ซุปตาร์ยูโร
Status:

: 0 ใบ

: 0 ใบ
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 12916
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon May 05, 2025 15:28
เรื่องชายแดนใต้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ยอมรับเลยว่ายังไม่ตกผลึกเลย
มุมนึงผมก็เห็นด้วยกับส้มว่าความรุนแรงไม่ใช่ทางออก เพราะมันอยู่ในที่มืดเราอยู่ในที่สว่าง เป็นไปได้ยากที่จะกวาดล้างไปจนหมด
แต่อีกมุมนึงผมก็ไม่เชื่อว่าสันติคือทางออก เพราะอิสลามกับอิสลามในหลายๆประเทศก็ยังตีกันเอง
คนอิสลามจะไปทางไหน อยู่ที่ผู้นำศาสนาจะชี้ทาง ไม่ได้มีกฏเกณตายตัว และไม่รู้ว่ามีเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวหรือเปล่า
ช่วงนี้ว่างๆนั่งคุยกับ ChatGPT เลยอยากเอาข้อมูลมาแชร์ ใครมีแนวคิดหรือมุมมองอะไรก็เอามาแชร์ได้เลยอยากอ่าน อยากดู อยากฟัง
1.ตัวอย่างการจัดการกับกลุ่มอิสลามติดอาวุธแบ่งแยกดินแดน
1. ฟิลิปปินส์ – กลุ่ม Moro Islamic Liberation Front (MILF)
ภูมิหลัง: มุสลิมกลุ่ม “โมโร” ในเกาะมินดาเนาเรียกร้องเอกราชมายาวนาน
แนวทางการจัดการ:
- รัฐบาลเริ่มจากการใช้กำลังทหาร แต่ไม่ได้ผลในระยะยาว
- ภายหลังมีการเจรจาสันติภาพ และนำไปสู่ข้อตกลง Bangsamoro Organic Law (BOL)
- จัดตั้งเขตปกครองตนเอง Bangsamoro Autonomous Region in Muslim Mindanao (BARMM)
ผลลัพธ์: ลดความรุนแรงลงอย่างชัดเจน และเปิดทางให้กลุ่มติดอาวุธเข้าสู่ระบบการเมือง
2. อินโดนีเซีย – กลุ่มในจังหวัดอาเจะห์ (Aceh)
ภูมิหลัง: กลุ่มอิสลามในอาเจะห์เรียกร้องเอกราช โดยมีรากฐานจากอัตลักษณ์ทางศาสนาและชาติพันธุ์
แนวทางการจัดการ:
- ใช้กำลังทหารช่วงแรก แต่ความรุนแรงยืดเยื้อ
- ภายหลังเกิดเหตุการณ์สึนามิปี 2004 รัฐบาลใช้โอกาสนั้นเริ่มการเจรจา
- ปี 2005 มีข้อตกลงให้ สิทธิปกครองตนเองสูงและใช้กฎหมายอิสลาม (Sharia) ในท้องถิ่น
ผลลัพธ์: ความขัดแย้งยุติลงได้ในระดับหนึ่ง และพื้นที่สงบขึ้นมาก
3. จีน – มณฑลซินเจียงและกลุ่มอุยกูร์
ภูมิหลัง: กลุ่มชาวมุสลิมอุยกูร์บางส่วนมีแนวโน้มเรียกร้องเอกราช (East Turkestan)
แนวทางการจัดการ:
- จีนใช้มาตรการ ควบคุมอย่างเข้มงวด เช่น การจับกุม การส่งเข้าศูนย์ปรับทัศนคติ การเฝ้าระวังทางเทคโนโลยี
- สร้างโครงการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อบูรณาการกลุ่มอุยกูร์เข้ากับชนกลุ่มอื่น
ผลลัพธ์: ความรุนแรงโดยตรงลดลง แต่ถูกวิจารณ์จากนานาชาติเรื่องสิทธิมนุษยชน
4. รัสเซีย – กลุ่มในเชชเนีย (Chechnya)
ภูมิหลัง: ชาวมุสลิมเชชเนียต้องการแยกตัวออกจากรัสเซีย
แนวทางการจัดการ:
- ใช้ กำลังทหารขั้นเด็ดขาด ในสงครามเชชเนีย 2 ครั้ง
- ภายหลังรัสเซียตั้งผู้นำท้องถิ่น (Ramzan Kadyrov) ที่จงรักภักดีต่อมอสโก แต่ใช้อิสลามเป็นเครื่องมือควบคุมภายใน
ผลลัพธ์: ลดการแบ่งแยกได้ในระยะสั้น แต่ด้วยการใช้กำลังและการกดขี่เป็นหลัก
5. อินเดีย – แคชเมียร์ (Jammu & Kashmir)
ภูมิหลัง: ชาวมุสลิมในแคชเมียร์บางส่วนต้องการแยกตัวจากอินเดีย หรือรวมกับปากีสถาน
แนวทางการจัดการ:
- ส่งกำลังทหารจำนวนมากเข้าไปควบคุม
- จำกัดเสรีภาพสื่อและการชุมนุม
- ปี 2019 อินเดียยกเลิกสถานะปกครองตนเองของแคชเมียร์ (มาตรา 370)
ผลลัพธ์: ควบคุมสถานการณ์ได้บางส่วน แต่ความไม่พอใจในพื้นที่ยังสูง และถูกวิจารณ์เรื่องสิทธิมนุษยชน
6. ไนจีเรีย – Boko Haram
ภูมิหลัง: กลุ่มอิสลามหัวรุนแรงต้องการตั้งรัฐอิสลามในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ
แนวทางการจัดการ:
- ใช้ทหารปราบปรามร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน (Niger, Chad, Cameroon)
- บูรณาการการศึกษาใหม่ในพื้นที่ที่กลุ่มต่อต้านการศึกษาแบบตะวันตก
- โครงการฟื้นฟูอดีตนักรบที่กลับใจ (deradicalization)
ผลลัพธ์: กำลังของ Boko Haram อ่อนลง แต่ยังคงมีการก่อเหตุเป็นระยะ
7. มาลี – กลุ่มติดอาวุธอิสลาม Tuareg & Ansar Dine
ภูมิหลัง: ชาว Tuareg ซึ่งเป็นมุสลิมบางส่วนในภาคเหนือมาลี ต้องการแยกเป็นรัฐ Azawad
แนวทางการจัดการ:
- รัฐบาลมาลีร่วมมือกับฝรั่งเศสและกองกำลัง UN
- มีการเจรจาสันติภาพ แต่ยังไม่ยั่งยืน
- ฝรั่งเศสเคยส่งทหาร (Operation Serval) ไปปราบปรามโดยตรง
ผลลัพธ์: สถานการณ์ยังไม่มั่นคง และมีแนวโน้มกลับมารุนแรง
4 ยุทธศาสตร์โต้กลับ “รัฐอิสลามในอุดมคติ” อย่างมีโครงสร้าง
1. สร้างระบบ “รัฐคู่ขนาน” ที่ไม่ข่มศาสนาแต่ดึงคนเข้าร่วม
เป้าหมาย: ให้ชาวมุสลิมเห็นว่า “อยู่ในรัฐนี้ก็สามารถใช้ชีวิตศาสนาอย่างสมบูรณ์ได้ โดยไม่ต้องสร้างรัฐใหม่”
วิธีการ:
ให้พื้นที่ “กฎหมายศาสนา” ในเรื่องส่วนบุคคล (เช่น ครอบครัว, มรดก, การนับถือศาสนา) โดย ไม่ขยายไปถึงกฎหมายอาญา
อนุญาต “สภาศาสนา” ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย/วินิจฉัยในชุมชน โดยอยู่ใต้ศาลรัฐ
เปิดช่องให้มี “สถาบันศาสนาที่รัฐรับรอง” (เช่น มหาวิทยาลัยอิสลาม, กองทุนซะกาต) ภายใต้การตรวจสอบ
แบบนี้คนเคร่งจะไม่รู้สึกว่า “อยู่ใต้รัฐเถื่อน” และไม่จำเป็นต้องหันหลังให้รัฐ
2. สร้างแนวร่วม “กลุ่มศาสนาแข่งขัน” กับขบวนการรัฐอิสลาม
เป้าหมาย: ไม่ใช้รัฐต่อกรกับอุดมคติศาสนาโดยตรง แต่ให้ “กลุ่มศาสนาอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐอิสลาม” มาสู้กันเองในเวทีศาสนา
วิธีการ:
สนับสนุนโต๊ะครู อุสตาซ ผู้นำศาสนาที่เชื่อในอิสลามประชาธิปไตย ให้มีพื้นที่ในสื่อ เวทีวิชาการ ทุน
จัดให้ผู้นำเหล่านี้ได้โต้วาที หรือนำเสนอทางเลือกทางศาสนาในเวทีชุมชน
ให้ชาวบ้านเลือก อิหม่าม หรือผู้นำมัสยิดผ่านการเลือกตั้งจากคนในชุมชน
แบบนี้จะเปลี่ยนสมรภูมิความเชื่อให้กลายเป็น เวทีแข่งขันภายในศาสนา ไม่ใช่ “รัฐ vs อิสลาม”
3. ทำลายโครงสร้างสนับสนุนทางเศรษฐกิจของขบวนการอิสลามสุดโต่ง
เป้าหมาย: ขบวนการรัฐอิสลามมักอยู่ได้เพราะมีทุน (จากตะวันออกกลาง หรือกิจการฮาลาล)
จึงต้องใช้ “เศรษฐกิจชิงพื้นที่ศรัทธา”
วิธีการ:
ควบคุมเครือข่ายเงินบริจาคซะกาต/วากัฟ ด้วยระบบโปร่งใส (ผ่านธนาคารอิสลามรัฐ)
ส่งเสริมธุรกิจฮาลาลที่รัฐตรวจสอบได้ ไม่ใช่ในมือกลุ่มสุดโต่ง
สนับสนุนชุมชนมุสลิมที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ เช่น สหกรณ์มุสลิม โรงงานฮาลาล กลุ่มเกษตรอินทรีย์
ถ้าคนมีทางอยู่โดยไม่พึ่งเครือข่ายสุดโต่ง ความจำเป็นทางเศรษฐกิจจะลดแรงยึดมั่น
4. สร้าง “ความภูมิใจร่วมใหม่” ที่ไม่ใช่ศาสนาอย่างเดียว
เป้าหมาย: คนที่ฝันถึงรัฐอิสลามในอุดมคติเพราะเขา “ไม่มีอะไรให้ภาคภูมิใจในรัฐเดิม”
รัฐจึงต้องเสนอ “เรื่องเล่าใหม่” ให้เขายึดถือแทน เช่น…
วิธีการ:
รัฐต้องยอมรับว่าอัตลักษณ์มลายูหรืออาหรับ มีที่ยืนในความเป็นชาติ เช่น ภาษา อาหาร ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
สร้างสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ “ผสม” เช่น วันสำคัญร่วม ชุดนักเรียนแบบอิสลาม
ให้มุสลิมเป็นผู้นำในระดับจังหวัด/ภูมิภาคอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ตัวแทนเชิงสัญลักษณ์
ถ้าคนรู้สึกว่าเขา “มีส่วนในชาติ” และ “เป็นเจ้าของบางอย่างร่วมกัน” เขาจะไม่รู้สึกอยากแยกไปตั้งรัฐของตน
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