สรุปคำพิพากษาคดี 'แตงโม' ตกเรือสปีดโบ๊ท
สรุปคำพิพากษาคดี ‘แตงโม’ ตกเรือสปีดโบ๊ท
เมื่อวันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม 2568 ศาลจังหวัดนนทบุรี อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.292/2566 ที่พนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี โจทก์ ยื่นฟ้อง
นายวิศาพัช หรือแซน มโนมัยรัตน์ จำเลยที่ 1 ,
นายนิทัศน์ หรือจ๊อบ กีรติสุทธิสาธร จำเลยที่ 2 ,
นางสาวอิจศรินทร์ หรือกระติก จุฑาสุขสวัสดิ์ จำเลยที่ 3 และ
นายภีม หรือเอ็ม ธรรมธีรศรี จำเลยที่ 4
ในความผิดต่อชีวิต ความผิดต่อเจ้าพนักงาน ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84, 91, 137, 172, 184, 291 และพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มาตรา 119 โดยมีนางภนิดา ศิระยุทธโยธิน เป็นโจทก์ร่วมเฉพาะความผิดฐานกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
คำพิพากษาอาจแยกออกเป็นประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง จำเลยที่ 1-3 กระทำความผิด ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามฟ้องหรือไม่
ศาลฟังพยานและวินิจฉัยโดยสรุปว่า แม้โจทก์และโจทก์ร่วม มีพยานมาเบิกความหลายปาก แต่ไม่ใช่ประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ในขณะนั้น จึงจำเป็นต้องอาศัยพยานแวดล้อมกรณีอื่น ว่ามีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด ซึ่งพยานแวดล้อมกรณีที่เบิกความในคดีนี้เป็นพยานที่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เบิกความสอดคล้องต้องกันเป็นลำดับขั้นตอน เหตุการณ์เชื่อมโยงต่อเนื่องกันอย่างสมเหตุสมผล ยากที่จะปรุงแต่งข้อเท็จจริงและวันเวลาให้ผิดไปให้เห็นเป็นพิรุธ
ส่วนพยานคนกลางที่ไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใดในคดีนี้ และเป็นประจักษ์พยานรู้เห็นอากัปกิริยา และเสียง ของบุคคลบนเรือในระยะเวลากระชั้นชิดกับเหตุการณ์ภายหลังเกิดเหตุ เบิกความสอดคล้องกัน ทำนองว่าบุคคลที่อยู่ในที่เกิดเหตุมีลักษณะท่าทางตกใจ สายตาเบิกโพลง พูดจาซ้ำไปซ้ำมา ว่าผู้ตายตกน้ำหาไม่เจอ สติแตก
คำเบิกความดังกล่าวสนับสนุนให้เชื่อว่า ผู้ตายตกเรือจริง
ส่วนที่ว่าผู้ตายตกเรือเพราะเหตุใดนั้น เมื่อพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนแล้ว เชื่อได้ว่า สาเหตุที่ผู้ตายตกน้ำเป็นเพราะผู้ตายไปปัสสาวะบริเวณท้ายเรือ ซึ่งเป็นการกระทำของผู้ตายเพียงลำพังและโดยฉับพลันในขณะนั้นเอง การกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องเสี่ยงที่ผู้ตายต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก
การเสียชีวิต มิใช่ผลจากการกระทำของจำเลยที่ 1-3 ส่วนที่ว่าจำเลยที่ 1-3 ไม่ห้ามหรือทักท้วงมิให้มีการจัดหาบริการสุรา แอลกอฮอล์ หรือของมึนเมาอย่างอื่นเสพในขณะล่องเรือ ไม่จัดให้ผู้ตายซึ่งมึนเมาสุรา แอลกอฮอล์นั่งประจำที่ หรืออยู่ในจุดที่ปลอดภัย และสวมใส่เสื้อชูชีพขณะผู้ตายเดินไปบริเวณท้ายเรืออันเป็นจุดอันตราย และมิได้แจ้งให้คนขับเรือหยุดหรือโยนอุปกรณ์ช่วยเหลือให้แก่ผู้ตายเมื่อพลัดตกน้ำนั้น ก็ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายให้ผู้โดยสารต้องกระทำการ หรือไม่กระทำการดังกล่าว แต่เป็นหน้าที่ของนายเรือ หรือบุคคลประจำเรือที่ต้องปฏิบัติ จำเลยที่ 1-3 ไม่มีหน้าที่อย่างหนึ่งอย่างใดตามกฎหมายที่จะต้องกระทำการ หรือละเว้นกระทำการดังกล่าว เมื่อโจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ 1-3 ประมาท จำเลยที่ 1-3 จึงไม่มีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ประเด็นที่สอง การที่จำเลยที่ 2 เทและทิ้งขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลายขวด และแก้วสำหรับใส่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลายแก้ว ซึ่งเป็นสิ่งของลงในแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นความผิดหรือไม่
