ดาวซัลโวยุโรป
Status:

: 0 ใบ

: 0 ใบ
เข้าร่วม: 23 Jun 2009
ตอบ: 11114
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu May 22, 2025 20:51
[RE: [TOT] มันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ...จนถึงวันนี้]
การแข่งขันฟุตบอลแค่นัดเดียว ส่งสเปอร์สขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ และ ส่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ร่วงไปสู่ขุมนรก
นัดชิงยูโรป้าลีกที่บิลเบา คือแมตช์ที่เรียกว่า winner takes it all คนชนะจะได้ทุกอย่าง ได้โทรฟี่แชมป์, ได้โควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, ได้ลงแข่งยูฟ่า ซูเปอร์คัพ, ได้ความศรัทธาของแฟนบอลคืนกลับมา, ได้เงินรางวัลมากกว่า และที่สำคัญได้เห็นอนาคต
แต่ผู้แพ้จะไม่ได้อะไรเลย และจะจมอยู่กับความผิดหวังอย่างแสนสาหัสไปอีกหลายเดือน หรือ หลายปี
ก่อนการแข่งจะเริ่ม ทั้งสองทีมมีผลงานที่เลวร้ายพอกันในพรีเมียร์ลีก แมนฯ ยูไนเต็ดอยู่อันดับ 16 มี 39 แต้ม ส่วนสเปอร์สอยู่อันดับ 17 มี 38 แต้ม คือเป็นอันดับที่แย่มาก ใกล้โซนสีแดงแบบสุดๆ
เอาเป็นว่า บางซีซั่นถ้าคุณทำแต้มได้แค่ 38-39 แต้ม เผลอๆ ร่วงตกชั้นไปแล้วด้วย
ตั้งแต่ก่อตั้งพรีเมียร์ลีก ทั้งคู่ ไม่เคยอยู่อันดับต่ำขนาดนี้
คิดดูว่ามันบ้าขนาดไหน แมนฯ ยูไนเต็ดแพ้ 18 นัดในฤดูกาลเดียว เช่นเดียวกับสเปอร์ส แพ้ 21 นัดในฤดูกาลเดียว เป็นปีที่หายนะมากๆ
มีแค่แชมป์ยูโรป้าลีกเท่านั้น ที่จะทำให้ฤดูกาลอัปยศ แปรเปลี่ยนเป็นฤดูกาลที่ดีได้ มันคือลิฟต์วิเศษที่จะนำพาคุณออกจากหุบเหวนรก แต่ก็แน่นอน มีเพียงแค่ทีมเดียวเท่านั้น ที่จะได้สิทธิ์ขึ้นลิฟต์นี้
แม้จะฟอร์มแย่พอกัน แต่ถ้าดูจากสถิติต่างๆ แล้ว สเปอร์สกุมความได้เปรียบบางอย่างอยู่
- ในฤดูกาลนี้ สเปอร์ส เจอ แมนฯ ยูไนเต็ด 3 ครั้ง (พรีเมียร์ลีก 2, คาราบาวคัพ 1) เอาชนะรวดทุกเกม
- สเปอร์สไม่แพ้แมนฯ ยูไนเต็ด มา 6 เกมติดต่อกันแล้ว
- แอนจ์ โปสเตโคกลู ผู้จัดการทีมสเปอร์ส กล่าวไว้ชัดเจนว่า "ผมมักจะได้แชมป์อะไรสักอย่างตอนคุมทีมปีที่ 2" ซึ่งเขาไม่ได้โกหก ตอนย้ายมาคุมโยโกฮาม่า มารินอส ปีแรก (2018) เขาพาทีมจบอันดับ 12 ของเจลีก แต่ปีที่สอง (2019) พามารินอสเป็นแชมป์เจลีกเฉยเลย
- ฤดูกาลนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นปีของทีมที่ร้างแชมป์มานาน จะได้ผงาดบ้าง นิวคาสเซิลได้แชมป์บอลถ้วยในประเทศ ครั้งแรกในรอบ 70 ปี, คริสตัล พาเลซ ได้แชมป์แรกในรอบ 119 ปี ดังนั้นสเปอร์ส ที่ได้แชมป์ครั้งสุดท้ายเมื่อ 17 ปีก่อน ก็มีแววที่จะประสบความสำเร็จเหมือนนิวคาสเซิล และ พาเลซ
- อันเดร โอนาน่า มีสถิติประหลาดหนึ่งอย่าง คือลงแข่งนัดชิงยุโรปเมื่อไหร่ แพ้เมื่อนั้น ปี 2017 อยู่อาแจ๊กซ์ ลงแข่งยูโรป้าลีกนัดชิง แพ้แมนฯ ยูไนเต็ด จากนั้นในปี 2023 อยู่อินเตอร์ ลงแข่งแชมเปี้ยนส์ลีกนัดชิง แพ้แมนฯ ซิตี้ เหมือนว่าโชคชะตาเขาไม่ค่อยลงล็อกกับถ้วยยุโรป
ดังนั้นถ้าคิดในเชิงทฤษฎีสมคบคิด ก็ดูว่าสเปอร์ส จะมีโอกาสคว้าแชมป์ได้มากกว่า
แต่แน่นอน นั่นก็เป็นแค่สถิติเฉยๆ ถ้าคนที่เชียร์ฝั่งแมนฯ ยูไนเต็ด ก็มีสถิติบางอย่างให้อุ่นใจได้ เช่น คาเซมิโร่ สร้างสถิติ ลงเล่นใน "เกมนัดชิงยุโรป" ทั้งหมด 7 ครั้ง คว้าชัยชนะได้ครบทั้ง 7 หน ดังนั้นก็มีโอกาสจะทำครั้งที่ 8 ได้ด้วย
รวมถึงสภาพความพร้อมของทีม ที่ตัวเจ็บของสเปอร์สเยอะกว่า เดยัน คูลูเซฟสกี้ ต้องใช้ไม้เท้าช่วยเดิน, เจมส์ แมดดิสัน เจ็บเข่า, ลูคัส เบิร์กวาลล์ เจ็บข้อเท้า, ราดู ดรากูซิน ผ่า ACL ฯลฯ ตัวเจ็บคือเพียบ ขณะที่ฝั่งแมนฯ ยูไนเต็ด ลงไม่ได้สองตัว คือลิซานโดร มาร์ติเนซ กับ มัทไธส์ เดอ ลิกต์ คือก็เจ็บน้อยกว่าฝั่งสเปอร์ส
เวลาตีสองที่ไทย การแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ประตูเดียวในเกมนี้ เกิดขึ้นจากจังหวะชุลมุนในครึ่งแรก แบรนแนน จอห์นสัน ตามซ้ำบอลที่กระเด้งโดนลุค ชอว์ ยิงเข้าประตูไป ให้สเปอร์สนำ 1-0
จริงๆ นัดนี้ ถ้าเทียบกันตรงๆ แมนฯ ยูไนเต็ด "ไล่อัด" แบบวันเวย์ ทั้งเกมสเปอร์สได้ยิงตรงกรอบแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ก็คือประตูชัยของจอห์นสันนั่นแหละ
- แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ยิง 16 ครั้ง (เข้ากรอบ 6) สเปอร์สได้ยิง 3 (เข้ากรอบ 1)
- แมนฯ ยูไนเต็ด ครองบอลมากกว่าเพียบ (73% ต่อ 27%)
- แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะลูกกลางอากาศมากกว่า
- แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เตะมุมมากกว่า
- แมนฯ ยูไนเต็ด จ่ายบอลเข้าเป้ามากกว่า, เลี้ยงผ่านบ่อยกว่า
วัดจากสถิติอย่างเดียว สเปอร์สเป็นรองทุกกระบวนท่า แต่ปัญหาของฝั่งแมนฯ ยูไนเต็ด คือไม่มีใครที่จบสกอร์ได้ชัวร์เลย ได้โอกาสมาก็ปิดไม่ลง
ราสมุส ฮอยลุนด์ อยู่ในสนาม 70 นาที ยิงตรงกรอบไป 1 ครั้ง เช่นเดียวกับเมสัน เมาท์ อยู่ 70 นาทีเหมือนกัน จ่ายเข้าเป้าทั้งเกมแค่ 8 หน
ในระบบ 3 เซ็นเตอร์แบ็กของรูเบน อโมริม แผนนี้จะได้ผล ถ้าหากวิงแบ็กสองข้าง เล่นเกมรุกได้ยอดเยี่ยม เหมือนอย่างเลเวอร์คูเซ่น มีอเล็กซ์ กริมัลโด้ กับ เจเรมี่ ฟริมปง แต่กับแมนฯ ยูไนเต็ด แพทริก ดอร์กู ครอสบอลเข้าเป้าทั้งเกม 0 ครั้ง ส่วนนุสแซร์ มาซราอุย ครอสบอลเข้าเป้า 1 ครั้ง มันก็ไม่มีพาวเวอร์อะไรจะไปเจาะสเปอร์สได้อยู่แล้ว
ฝั่งสเปอร์ส เล่นอย่างรอบคอบมาก พวกเขาใช้โควต้าเปลี่ยนตัวไม่ครบด้วยซ้ำ เปลี่ยนเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เช่น ริชาร์ลิซอน บาดเจ็บ เล่นไม่ไหว ก็เอาซน ฮึง-มิน ลงมาแทน ในนาทีที่ 66
สภาพร่างกายของ ซน ไม่ได้ฟิตขนาดนั้น เขาเจ็บเท้า ต้องพักมา 7 เกม เพิ่งจะหายกลับมาเล่นได้ ใน 2 เกมล่าสุดเท่านั้นเอง เกมนี้เราก็เห็นเลยว่า สภาพของเขายังไม่พร้อม กระชากไม่ผ่านคู่ต่อสู้ แต่ก็ยังดีที่ซนพอเรียกฟาวล์ได้บ้าง และมีวินัยในเกมรับมาก ถอยลงมาช่วยเพื่อนตลอดเวลา
แมนฯ ยูไนเต็ด พยายามเต็มที่จริงๆ โดยเฉพาะในช่วง 15 นาทีสุดท้าย บดแล้วบดอีก แต่พวกเขาทำไม่สำเร็จ หมดเวลาการแข่งขันสเปอร์สชนะ 1-0 คว้าแชมป์ยูโรป้าลีกไปครอง
ผลลัพธ์ออกมาแบบนี้ แปลว่าสเปอร์สได้ทุกอย่าง ส่วนแมนฯ ยูไนเต็ด สูญเสียทุกอย่าง
ที่อังกฤษ จะมีมุกหนึ่งที่คนชอบเล่นกัน คือ เวลาทีมไหนฟอร์มแย่มา แล้วมาเจอสเปอร์สนัดต่อไป ก็จะมีประโยคที่พูดขึ้นมาว่า "เดี๋ยวคุณหมอสเปอร์สจะช่วยรักษาคุณให้นะ" ความหมายคือ เดี๋ยวเกมต่อไป อัดสเปอร์สละกัน จะได้เยียวยาใจให้ดีขึ้น แต่ในวันนี้ก็ชัดเจนว่า คุณหมอสเปอร์ส ไม่เล่นด้วย และปล่อยให้ทีมปีศาจแดงบาดเจ็บหนักอย่างสาหัส
ในรูปเกมนั้น สเปอร์ส ไม่ได้เล่นดีมาก แต่เพียงพอที่จะชนะ ในนัดใหญ่แบบนี้ ไม่ต้องมาเล่นสวยกันแล้ว แชมป์เท่านั้นสำคัญที่สุด
นี่คือชัยชนะของโปสเตโคกลู ของซน ฮึง-มิน และนักเตะทุกคนในทีมไก่เดือยทอง
โปสเตโคกลู โดนด่า โดนแซะ มาตลอดซีซั่น คือผลงานในลีกมันก็แย่จริงๆ แต่หมัดน็อกโป้งเดียวครั้งนี้ ทำให้แฟนบอลให้อภัยเขาได้ ไม่ว่าปีหน้าสโมสรจะไปต่อกับโปสเตโคกลูหรือไม่ แต่อย่างน้อย เขาก็ได้จารึกชื่อแล้ว ว่าเป็นโค้ชที่พาทีมเป็นแชมป์ได้ในรอบ 17 ปี
ขณะที่ซน ฮึง-มิน ตั้งแต่เล่นฟุตบอลอาชีพมา เคยได้แชมป์ 1 ครั้งถ้วน คือ เอเชียนเกมส์ 2018 ที่อินโดนีเซียกับทีมชาติเกาหลีใต้ ซึ่งนั่นก็คือทีม u-23
แต่กับทีมชุดใหญ่ ทั้งสโมสร ทั้งทีมชาติ เขาไม่เคยได้แชมป์อะไรเลยแม้แต่หนเดียว
ตั้งแต่เทิร์นโปร เป็นมืออาชีพในปี 2010 ซนนี่ เคยเข้าชิงในเกมฟุตบอลทั้งหมด 3 ครั้งเท่านั้น ประกอบด้วย
2015 เอเชียนคัพ แพ้ ออสเตรเลีย
2019 ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แพ้ ลิเวอร์พูล
2021 คาราบาวคัพ แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ทุกครั้งที่เข้าชิง ก็แพ้ตลอด เขายังไม่เคยได้แชมป์อะไรเลยในชีวิต ดังนั้นนี่คือครั้งแรก ที่ได้ชูถ้วยแชมป์อะไรสักอย่าง มันคือความภูมิใจสูงสุดแล้ว
ที่น่าตลกนิดนึง คือในปี 2015 เอเชียนคัพ นัดชิงชนะเลิศ เกมที่เกาหลีใต้ของซน แพ้ ออสเตรเลีย โค้ชของฝั่งออสเตรเลียคือ โปสเตโคกลู
ก็แปลกดี ที่โค้ชที่ยัดเยียดความพ่ายแพ้ในนัดชิงให้ซน เป็นคนแรกเมื่อ 10 ปีก่อน ในวันนี้ จะเป็นคนมอบชัยชนะนัดชิงเกมแรกให้กับเขา
สำหรับซน ฮึง-มิน ไม่ใช่แค่ความภูมิใจส่วนตัว แต่เขาดีใจมาก ที่สามารถทำเพื่อสเปอร์สได้สำเร็จ
ซน ย้ายมาสเปอร์สในปี 2015 และอยู่กับทีมมายาวนาน 10 ฤดูกาล คว้ารางวัลส่วนตัวมาแล้วมากมาย ทั้งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก และ ปุสกัสอวอร์ด แต่สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือ "แชมป์" ร่วมกับทีม
ซน มีโอกาสมากมายที่จะย้ายออกจากสเปอร์ส ไปอยู่ทีมที่มีโอกาสได้แชมป์มากกว่านี้ แต่เขารักสโมสรแห่งนี้ และต่อสัญญามา 2 รอบ เพื่ออยู่กับทีมมาเรื่อยๆ เป็นแกนหลักให้ทีม ในยามที่ทุกอย่างปั่นป่วน
หลักคิดของซน คือถ้าคีย์แมนทิ้งทีมไปหมด แล้วสโมสรจะอยู่อย่างไร เขาอยากอยู่ตรงนี้ อยู่เพื่อทีม อยู่เพื่อแฟนบอล
ในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก 2019 ครั้งสุดท้ายที่ทีมไก่เดือยทองได้ลงเล่นรอบชิง นักเตะ 14 คนที่ลงสนามในวันนั้นของสเปอร์ส ลงเหลือมาถึงวันนี้แค่ 1 คนเท่านั้น ก็คือ ซนนี่ นั่นเอง
แน่นอน เรื่องฟอร์มในสนามอาจดร็อปลงตามอายุ พร้อมทั้งปัญหาส่วนตัวนอกสนามที่ทำให้ใจไม่สงบ แต่ซนก็ยังพยายามเสมอ เขาอยากเป็นกัปตัน และรุ่นพี่ที่ดี ที่คอยให้คำแนะนำรุ่นน้องในทีมในแง่มุมต่างๆ
10 ปีที่อยู่ด้วยกันมา แม้จะไม่ได้แชมป์อะไร แต่หลายคนยกย่อง ซน ว่าเป็นตำนาน เพราะยุคนี้ ยากมากที่จะมีนักเตะคนไหนอยู่กับสโมสรหนึ่งได้ 10 ปีเต็ม
แต่ซน ไม่กล้ารับคำนั้น เขาบอกตอนต้นซีซั่นว่า "ผมอยากจะถูกเรียกว่าเป็นตำนานของสเปอร์ส แต่ผมไม่คู่ควรกับคำนั้น ถ้ายังไม่พาทีมชนะรายการอะไรได้"
หลังจบเกม นัดชิงยูโรป้าลีก พิธีกรช่อง TNT Sports ถามซนว่า "คุณเป็นตำนานหรือยังตอนนี้?" ซนตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะว่า
"Let's say I'm a legend" (เอาเป็นว่า ผมพูดได้แล้วนะ ว่าเป็นตำนานคนหนึ่ง)
คำว่าตำนานที่ครั้งหนึ่งไม่กล้ายอมรับ ซนนี่รับมันไว้อย่างเต็มใจ เพราะเขาพาทีมไปถึงเส้นชัยได้แล้วจริงๆ
17 ปีอันยาวนานที่ไม่มีโทรฟี่ของสเปอร์ส ซนนี่ปลดล็อกมันลงได้แล้ว
ฝั่งสเปอร์สมีแต่ความสุข มีอนาคตดีๆ รออยู่ ขบวนพาเหรดสนุกๆ ที่ลอนดอน บรรยากาศฉลองแชมป์นัดสุดท้ายในบ้านตัวเอง แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว
ขณะที่ปีหน้า มีฟุตบอลแชมเปี้ยนส์ลีกเข้ามา มีรายได้จากบอลยุโรปปีหน้าอีกนับร้อยล้านปอนด์ แฟนบอลเฝ้าฝันจะได้เห็นการเสริมทัพที่แข็งแกร่ง เพราะนักเตะคนไหน ก็อยากมาเล่นกับทีมที่อยู่ในแชมเปี้ยนส์ลีกทั้งนั้น
แต่ในขณะที่มีคนสุข ก็ต้องมีคนทุกข์ มันช่วยไม่ได้จริงๆ
ฝั่งแมนฯ ยูไนเต็ด ความพ่ายแพ้เกมนี้ คือความทรมานอย่างแสนสาหัส เพราะพวกเขาเสียโอกาสทุกอย่าง
นัดเดียวเท่านั้น ที่จะพาสโมสร กลับสู่ทิศทางที่ควรจะเป็น ขอแค่ชนะเกมนี้เกมเดียวก็พอ
โดนแมนฯ ซิตี้ ถล่ม 4-0, โดนลิเวอร์พูลถล่ม 5-0 ถ้าขอแลกมากับเกมนี้นัดเดียว พวกเขาก็ยอม แต่มันน่าเจ็บใจมาก ที่ทำไม่ได้
ความน่าผิดหวังเกิดขึ้นเต็มไปหมด นักเตะในทีมเค้นศักยภาพออกมาไม่ได้ ขณะที่เรื่องแท็กติกก็น่าเซ็ง เพราะ แมนฯ ยูแพ้สเปอร์สมาแล้ว 3 ครั้งในฤดูกาลนี้ ใครจะเชื่อว่าคุณจะแก้เกมไม่ได้ กล้าๆ จะแพ้อีกเป็นหนที่ 4 ไม่ได้เรียนรู้อะไรบ้างเลยหรือ จากนัดที่ผ่านๆ มา
บรรยากาศของแมนฯ ยูไนเต็ด มีน้ำตา มีความเศร้า มีความโมโห แน่นอนว่าต้องใช้เวลาเยียวยาความเจ็บนี้อีกพักใหญ่เลยทีเดียว
แต่ถ้ามองโลกในแง่ดีจากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ อย่างแรกคือ จะได้เผชิญหน้าความจริงไปเลย ว่าสภาพสโมสรตอนนี้มันเลวร้ายแค่ไหน คุณภาพผู้เล่นเอาจริงๆ มีกี่คนที่พร้อมจะเล่นกับทีมระดับแมนฯ ยูไนเต็ด
คือถ้าได้แชมป์ยูโรป้าลีก ผู้บริหารทีมอาจจะกลบเกลื่อนเอาตัวรอด ด้วยการอ้างแชมป์ และไม่แก้ไขปัญหาที่ควรจะแก้เสียที อาจยื้อใช้นักเตะบางคนไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่คุณภาพมันก็ได้แค่นั้น
ด้วยอันดับที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 50 ปีของสโมสร แถมไม่มีแชมป์อะไรเลย แมนฯ ยูไนเต็ดต้องรู้แล้วว่า มันต้องผ่าตัดใหญ่ ต้องล้างเครื่อง ไม่ใช่แค่ซ่อมแซมเล็กๆ น้อยๆ
