จากนักเตะที่เคยโดนด่าว่าไร้ไอคิวฟุตบอล
วันนี้ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ พานาโปลีคว้าแชมป์ลีก
พร้อมด้วยรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของเซเรีย อา
ชีวิตของเขาพลิกผัน จากหน้ามือเป็นหลังมือ ในเวลาแค่ 1 ปี เท่านั้น ใครจะไปเชื่อ
แบ็กกราวน์ของแม็คโทมิเนย์ เขาเป็นเด็กปั้นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่กับอะคาเดมี่ตั้งแต่ 6 ขวบ จิตวิญญาณเป็นผีแดงมาตลอด
ปัญหาของแม็คโทมิเนย์ในสมัยเยาวชน คือตัวเล็กเกินไป พอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เขาสูงแค่ 167 ซม. เท่านั้น ซึ่งมันลำบาก ถ้าคุณเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง ที่ต้องใช้แรงปะทะ และต้องกระโดดแย่งโหม่งตลอด
แต่ความมหัศจรรย์คือ ในช่วงเวลาแค่ 12 เดือนเท่านั้น เขาสูงเพิ่มจากเดิม 20 เซนติเมตร!
จาก 167 ซม. พุ่งพรวดเป็น 187 ซม. ก่อนจะไปหยุดสูง ที่ตัวเลข 193 ซม.
จากตัวเล็กเกินไป กลายเป็นเด็กยักษ์ จุดอ่อนที่เคยมีก็หายไป และคราวนี้ก็ได้รับโอกาสให้ลงเล่นทีมชุดใหญ่ของแมนฯ ยูไนเต็ดในยุคโชเซ่ มูรินโญ่
มูรินโญ่ ชื่นชอบแม็คโทมิเนย์มากๆ เขาบอกว่า "สกอตต์เป็นผลผลิตที่ยอดเยี่ยมที่สุดจากอะคาเดมี่ของยูไนเต็ดในยุคหลัง"
"เขาเป็นนักเตะที่เรียกว่ามิดฟิลด์ยุคใหม่ คือทำได้ทุกอย่าง อาจจะมีเรื่องเดียวที่ยังไม่ค่อยดี คือการยิงประตู แต่เขาจะพัฒนามันได้แน่นอน ตอนนี้เขายิงไม่เยอะ เพราะผมให้เขาทำหน้าที่อย่างอื่นอยู่"
"เขามีอนาคตขนาดไหน? ในเกมแชมเปี้ยนส์ลีก ที่เราเจอกับเซบีญ่า ผมมีตัวเลือกระหว่างสกอตต์ กับ พอล ป็อกบา ผมตัดสินใจให้ป็อกบานั่งสำรอง แล้วเอาสกอตต์ลงตัวจริง"
มูรินโญ่ เป็นคนกระตุ้นให้อเล็กซ์ แม็คลีช ผู้จัดการทีมชาติสกอตแลนด์ รีบเอาแม็คโทมิเนย์ไปเลย ก่อนจะโดนอังกฤษตัดหน้า เพราะแม็คโทมิเนย์มีคุณพ่อเป็นคนสกอตแลนด์ แต่เกิดที่อังกฤษ ดังนั้น เล่นได้สองชาติ
สุดท้ายแม็คลีชเชื่อ ดึงแม็คโทมิเนย์ ติดทีมชุดใหญ่ตอนอายุ 21 ปี ซึ่งแม็คโทฯ ก็กลายเป็นกำลังหลักของสกอตแลนด์จนถึงวันนี้
แม็คโทมิเนย์ ลงเล่นกับแมนฯ ยูไนเต็ด ตั้งแต่ยุคโชเซ่ มูรินโญ่, โอเล่ กุนนาร์ โซลชา, ราล์ฟ รังนิก มาจนถึงเอริค เทน ฮาก
ฟีดแบ็กที่ได้รับจากโค้ช มีทั้งดีบ้าง ร้ายบ้าง ปนกัน มูรินโญ่ กับ โซลชา จะชอบมาก แต่ราล์ฟ รังนิก เคยให้สัมภาษณ์ออกสื่อ ว่าแม็คโทมิเนย์เล่นพลาด
ถามว่าแม็คโทมิเนย์ ประสบความสำเร็จไหมกับแมนฯ ยูไนเต็ด คำตอบคือไม่ขนาดนั้น
