[RE: เฟอร์กี้มีส่วนทำให้เกลเซอร์เข้ามาเป็นเจ้าของจริงป่าวครับ]
เรื่องราวโดยย่อ
ความสัมพันธ์เริ่มต้น: เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีความหลงใหลในการแข่งม้าและกลายเป็นเพื่อนกับจอห์น แม็กเนียร์ และเจพี แม็คมานัส ซึ่งเป็นนักธุรกิจชาวไอริชผู้ร่ำรวยและเป็นเจ้าของ คูลมอร์ (Coolmore) ฟาร์มม้าชั้นนำระดับโลก ทั้งสองคนนี้ลงทุนในแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในช่วงต้นปี 2000 โดยผ่านบริษัท Cubic Expression และกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของสโมสร
ม้าแข่งร็อก ออฟ ยิบรอลตาร์: ในปี 2000 ม้าแข่งชื่อร็อก ออฟ ยิบรอลตาร์ ซึ่งฝึกโดยคูลมอร์ ถูกจดทะเบียนภายใต้ชื่อของเซอร์ อเล็กซ์ และซูซาน แม็กเนียร์ (ภรรยาของจอห์น แม็กเนียร์) ร็อก ออฟ ยิบรอลตาร์กลายเป็นม้าแข่งที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก คว้าชัยชนะ 7 รายการใหญ่ในปี 2001-2002 ซึ่งทำให้ม้ามีมูลค่าสูงมาก
ข้อพิพาทเรื่องสิทธิ: ความขัดแย้งเริ่มต้นเมื่อร็อก ออฟ ยิบรอลตาร์เกษียณจากการแข่งขันในปี 2003 และถูกนำไปใช้เป็นม้าพ่อพันธุ์ (stud) ซึ่งสร้างรายได้มหาศาลจากค่าผสมพันธุ์ เฟอร์กูสันเชื่อว่าเขามีส่วนเป็นเจ้าของม้าและควรได้รับส่วนแบ่ง 50% จากค่าผสมพันธุ์ (ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลถึง 250 ล้านยูโร) แต่คูลมอร์ยืนยันว่าไม่มีข้อตกลงดังกล่าว เฟอร์กูสันเพียงได้รับสิทธิ์ในชื่อและส่วนแบ่งจากเงินรางวัลการแข่งขันเท่านั้น ไม่รวมถึงค่าผสมพันธุ์
การฟ้องร้องและความตึงเครียด: เฟอร์กูสันยื่นฟ้องแม็กเนียร์เป็นมูลค่า 150 ล้านยูโรเพื่อเรียกร้องส่วนแบ่งค่าผสมพันธุ์ ความขัดแย้งนี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม็กเนียร์และแม็คมานัสแตกหัก แม็กเนียร์ตอบโต้ด้วยการจ้างนักสืบเอกชนเพื่อขุดคุ้ยข้อมูลเกี่ยวกับเฟอร์กูสัน และส่งเอกสาร "99 คำถาม" ไปยังบอร์ดบริหารของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยตั้งคำถามเกี่ยวกับการทำธุรกิจของเฟอร์กูสัน รวมถึงข้อกล่าวหาว่าเจสัน เฟอร์กูสัน (ลูกชายของเซอร์ อเล็กซ์) ได้ประโยชน์จากดีลการซื้อนักเตะผ่านเอเยนต์ของเขา
ผลกระทบต่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด: ข้อพิพาทนี้สร้างความไม่มั่นคงในสโมสร แฟนบอลที่ภักดีต่อเฟอร์กูสันประท้วงต่อต้านแม็กเนียร์และแม็คมานัส สถานการณ์นี้เปิดโอกาสให้ มัลคอล์ม เกลเซอร์ (Malcolm Glazer) นักธุรกิจชาวอเมริกัน ซึ่งถือหุ้นในแมนยูอยู่แล้ว เข้ามาซื้อหุ้น 28.8% จากแม็กเนียร์และแม็คมานัสในปี 2005 ซึ่งทำให้เกลเซอร์กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และเข้าควบคุมสโมสรในที่สุด การเข้าซื้อกิจการของเกลเซอร์นำไปสู่หนี้สินจำนวนมากและความไม่พอใจของแฟนบอลยูไนเต็ดในระยะยาว
การยุติข้อพิพาท: ในที่สุด แม็กเนียร์ตกลงจ่ายเงินชดเชยให้เฟอร์กูสันประมาณ 3 ล้านยูโรเพื่อยุติคดี แต่ความเสียหายต่อความสัมพันธ์และโครงสร้างสโมสรได้เกิดขึ้นแล้ว
...............................................................................
1. ด้านกฎหมาย: เฟอร์กูสันมีสิทธิในม้าหรือไม่?
ข้อเท็จจริง: ร็อก ออฟ ยิบรอลตาร์ ถูกจดทะเบียนโดยมีชื่อของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และซูซาน แม็กเนียร์ (ภรรยาของจอห์น แม็กเนียร์) เป็นเจ้าของร่วม แต่ไม่มีเอกสารหรือสัญญาที่ชัดเจนระบุว่าเฟอร์กูสันมีสิทธิในส่วนแบ่งจาก ค่าผสมพันธุ์ (stud fees) ซึ่งเป็นประเด็นหลักของข้อพิพาท คูลมอร์ (บริษัทของแม็กเนียร์) ยืนยันว่าเฟอร์กูสันมีสิทธิเพียงในส่วนแบ่งจาก เงินรางวัลการแข่งขัน เท่านั้น ไม่รวมถึงรายได้จากการผสมพันธุ์หลังม้าเกษียณ
มุมมอง: จากมุมมองกฎหมาย หากไม่มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรที่ระบุว่าเฟอร์กูสันมีสิทธิในค่าผสมพันธุ์ การอ้างสิทธิของเขาจะอ่อนแอมาก วงการม้าแข่งมักมีข้อตกลงที่ชัดเจนเรื่องการเป็นเจ้าของและส่วนแบ่งรายได้ การที่เฟอร์กูสันเชื่อว่าเขาควรได้ส่วนแบ่ง 50% อาจมาจากการตกลงด้วยวาจาหรือความเข้าใจผิด ซึ่งไม่เพียงพอในทางกฎหมายเมื่อเทียบกับอิทธิพลและความเชี่ยวชาญของคูลมอร์ในธุรกิจนี้
ผลลัพธ์: การที่คดีจบลงด้วยการที่แม็กเนียร์จ่ายเงินชดเชยราว 3 ล้านยูโรให้เฟอร์กูสัน แสดงว่าอาจมี "พื้นที่สีเทา" ในข้อตกลง ซึ่งคูลมอร์เลือกจ่ายเงินเพื่อยุติข้อพิพาทมากกว่าสู้คดีต่อ แต่จำนวนเงินนี้ต่ำกว่าที่เฟอร์กูสันเรียกร้อง (150 ล้านยูโร) มาก แปลว่าเขาอาจไม่มีสิทธิเต็มที่ตามที่คิด
สรุปด้านกฎหมาย: เฟอร์กูสันน่าจะไม่มีสิทธิในค่าผสมพันธุ์ตามสัญญาที่ชัดเจน ดังนั้นในแง่กฎหมาย เขาอาจ "ผิด" ที่เรียกร้องส่วนแบ่งมหาศาลโดยไม่มีเอกสารยืนยัน
2. ด้านจริยธรรมและความสัมพันธ์
ความสัมพันธ์ส่วนตัว: เฟอร์กูสันกับแม็กเนียร์และแม็คมานัสมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก่อนหน้านี้ในฐานะเพื่อนและหุ้นส่วนธุรกิจ (ทั้งคู่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในแมนยู) เฟอร์กูสันอาจรู้สึกว่าในฐานะ "เจ้าของร่วม" ในชื่อ เขาควรได้รับส่วนแบ่งจากความสำเร็จของร็อก ออฟ ยิบรอลตาร์ โดยเฉพาะเมื่อม้าตัวนี้กลายเป็นแหล่งรายได้มหาศาล การที่คูลมอร์ปฏิเสธส่วนแบ่งอาจทำให้เขารู้สึกถูกเอาเปรียบ
พฤติกรรมของทั้งสองฝ่าย: ในทางกลับกัน การที่แม็กเนียร์ตอบโต้ด้วยการจ้างนักสืบเอกชนและส่ง "99 คำถาม" เพื่อโจมตีเฟอร์กูสันในเรื่องการบริหารสโมสรและการทำธุรกิจของลูกชาย (เจสัน เฟอร์กูสัน) แสดงถึงความพยายามกดดันที่รุนแรง ซึ่งอาจมองได้ว่าเป็นการกระทำที่ "ไม่แฟร์" หรือเกินกว่าเหตุ
มุมมอง: จากมุมจริยธรรม เฟอร์กูสันอาจ "ถูก" ในแง่ที่เขารู้สึกว่าควรได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมจากเพื่อนและหุ้นส่วน แต่การยื่นฟ้องเรียกเงิน 150 ล้านยูโรโดยไม่มีหลักฐานชัดเจนอาจดูเป็นการ "หวังสูงเกินไป" ในขณะที่ฝั่งคูลมอร์ก็อาจถูกมองว่า "ตีสองหน้า" เพราะใช้ประโยชน์จากชื่อของเฟอร์กูสันในการโปรโมตม้า แต่ไม่แบ่งปันผลประโยชน์ในภายหลัง
สรุปด้านจริยธรรม: ทั้งสองฝ่ายมีส่วนถูกและผิด เฟอร์กูสันอาจรู้สึกถูกต้องตามความรู้สึก แต่การกระทำของทั้งสองฝ่ายทำให้ความขัดแย้งบานปลายเกินจำเป็น
สรุปสุดท้าย
ด้านสิทธิ: เฟอร์กูสันน่าจะไม่มีสิทธิในค่าผสมพันธุ์ตามกฎหมาย ดังนั้นเขา "ผิด" ที่เรียกร้องโดยไม่มีหลักฐานชัดเจน
ด้านจริยธรรม: เขาอาจ "ถูก" ในแง่ความรู้สึกที่คิดว่าควรได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมจากเพื่อน แต่ทั้งสองฝ่ายจัดการความขัดแย้งได้ไม่ดี
................................................................................
อ่านจนจบได้แต่อิหยังวะ ป๋าครับ วงการม้าเขาต้องระบุสัญญา อะไรคือจะไปเรียกร้องค่าผสมพันธุ์ม้ากับเขา ผมงง.............. แถมเขายังยอมจ่ายเงินให้ส่วนหนึ่งโดยเพื่อจบปัญหา
ปล.ขื่อยูส ไอ้ม้า ต้องมาแล้ว