คุณช่อและคุณรอมฎอน จี้ทบทวนยุทธศาสตร์ใต้ ชี้ ต้องเจรจา ปราบจับไม่ใช่ทางออก
คุณพรรณิการ์และคุณรอมฎอนเรียกร้องรัฐบาลทบทวนยุทธศาสตร์แก้ปัญหาชายแดนใต้
ชี้สถานการณ์รุนแรงขึ้นเพราะขาดการเจรจา ยืนยันการปราบปรามไม่ใช่ทางออก ต้องเร่งเปิดโต๊ะเจรจาสันติภาพอย่างจริงจัง
เสนอชื่อทักษิณ, จาตุรนต์, ฉัตรชัย หรือ ผบ.ทบ. เป็นหัวหน้าคณะเจรจา เพื่อยุติความรุนแรงต่อพลเรือนโดยเร็วที่สุด
UPDATE: พรรณิการ์ - รอมฎอน จี้รัฐทบทวนยุทธศาสตร์ใต้ ชี้ ต้องตั้งโต๊ะเจรจาให้เร็วที่สุด ยัน การปราบจับไม่ใช่ทางออก มองควรตั้ง หน. คณะเจรจา พร้อมเสนอชื่อ ‘ทักษิณ - จาตุรนต์ - ฉัตรชัย - ผบ.ทบ.’ ย้ำ ต้องทำอย่างจริงจัง'
นางสาวพรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญ (กมธ.) สันติภาพชายแดนใต้ สภาผู้แทนราษฎร และนายรอมฎอน ปันจอร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชน ได้แสดงความเห็นต่อสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยทั้งคู่เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน และเห็นพ้องกันว่าการเจรจาสันติภาพคือทางออกสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจัง แทนที่แนวทางการใช้กำลังปราบปราม
นางสาวพรรณิการ์ ให้สัมภาษณ์กับ The Reporters ว่า กมธ. สันติภาพชายแดนใต้ ได้มีการหารือและสรุปข้อเสนอแนะส่งไปยังรัฐบาลแล้วถึงแนวโน้มสถานการณ์ที่เลวร้ายลง โดยเฉพาะการก่อเหตุต่อพลเรือน ซึ่งมีความกังวลมาก่อนหน้านี้ และเหตุการณ์รุนแรงก็เกิดขึ้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจนับได้ตั้งแต่หลังคดีตากใบหมดอายุความ แต่เฉพาะในเดือนนี้ เริ่มเห็นการเปลี่ยนเป้าหมายไปที่พลเรือนมากขึ้น โดยเฉพาะผู้นำศาสนา ซึ่งอาจถูกมองว่าเชื่อมโยงกับการแก้แค้นเหตุการณ์ในอดีต แต่เหตุการณ์ล่าสุดขยายวงกว้างไปถึงเด็ก คนชรา และผู้พิการ ถือเป็นความรุนแรงที่ทำให้คนในพื้นที่รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างมาก คล้ายกับสถานการณ์ช่วงปี 2547-2551 และอาจนับว่าหนักที่สุดในรอบ 10-20 ปี
อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่มองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนปัญหาการขาดการเจรจา แม้รัฐบาลพลเรือนปัจจุบันจะมีสถานะที่ดีในการสร้างความเชื่อมั่น และมีการแต่งตั้งนายฉัตรชัย บางชวด เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยฯ เมื่อปี 2567 ซึ่งควรจะเป็นหมุดหมายสำคัญในการสานต่อกระบวนการสันติภาพที่ริเริ่มตั้งแต่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่การเจรจากลับหยุดชะงักไป ประกอบกับการที่คดีตากใบหมดอายุความโดยไม่มีผู้รับผิดชอบ อาจสร้างความชอบธรรมให้ขบวนการติดอาวุธใช้เป็นประเด็นโจมตีรัฐ และข่าวลือหรือท่าทีที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการเจรจา รวมถึงแนวคิดเรื่องการนิรโทษกรรมแบบ 66/23 ซึ่งเน้นการวางอาวุธ อาจไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ นางสาวพรรณิการ์ระบุว่าตนเองไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง แต่ประวัติศาสตร์ชี้ว่าความรุนแรงมักปะทุขึ้นเมื่อการเจรจาหยุดชะงัก อาจเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเจรจา หรืออาจมาจากฝ่ายที่ไม่ต้องการเจรจา (สายเหยี่ยว) ที่มีพลังมากขึ้นเมื่อการพูดคุยหายไปนาน
นอกจากนี้ นางสาวพรรณิการ์ยังตั้งข้อสังเกตถึงคำสั่งของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 28 เมษายน ที่กำชับให้ผู้บัญชาการทหารบกทำงานเชิงรุกและรายงานผลใน 7 วัน ซึ่งแม้จะไม่ได้หมายความว่าต้องจบใน 7 วัน แต่อาจถูกตีความในพื้นที่ว่าเป็นการท้าทาย หรือกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้น ซึ่งก็เกิดขึ้นจริงภายในเวลาไม่นานหลังจากนั้น นางสาวพรรณิการ์ย้ำว่า แม้ผู้ก่อเหตุคือผู้ลงมือ แต่ในฐานะประชาชนผู้เสียภาษี ต้องคาดหวังความรับผิดชอบและยุทธศาสตร์ที่รอบคอบจากรัฐบาล ควรทบทวนว่าแนวทางปัจจุบันเป็นการกระตุ้นความรุนแรงหรือไม่ พร้อมชี้ว่าแนวทางการใช้กำลังปราบปรามที่ดำเนินมากว่า 20 ปี ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถยุติปัญหาได้ มีแต่จะซ้ำเติมสถานการณ์ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่การแก้ตัวแทน BRN