เขาเคยได้แชมป์เอฟเอ คัพ 1 สมัย และ คาราบาวคัพ 1 สมัย แต่ก็ไม่ได้เล่นในนัดชิงทั้ง 2 ถ้วย
ตำแหน่งหลักที่เขาเล่นคือ มิดฟิลด์ตัวกลางด้านขวา มีหน้าที่ถอยลงต่ำ เพื่อเชื่อมเกมกับกองหลังและกองหน้า โค้ชมักใช้เขาเล่นเกมรับ อาจเพราะส่วนสูง 193 ซม. ดูว่ามีประโยชน์ในการโหม่งแย่งบอลด้วย
นักเตะที่เล่นร่วมกับเขามากที่สุด คือ เฟร็ด กองกลางชาวบราซิล ทั้งคู่เล่นร่วมกัน ถึง 126 เกม (6,807 นาที) จนมีชื่อเรียกดูโอคู่นี้ว่า แม็คเฟร็ด (McFred) ฟังดูคล้ายๆ กับเมนูหนึ่งของแม็คโดนัลด์
อย่างไรก็ตาม คู่หูแม็คเฟร็ด กลับทำผลงานออกมาไม่ดีนัก จนแฟนแมนฯ ยูไนเต็ด บอกว่า "แม็คโทมิเนย์ กับ เฟร็ด คือคู่กองกลางที่แย่ที่สุดในพรีเมียร์ลีก"
ผลงานที่น่าผิดหวังในพรีเมียร์ลีกของแมนฯ ยูไนเต็ด ในช่วงหลังๆ ทำให้กองกลางอย่างแม็คโทมิเนย์ และ เฟร็ด มักจะเป็นตัวระบายให้แฟนๆ ด่าได้เต็มที่
แฟนบอลคนหนึ่งในโลกออนไลน์ คอมเมนต์ว่า "แม็คโทมิเนย์ เป็นนักเตะที่ไม่มีไอคิวฟุตบอล คุณอาจจะสงสัยว่า ทำไมเขาไม่เข้าไปสกัดบางจังหวะ เขาไม่แคร์ทีมหรือยังไง ไม่หรอก เขาแค่ห่วยเกินไปที่จะรู้ว่า ควรยืนตรงไหน ควรทำอะไรบ้างต่างหาก"
อีกคนคอมเมนต์ว่า "คิดจะเล่นเกมเคาน์เตอร์ แอทแท็ก โดยมีแม็คโทมิเนย์อยู่ในสนาม เหมือนเราลงแข่งเจ๊ตสกี ด้วยเรือไททานิค เขาช้าเกินไป ที่จะทำอะไรได้"
และอีกคอมเมนต์ว่า "แม็คโทมิเนย์ เล่นเหมือนไม่ใช่นักเตะอาชีพ ตอนเขาจับบอล พยายามจะคอนโทรลบอล ทุกอย่างมันมั่วไปหมด และไม่มีทีมพรีเมียร์ลีก ทีมไหนสนใจเขาแน่ ต่อให้เราวางขายก็ตาม ฟุตบอลไอคิวคือ 0 ชัดๆ"
ในช่วงซัมเมอร์ 2024 แฟนบอลปีศาจแดง เริ่มแบ่งเป็นสองฝ่าย มีกลุ่มที่ชอบแม็คโทมิเนย์อยู่ ในฐานะเด็กปั้นของสโมสร แถมอายุก็เพิ่ง 27 ปี ใช้งานได้อีกนาน แต่อีกส่วนหนึ่ง คือหมดศรัทธาไปแล้ว และเชียร์ให้ขายเลยดีกว่า จะเก็บไว้ทำไม
แมนฯ ยูไนเต็ด พิจารณาชอยส์ขายต่อ เพราะ ณ เวลานั้น ก็มีกองกลางแล้วหลายคน ทั้งคาเซมิโร่, คริสเตียน อีริคเซ่น, ดาวรุ่ง ค็อบบี้ เมนู ที่พุ่งทะยานขึ้นมา บวกกับมานูเอล อูการ์เต้ ที่กำลังจะได้ตัวในราคา 42.2 ล้านปอนด์ ดังนั้นก็ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องเก็บแม็คโทมิเนย์ไว้ต่อ
ทีมปีศาจแดง ตัดสินใจเลหลังขายแม็คโทมิเนย์ ที่เหลือสัญญา 1 ปี ในวันที่ 30 สิงหาคม 2024 ให้นาโปลี ด้วยราคา 25.7 ล้านปอนด์ ที่ต้องปล่อยราคานี้ เพราะถ้าไม่ขาย ก็อาจจะเสียนักเตะแบบฟรีๆ ตามกฎบอสแมน