ศาลฟังพยานและวินิจฉัยโดยสรุปว่า พยานโจทก์เบิกความว่า เห็นจำเลยที่ 2 เก็บของและขนกล่องน้ำแข็งและถุงสีดำ ซึ่งจำเลยที่ 2 เบิกความรับว่า ตนทิ้งขวดและแก้วแอลกอฮอล์ลงในแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะบนเรือไม่มีถุงขยะ เจือสมกับคำเบิกความพยานโจทก์ การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2456 มาตรา 119
นอกจากนี้ขวดแอลกอฮอล์และแก้วเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุ อันน่าจะพิสูจน์ได้ว่านายตนุภัทร ซึ่งทำหน้าที่ขับเรือกระทำการโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย การที่จำเลยที่ 2 ทิ้งขวดแอลกอฮอล์และแก้วลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ย่อมเป็นการทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184
ประเด็นที่สาม การที่จำเลยที่ 3 ลบภาพตามที่นายตนุภัทรสั่งให้ลบ เป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184 และจำเลยที่ 3 แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนหรือไม่
ศาลฟังพยานและวินิจฉัยโดยสรุปว่า ภาพถ่ายที่ลบเป็นภาพทั่วไป ไม่ปรากฏภาพถ่ายที่จะเป็นการช่วยมิให้นายตนุภัทรต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง จำเลยที่ 3 จึงไม่ได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184
ส่วนความผิดฐานแจ้งความเท็จนั้น ความเท็จที่แจ้ง ต้องเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดหรือเป็นข้อสำคัญในคดี มิใช่เป็นเพียงรายละเอียด การแจ้งจำนวนขวดแอลกอฮอล์ผิดไปจากความเป็นจริง ไม่เป็นเหตุที่จะเกิดความผิดอันจะต้องมีการสอบสวน จำเลยที่ 3 จึงไม่ได้กระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ประเด็นที่สี่ จำเลยที่ 4 แนะนำจำเลยที่ 1-3 นายตนุภัทร และนายไพบูลย์มิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง เพื่อประวิงเวลาเลื่อนพบกับเจ้าพนักงานตำรวจ กับใช้ ยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีการใดให้จำเลยที่ 1-3 นายตนุภัทร และนายไพบูลย์ แจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวนหรือไม่
ศาลฟังพยานและวินิจฉัยโดยสรุปว่า พยานที่โจทก์นำสืบ ต่างไม่ได้ยืนยันถึงการกระทำความผิดของจำเลย อีกทั้งโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุนข้อเท็จจริงให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 4 กระทำการเช่นนั้นจริง จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 กระทำความผิดตามฟ้อง
คดีจึงพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184 และ พ.ร.บ.เดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2456 มาตรา 119 รวมจำคุก 6 เดือนและปรับ 24,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นควรให้โอกาสกลับตนเป็นพลเมืองดีสักครั้ง จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 1 ปี
พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1, 3, 4 กับยกคำร้องขอให้จำเลยที่ 1-3 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
Cr: FB สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว