชนได้บริหาร เช่น ลำพูน ถ้าพิสูจน์ได้ว่าทำได้จริง คนก็จะค่อยๆ หันมาสนับสนุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เอง
ถ้าเราทำกันต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ประชาชนส่วนใหญ่เค้าซื้อไอเดียและเชื่อในตัวพรรคแล้ว เหล่าบริวารฝ่ายอำนาจสิ้นความน่าเชื่อถือหมดแล้ว เราก็ไปจัดการ Root Cause กันต่อ
Root cause อีกละ คิดว่าพรรคอื่นเขาไม่รู้รึไง พรรคตัวเองมองเห็นปัญหาอยู่อย่างเดียวเลยสิ สุดท้ายกลวิธีก็ไม่ต่างจากพรรคอื่นๆทำน่ะแหละ คือเล่นตามกติกาที่เขาวางไว้ แล้วค่อยๆแก้ปัญหา แต่อย่างว่าแหละ การจะทำอย่างนี้มันไม่ใช่แค่ว่าทำด้วยตัวคนเดียวได้ มันต้องใช้เพื่อน หรือความร่วมมือจากพรรคอื่น เพราะรธน.60 มันกำหนดกรอบมาแบบนี้ (แถมไอ้คนที่เลือกรธน.60 บางส่วนเป็นส้มไปแล้ว ชุบตัวสบายเลย ฉลาดและคุณภาพจริงๆ)
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าพรรคอื่นเขาไม่เห็น root cause ครับ เขาเห็นกันหมด แต่มันไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงกันได้ง่ายๆ หรือเร็ววัน และต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายร่วมกัน ซึ่งแน่นอนว่าก็ฝ่ายที่ร่วมมือมีทั้งคนดีและคนไม่ดี คนที่ได้ประโยชน์และคนที่ไม่ได้ประโยชน์อยู่แล้ว แต่สุดท้าย มันก็ขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองกัน การเมืองมันเป็นแบบนี้ทั้งโลกครับ จะมามองว่าข้าขาวกว่าใคร ดีกว่าใครไม่ได้ คิดว่ากลุ่มตัวเองเป็นคนดี เป็นพระเอกอยู่แค่กลุ่มเดียวรึไง กลุ่มอื่นๆตามืดบอด ไม่เห็นถึงปัญหา เลยรึไง มันตลกครับ
ปล. ไอ้เรื่องทุจริต ไม่ทุจริตเนี่ย ดีแล้ว อยากจะทำก็ทำไป แต่มันไม่ได้ใหม่อะไรเลยครับ เพราะแม่งก็ทำกันทุกฝ่ายค้านนั่นแหละ