แมนฯ ยูไนเต็ดได้เงินก้อน 25.7 ล้านปอนด์ และประหยัดค่าเหนื่อย 6 หมื่นปอนด์ต่อสัปดาห์ได้ด้วย (ปีละ 3.1 ล้านปอนด์)
เอริก เทน ฮาก ผู้จัดการทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ขณะนั้น บอกว่าใจจริงไม่อยากขาย แต่ที่ต้องทำแบบนี้ เพื่อช่วยให้สโมสรมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีขึ้น เพราะกฎ PSR มีความเข้มงวด ซื้ออย่างเดียวไม่ได้ ต้องขายด้วยเพื่อให้บัญชีมันสมดุล
วันนั้น แม็คโทมิเนย์ต้องหอบความเจ็บช้ำ ที่โดนสโมสรที่เขาอยู่มายี่สิบกว่าปี ปล่อยตัวทิ้ง แต่มองในแง่ดี มันก็คือการเริ่มต้นชีวิตใหม่ กับทีมใหม่ มันคือ Fresh Start
ในข้อเท็จจริงคือช่วงซัมเมอร์ 2024 ทิศทางของแมนฯ ยูไนเต็ด ดูสดใสกว่านาโปลีอยู่เล็กน้อย
ฤดูกาล 2023-24 แมนฯ ยูไนเต็ด จบอันดับ 8 ในพรีเมียร์ลีก เพิ่งได้แชมป์เอฟเอคัพ ได้สิทธิ์ไปเล่นในยูฟ่า ยูโรป้าลีก
แต่ในฤดูกาล 2023-24 ของนาโปลี พวกเขาจบอันดับ 10 ในเซเรีย อา ไม่ได้แชมป์อะไรเลย ไม่ได้เล่นบอลยุโรปอะไรทั้งนั้น
นักเตะคีย์แมนของนาโปลีก็ขอย้ายออกเป็นแถบ วิคเตอร์ โอซิเมน ไม่อยากอยู่ เช่นเดียวกับ ควิช่า ควารัตสเคเลีย ก็จ้องจะย้าย ส่วนพิออตร์ ซิเลนสกี้ ย้ายไปอินเตอร์แบบฟรีๆ แล้ว ดังนั้นก็ไม่แปลกที่หลายคนจะคิดว่า แม็คโทมิเนย์ ดูจะประสบความสำเร็จยากกว่า ถ้าย้ายไปนาโปลี
ในความมืดมนของนาโปลีนั้น ความโชคดีที่สุด คือสโมสรสามารถคว้าตัวอันโตนิโอ คอนเต้มาเป็นเฮดโค้ชคนใหม่ได้สำเร็จ
ประธานสโมสร ออเรลิโอ เด ลอเรนติส ยอมควักเงินปีละ 7 ล้านยูโร ซึ่งเป็นค่าจ้างที่แพงที่สุดในเซเรีย อา แต่เขาคิดมาดีแล้วว่าคุ้ม เพราะคอนเต้ คือโค้ชที่การันตีความสำเร็จเสมอ เขาได้แชมป์ลีกมาแล้ว กับ 3 สโมสร นั่นคือ ยูเวนตุส, เชลซี และ อินเตอร์ มิลาน
เมื่อคอนเต้เข้ามา เขาบอกนักเตะว่า "ผมไม่สัญญาว่าจะพาทีมได้แชมป์ แต่สัญญาว่า ทีมฟุตบอลนี้จะจริงจังมากขึ้น และเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณจริงจัง ความสำเร็จมันจะมาเอง นี่คือแนวทางการทำทีมของผม มันเป็นแบบนี้มาตลอด"
คอนเต้ ออกคำสั่งให้นักเตะซ้อมหนักขึ้น และสนใจเรื่องแท็กติกมากขึ้น ในเกมฟุตบอลคุณจะเป็นศิลปินตลอดไม่ได้ ต้องรู้ว่าควรเล่นแบบไหน เพื่อนวิ่งไปตรงนี้ คุณต้องไปซัพพอร์ทอย่างไร
เช่นเดียวกับเรื่องนอกสนาม คอนเต้ มีหลักโภชนาการที่เข้มงวด ในชื่อ เบรซาโอล่า ไดเอ็ท นั่นคือนักเตะห้ามกินของทอด, ชีส และ แอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด เขาเชื่อว่า ฟุตบอลมันแพ้ชนะกันตั้งแต่ในห้องครัวแล้ว
แม็คโทมิเนย์เล่าว่า "โค้ชเป็นคนที่ออกคำสั่งอย่างดุดันมาก เขาต้องการให้นักเตะใส่ใจเรื่องแท็กติกมากๆ และอยากให้เราครองเกมในสนามได้อย่างเด็ดขาด เราต้องทำงาน ทำงาน และเดินหน้าต่อไปให้ได้"
การมาของคอนเต้ ทำให้นาโปลียกระดับขึ้น เขาเข้ามาสร้างทีมให้แกร่งกว่าเดิม จากทีมที่ได้อันดับ 10 เมื่อปีก่อน นาโปลีคัมแบ็กกลับมาได้ทันที ในฤดูกาล 2024-25 เริ่มชนะ ชนะ แล้วก็ชนะเรื่อยๆ
หนึ่งในกุญแจสำคัญของชัยชนะ คือ วิธีการเล่นของแม็คโทมิเนย์
คอนเต้ยอมรับว่า ตกใจ ที่ตอนอยู่แมนฯ ยูไนเต็ด แม็คโทมิเนย์ต้องเล่นมิดฟิลด์ตัวรับมาตลอด ทั้งๆ ที่นักเตะคนนี้มีเซนส์ของเกมรุกมากกว่า
คอนเต้เล่าว่า "สกอตต์ มีสกิลจบสกอร์อยู่ในสายเลือด เขาเก่งมาก ในการเคลื่อนที่ขึ้นไปข้างหน้า เขามีเทคนิคดี มีส่วนสูงดี ร่างกายก็แข็งแกร่ง เขามีดีเอ็นเอ ของนักเตะที่มักจะยิงประตูได้เยอะๆ"
ดังนั้นแผนของคอนเต้คือ 4-3-3 วางแม็คโทมิเนย์เป็นมิดฟิลด์แต่มีหน้าที่เล่นเกมรุกเต็มตัว บุกขึ้นไปเลย เพราะเกมรับ มีมิดฟิลด์คนอื่นเล่นอยู่แล้ว ทั้ง สตานิสลาฟ โลบ็อตก้า, บิลลี่ กิลมอร์ และ ฟรองค์ อ็องกีสซ่า
และในบางเกม ถ้าต้องการยิงประตูจริงๆ ก็จะดันแม็คโทมิเนย์ขึ้นไปสุดเลย
คือชีวิตของแม็คโทฯ กลับตาลปัตรมาก จากที่เล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรับตอนอยู่แมนฯ ยูไนเต็ด ซะส่วนใหญ่ แต่พอมานาโปลีปั๊บ โดนจับไปยืนกองหน้าเลย ไม่ต้องถอยลงมาอีกแล้ว
ตัวอย่างเช่น เกมนัดที่ 4 ของฤดูกาล ที่นาโปลีเปิดบ้านเจอมอนซ่า ทีมหนีตายที่เล่นด้วยแผน Low Block รับต่ำทั้งทีม คอนเต้ปรับแผนเป็น 4-2-4 แล้วดันแม็คโทฯ ขึ้นไปเล่นกองหน้าคู่กับโรเมลู ลูกากู ผลลัพธ์คือแม็คโทมิเนย์ทำ 1 แอสซิสต์ ช่วยให้ทีมชนะ 2-0
เมื่อแม็คโทมิเนย์ได้เล่นเกมรุก เขาปลดปล่อยความสามารถได้ดีกว่าเดิม
- ปีนี้กับนาโปลี ยิง 12 ลูก แอสซิสต์รวมเรียกจุดโทษ 6 ครั้ง (ปีที่แล้วกับแมนฯ ยูไนเต็ด ยิง 7 แอสซิสต์ 1)
- ปีนี้กับนาโปลี เลี้ยงบอลกระชากผ่านคู่แข่ง 39 ครั้ง (ปีที่แล้วกับแมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้ 8 ครั้ง)
- ปีนี้กับนาโปลี สร้างโอกาสให้เพื่อนยิงทั้งหมด 26 ครั้ง (ปีที่แล้วกับแมนฯ ยูไนเต็ด 11 ครั้ง)
- แม็คโทมิเนย์ เป็นกองกลางที่ได้สัมผัสบอลในเขตโทษ มากที่สุดอันดับ 2 ของเซเรีย อา ปีนี้ ด้วยจำนวน 117 ครั้ง
- แม็คโทมิเนย์ มีสถิติชนะคู่แข่งจากการปะทะ มากที่สุดอันดับ 2 ของเซเรีย อา ที่จำนวน 208 ครั้ง คือร่างกายใหญ่โตขนาดนั้น ใครก็เอาลงไม่ได้
ไม่รู้ว่าทำไม อยู่แมนฯ ยูไนเต็ดหลายปี เขาถึงไม่ได้รับโอกาสให้เล่นกองกลางตัวรุก อย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่พอมานาโปลีปั๊บ คอนเต้เห็นทักษะอย่างรวดเร็ว จับมายืนตรงนี้ และเขาก็ระเบิดฟอร์มสุดยอดออกมาให้เห็น
เซเรีย อา ซีซั่นนี้ นาโปลีมีลุ้นแชมป์ตั้งแต่เริ่มฤดูกาล ขึ้นเป็นจ่าฝูงได้หลายสัปดาห์ แต่ในช่วงเดือนมกราคม พวกเขาเจอปัญหา เพราะควารัตสเคเลีย ตัดสินใจย้ายไปปารีส แซงต์ แชร์กแมง เท่ากับว่าแม็คโทมิเนย์ ต้องรับภาระหนักขึ้นในเกมรุกของทีม
แต่เขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ในเกมสำคัญ ในจังหวะสำคัญ เขาเล่นดีเสมอ
เกมนัดที่ 22 เจอยูเวนตุส แม็คโทมิเนย์เรียกจุดโทษชี้เป็นชี้ตาย ให้กับทีมได้ในครึ่งหลัง ช่วยให้ทีมพลิกชนะ 2-1
เกมนัดที่ 33 ไปเยือนมอนซ่า ที่เล่นอุดเต็มตัว ทีมจะเสมออยู่แล้ว แต่นาที 72 แม็คโทมิเนย์ กระโดดโหม่ง สูงกว่าผู้รักษาประตู ช่วยให้ทีมชนะ 1-0
เกมนัดที่ 34 เจอโตริโน่ ที่มีสถิติดีมาก แพ้ 1 เกม จาก 8 เกมหลังสุด เป็นแม็คโทมิเนย์ ยิง 2 ลูกให้ทีมชนะ 2-0
และแน่นอน ในเกมชี้ชะตา นัดที่ 38 เกมสุดท้ายของซีซั่น นาโปลีต้องชนะสถานเดียว ถึงจะได้แชมป์ ก็เป็นแม็คโทมิเนย์ ตีลังกายิงให้ทีมนำ 1-0 ก่อนจะจบเกมด้วยสกอร์ 2-0 คว้าแชมป์เซเรีย อา ไปครองได้สำเร็จ
นาโปลีได้แชมป์เซเรีย อา สมัยที่ 4 ด้วยการเฉือนชนะอินเตอร์ มิลานไปแค่ 1 แต้มเท่านั้น
แม็คโทมิเนย์เล่นดีมากๆ ตลอดทั้งปี และคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมเซเรีย อา ประจำฤดูกาล 2024-25 ไปครองอย่างไม่มีข้อกังขาเลย
นี่คือรางวัลเดียวกับที่คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เคยได้ในปี 2019, เปาโล ดีบาล่า ในปี 2020 และ เลาตาโร่ มาร์ติเนซ ในปี 2024 ไม่คาดคิดจริงๆ ว่า จากที่เป็นส่วนเกินของแมนฯ ยูไนเต็ด ในวันนี้เขาจะไปสู่จุดสูงสุดของฟุตบอลอิตาลีได้เฉยเลย
กัซเซตต้า เดลโล่ สปอร์ต กล่าวสดุดี แม็คโทมิเนย์ว่า "ดาวเตะสกอตแลนด์ คือผู้เล่นตัวจริงที่ไม่สามารถถอดออกได้ เขาฝีเท้าดี มีคาแรคเตอร์ยอดเยี่ยม และมีประโยชน์ด้านแท็กติก เขาจะเล่นกองกลางตัวรุก กองหน้า หรือ เล่นเกมรับ ก็ทำได้หมดเลย เขายึดครองทั้งสนาม และยิงประตูสำคัญบ่อยมาก คุณเล่นกองกลาง แต่ยิงได้ 2 หลัก เป็นตัวเลขที่ไม่ธรรมดาเลย"