มองโลกในแง่ดีอย่างที่สอง คือ มันไม่ใช่จุดจบของโลก
ซีซั่นแรกของเจอร์เก้น คล็อปป์ ตอนมาคุมลิเวอร์พูล (2015-16) เขาเข้าชิงยูโรป้าลีก กับเซบีญ่า ในเงื่อนไขแบบเดียวกันเป๊ะ คือถ้าชนะได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีก แต่ถ้าแพ้ก็ไม่ได้อะไรเลย รายการยุโรปก็ไม่ได้เล่น
สุดท้ายลิเวอร์พูลแพ้เซบีญ่า สูญเสียทุกอย่าง แต่คล็อปป์ไม่ยอมแพ้ เขามองว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้วนะ ในการเข้าชิงตั้งแต่ปีแรก เขาให้กำลังใจนักเตะทุกคนให้เดินต่อไป จากนั้นพอฤดูกาลที่สอง (2016-17) คล็อปป์พาลิเวอร์พูลจบท็อปโฟร์ทันที และกลับไปแชมเปี้ยนส์ลีกด้วยอันดับในลีก
ทางลัดยูโรป้าลีกไม่ต้อง เดินหน้าไปทางตรงเลยเลยอันดับในตารางลีก
แมนฯ ยูไนเต็ด ก็สามารถมาเวย์นี้ได้เช่นกัน แพ้นัดชิงยูโรป้าแต่ปีต่อมาติดท็อปโฟร์ มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด ปีหน้าไม่มีบอลยุโรปให้กังวลแล้ว มาโฟกัสบอลลีกเต็มๆ เลยดีกว่า
แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ รูเบน อโมริม คือคนที่ใช่จริงๆ หรือเปล่า อย่างตอนลิเวอร์พูลนั้น มั่นใจมาก ว่าคล็อปป์คือคนที่ใช่ ต่อให้แพ้นัดชิงยูโรป้า ก็ต้องให้โอกาสไปต่อ แล้วเคสของอโมริมล่ะ แฟนปีศาจแดงเชื่อใจแค่ไหน ว่าเขาคือคนคนนั้น
บทสรุปของยูฟ่า ยูโรป้าลีก ที่บิลเบา เป็นความรู้สึกที่ขึ้นสุด ลงสุด ของทั้งสองทีม คนที่ดีใจก็เหมือนขึ้นสวรรค์ คนที่เสียใจก็เจ็บปวดเหมือนตกนรก
นี่ล่ะ คือเกม winner takes it all ผู้ชนะกินหมดโต๊ะ และคนที่ชนะในการดวลครั้งนี้ คือสเปอร์ส
ที่สนามซาน มาเมส หลังจบเกม ผู้จัดเปิดเพลง We are the champions ของวงควีน แฟนบอลสเปอร์ส กอดกันบนสแตนด์ ร้องไห้กันอย่างสุขใจ
หมดเวลาแล้วสำหรับผู้แพ้ หมดเวลาสำหรับการโดนถากถาง วันนี้พวกเขาคือแชมป์
ขณะที่ผู้แพ้อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ต้องยอมรับความจริง อดทนความเจ็บปวดไว้ แล้วผ่านมันไปให้ได้
จากนี้ไป ต้องลงลึก เพื่อค้นหาว่าปัญหาอยู่ตรงไหน แก้ไขมันจริงๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้ายไปกว่านี้
สำหรับแฟนบอล คงต้องเชื่อมั่น ศรัทธา และตั้งความหวังกันต่อไป ว่าสักวัน สโมสรจะฟื้นคืนชีพ กลับมาเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ อย่างที่เคยเป็นอีกครั้ง
เครดิต วิเคราะห์บอลจริงจัง