สำนักงานบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศ USA ยุติการติดตามภัยโลกร้อน ด้วยนโยบายของ Trump
สำนักงานบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐฯ (NOAA) ประกาศว่าจะยุติการติดตามและอัปเดตฐานข้อมูลความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ หลังสิ้นปี 2024 ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์อย่างน้ำท่วม คลื่นความร้อน ไฟป่า และพายุ โดยถือเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ลดบทบาทและทรัพยากรของรัฐบาลกลางในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
.
ฐานข้อมูล Billion-Dollar Weather and Climate Disasters ของ NOAA มีมาตั้งแต่ปี 1980 และได้เก็บข้อมูลความเสียหายจากภัยพิบัติใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ หลายร้อยเหตุการณ์ ซึ่งสร้างความเสียหายรวมกันนับล้านล้านดอลลาร์ ฐานข้อมูลนี้ดึงข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น สำนักงานจัดการเหตุฉุกเฉินกลาง (FEMA) บริษัทประกันภัย และหน่วยงานของรัฐ เพื่อประเมินความเสียหายโดยรวมของแต่ละเหตุการณ์
.
โฆษกของ NOAA กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้สอดคล้องกับ "ลำดับความสำคัญ กฎหมาย และโครงสร้างบุคลากรที่เปลี่ยนแปลงไป"
.
นักวิทยาศาสตร์หลายคนแสดงความกังวลว่า การยุติฐานข้อมูลนี้จะทำให้การประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์อากาศสุดขั้วซึ่งทวีความถี่และรุนแรงขึ้นจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องยากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออุตสาหกรรมประกันภัยกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก และประชาชนต้องเผชิญกับเบี้ยประกันที่พุ่งสูง
.
แม้ว่าจะมีแหล่งข้อมูลอื่น เช่น ฐานข้อมูลจากบริษัทประกันเอกชนหรือฐานข้อมูลระดับนานาชาติ แต่นักอุตุนิยมวิทยาหลายคน เช่น เจฟ มาสเตอร์ส จาก Yale Climate Connections ยืนยันว่า ฐานข้อมูลของ NOAA เป็น “มาตรฐานชั้นยอด” สำหรับการประเมินความเสียหายจากภัยพิบัติ
.
ในวันเดียวกัน ยังมีรายงานว่ารักษาการผู้อำนวยการ FEMA ถูกปลดออกจากตำแหน่ง หลังจากที่เขาแสดงความไม่เห็นด้วยกับแผนของทรัมป์ที่จะยุบหน่วยงานดังกล่าว
.
นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์ยังได้ปลดพนักงานของ NOAA หลายร้อยคนในช่วงต้นปี และวางแผนตัดลดเพิ่มเติมอีกกว่า 1,000 ตำแหน่ง ซึ่งคิดเป็นมากกว่า 10% ของบุคลากรในขณะนั้น ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจะส่งผลต่อความแม่นยำของการพยากรณ์อากาศและความปลอดภัยของประชาชน
.
Kristina Dahl นักวิทยาศาสตร์จากองค์กร Climate Central กล่าวว่า “เหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงที่สร้างความเสียหายจำนวนมาก เป็นหนึ่งในวิธีหลักที่สาธารณชนรับรู้ว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศกำลังเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อผู้คน การหยุดติดตามข้อมูลเหล่านี้จะทำให้ชาวอเมริกันมีความเสี่ยงมากขึ้นต่อผลกระทบจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง
https://www.facebook.com/environman.th/posts/pfbid02krjdktoKsv6R4fuvG1preHag4eLDNpj6MufXCSLMXBD1KnDtGNC786ea9JEpD2xyl