เช่นเดียวกับทีมยอดเยี่ยมประจำซีซั่น ที่จัดโดยอีเอสปอร์ต เขาก็ติดทีมด้วย ซึ่งน่าสนใจดี เพราะมีอดีตนักเตะแมนฯ ยูไนเต็ดถึง 3 คน ที่ติดทีมยอดเยี่ยมเซเรีย อา ได้แก่ แม็คโทมิเนย์, ลูกากู (นาโปลี) และ ดาบิด เด เกอา (ฟิออเรนติน่า)
ตอนนี้ แม็คโทมิเนย์ มีฉายาใหม่ที่นาโปลีเพียบ ไม่ว่าจะเป็น
McFratm (แสลงของคนเนเปิ้ล แปลว่า เพื่อนแม็ค)
McTerminator (แม็คคนเหล็ก)
McTomadona (เลียนเสียงดีเอโก้ มาราโดน่า)
มีแต่ฉายาเชิงสดุดี ไม่ใช่แนวล้อเลียนแบบ McFred เมื่อก่อนอีกแล้ว เพราะเขาคือฮีโร่ของคนเนเปิลส์ ที่กอบกู้ทีมจากที่จบอันดับ 10 ปีก่อน กลับมาเป็นแชมป์ลีกสูงสุดอีกครั้ง
หากเราย้อนกลับไปดูคอมเมนต์ของแฟนแมนฯ ยูไนเต็ดบางคน เมื่อปีก่อน ยังมีคนสาปส่งแม็คโทมิเนย์ ว่าสมควรย้ายแล้ว เล่นบอลแบบไร้ไอคิวแบบนี้ แต่แค่หนึ่งปีเท่านั้น แม็คโทมิเนย์ กลายเป็นไอคอนของสโมสรไปเรียบร้อยแล้ว
สำนักข่าวบีบีซี สัมภาษณ์แม็คโทมิเนย์ ว่ารู้สึกอย่างไรกับ การตัดสินใจย้ายมานาโปลี เขาตอบว่า "ตอนนาโปลียื่นข้อเสนอเข้ามา ผมไม่ได้คิดนาน เพราะผมรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ผมเลือกอะไรแล้ว ไม่มาเสียใจทีหลัง"
"ผมรักเมืองนี้ รักแฟนบอลนาโปลี และรักเพื่อนร่วมทีมทุกคน"
กรณีของแม็คโทมิเนย์ เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ที่ทำให้เห็นว่า นักเตะจะเปล่งประกายได้ ถ้าหากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะกับตัวเอง และอยู่กับโค้ชที่เข้าใจความสามารถที่ซ่อนอยู่
ที่ผ่านมา แม็คโทมิเนย์ มีความสามารถอยู่แล้ว เหมือนที่มูรินโญ่เคยบอกไว้ตั้งแต่เล่นอาชีพใหม่ๆ แต่การจะเจียระไน ให้นักฟุตบอลสักคนกลายเป็นเพชรแท้ได้ เป็นเรื่องไม่ง่าย ซึ่งนาโปลีทำได้
บทสรุปของแม็คโทมิเนย์ ต้องบอกว่าเขากล้าหาญที่ย้ายมาสโมสรใหม่ กล้าออกจากคอมฟอร์ตโซนของตัวเอง
เช่นเดียวกับนาโปลีก็กล้าหาญ ยอมจ่ายเงินซื้อแม็คโทมิเนย์ ในสองวันสุดท้ายของตลาดซัมเมอร์ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์มากมาย ว่าซื้อมาแล้วจะคุ้มหรือ
แต่วันนี้ ทั้งแม็คโทมิเนย์ และ นาโปลี ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ราคา 25.7 ล้านปอนด์ ที่จ่ายให้แมนฯ ยูไนเต็ดวันนั้น คุ้มค่าทุกปอนด์เลยทีเดียว
อันโตนิโอ คอนเต้ กล่าวสรุปเกี่ยวกับแม็คโทมิเนย์ได้ชัดเจนที่สุด เขาพูดเรียบง่ายว่า
"สกอตต์ไม่เคยได้รับความสำคัญจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่เราให้สิ่งนั้นกับเขา เรื่องมันก็แค่นี้เอง"
#McTerminator
เครดิต วิเคราะห์บอลจริงจัง