นางสาวพรรณิการ์กล่าวว่า การส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรงและการสร้างความเกลียดชังส่งผลกระทบต่อประชาชนมากที่สุด พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายประณามการกระทำรุนแรงต่อพลเรือน และเรียกร้องให้รัฐบาลมีความชัดเจนในยุทธศาสตร์ ว่าจะยุติการเจรจาแล้วดำเนินการอย่างไร หรือจะกลับสู่โต๊ะเจรจา ซึ่ง กมธ. เห็นว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด โดยต้องเร่งเปิดโต๊ะเจรจาให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะได้ตัวจริงมาหรือไม่ในตอนแรก เพื่อสร้างความหวังในการหยุดยิงและลดความรุนแรง นางสาวพรรณิการ์ยังขอร้องรัฐบาลไม่ให้ใช้โศกนาฏกรรมที่เกิดกับผู้บริสุทธิ์เป็นข้ออ้างในการใช้กำลังปราบปราม ซึ่งจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง และเป็นการใช้วิธีแก้ปัญหาที่ไม่สร้างสรรค์ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผล โดยมีชีวิตประชาชนเป็นเดิมพัน นางสาวพรรณิการ์ยืนยันว่า กลุ่ม BRN เคยพิสูจน์แล้วว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในช่วงที่การเจรจาคืบหน้า ดังนั้น การอ้างว่า BRN คุมพื้นที่ไม่ได้จึงไม่ถูกต้อง
ด้านนายรอมฎอน ปันจอร์ สส. พรรคประชาชน แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งแม้จะประเมินไว้ก่อนหน้าว่าสถานการณ์มีแนวโน้มเลวร้ายลง แต่ก็รุนแรงกว่าที่คาดคิด โดยมองว่าเหตุการณ์เหล่านี้เป็นผลมาจากการที่พื้นที่สันติภาพลดน้อยลง จากความไม่ชัดเจนและความไม่จริงจังของรัฐบาลต่อกระบวนการสันติภาพ ซึ่งตนเองเคยเตือนแล้วว่าหากรัฐบาลมีท่าทีเช่นนี้ ประชาชนต้องเตรียมรับมือกับเหตุการณ์รุนแรงที่อาจตามมา ซึ่งข้อมูลจาก กอ.รมน. ก็น่าจะบ่งชี้แนวโน้มนี้มาระยะหนึ่งแล้ว
นายรอมฎอนกล่าวว่า รูปแบบความรุนแรงที่เกิดขึ้นคล้ายกับช่วงปี 2556 และ 2562 ซึ่งเป็นช่วงที่การเจรจาล้มเหลว นอกจากนี้ยังมีความพยายามลดทอนคุณค่าการพูดคุยสันติภาพจากฝ่ายความมั่นคงในช่วงต้นปี 2567 การหมดอายุความคดีตากใบ และภาวะสุญญากาศในการสานต่อการพูดคุยหลังเปลี่ยนรัฐบาล ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยง แม้จะมีความเห็นต่างทางการเมือง แต่การสานต่อการพูดคุยเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ จุดเปลี่ยนล่าสุดคือท่าทีของนายภูมิธรรมที่สั่งทบทวนยุทธศาสตร์ แต่กลับมาเร่งรัดการปฏิบัติการ สะท้อนความไม่ชัดเจนของรัฐบาล
สส. รอมฎอน เรียกร้องให้ทั้งรัฐบาลและ BRN ลดความตึงเครียดโดยเร็วที่สุดเพื่อรักษาชีวิตผู้คน และกลับเข้าสู่กระบวนการพูดคุยสันติภาพ โดยเสนอให้รัฐบาลเร่งแต่งตั้งหัวหน้าคณะพูดคุยฯ เพื่อแสดงความชัดเจนและจริงจัง พร้อมเสนอชื่อบุคคลที่อาจเหมาะสม 4 คน ได้แก่ นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งสามารถให้คำปรึกษาที่มีน้ำหนักต่อนายกรัฐมนตรี, นายจาตุรนต์ ฉายแสง ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับ กมธ., นายฉัตรชัย บางชวด ซึ่งคุ้นเคยกับกระบวนการ, และผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน ในฐานะรอง ผอ.รมน. เพื่อสะท้อนการใช้แนวทางการเมืองนำการทหาร นายรอมฎอนยังวิจารณ์การตั้งคำถามว่า BRN เป็นตัวจริงหรือตัวปลอมว่าเป็นการบ่อนทำลายกระบวนการสันติภาพและงานข่าวกรองที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก พร้อมเรียกร้องให้ BRN ใช้การสื่อสารข้อเรียกร้องผ่านช่องทางสาธารณะมากกว่าการใช้กำลัง ซึ่งจะมีพลังมากกว่า
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1051639180491450&set=a.534942245494482