"นโยบายข้อจำกัดเกี่ยวกับวีซ่านี้เป็นไปตามมาตรา 212(a)(3)(C) แห่งรัฐบัญญัติตรวจคนเข้าเมืองและสัญชาติของสหรัฐฯ (Immigration and Nationality Act) และอนุญาตให้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ดำเนินการตามข้อจำกัดเกี่ยวกับวีซ่ากับเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันหรือในอดีต ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบต่อ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลักดันชาวอุยกูร์หรือชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์หรือศาสนากลุ่มอื่นที่อาจไม่ได้รับความคุ้มครองกลับประเทศจีน สมาชิกครอบครัวบางคนของบุคคลดังกล่าวอาจอยู่ภายใต้ข้อจำกัดเหล่านี้ด้วยเช่นกัน"

https://th.usembassy.gov/th/announcement-of-a-visa-restriction-policy-th/

ผมเคยบ่นมาตลอดเวลานานาชาติประนามไทยเรื่องสิทธิมนุษยชนอะ ไม่ว่าจะเรื่องแกนนำม็อป หรือ 112 หรืออะไร อย่าด่าอย่างเดียวไอ้พวกนั้นมันไม่รู้สึกและไม่แก้อะไรหรอก แบนสินค้าไปก็ไม่ช่วย เพราะคนสั่งกับคนได้รับผลมันคนละคนกัน ตำรวจจับ อัยการส่งฟ้อง ศาลสั่งจำคุก แต่คนรับกรรมคือคนส่งออก
ส่วนไอ้พวกนั้นก็ไปเที่ยว ไปช็อปปิงได้สบายใจ ส่งลูกไปเรียนกลับมาโปรไฟล์ดี เข้าทำงานสานต่ออำนาจต่อ
ถึงเวลาก็อ้างนายสั่ง ผู้ใหญ่เค้ากดดันมา ซึ่งมันตัดสินใจง่ายไง เพราะตามน้ำไปก็ไม่ได้รับผลอะไร แถมบางทีแค่อยากทำตัวเอาใจข้างบนเฉยๆด้วย

เนี่ย แบนนามสกุลเจาะเป็นตัวๆงี้แหละมีผล ทำอะไรจะได้คิดหน้าคิดหลังเยอะๆ กลายเป็นอีลิธไปแต่ออกไปไหนไม่ได้มีอำนาจแต่อยู่ได้แค่ในกะลา มันต้องงี้ อยากเอาใจนายจะได้คิดดีๆว่าคุ้มมั้ย อาจเติบโตนะ
แต่แลกกับต่อไปนี้ไปไหนไม่ได้แล้วนะ ลูกก็เรียนได้แต่ในประเทศนะ เป็นไฮไซแต่ไปได้แค่จีน แค่รัสเซียนะ มองเพื่อนอัพไอจีไปอเมริกา ไปยุโรปไปนะ

ทำให้จริงเหอะ เห็นผลกว่าแบนปลากระป๋องเยอะ

สัญญาณชัดเจนที่บอกว่า US / EU เอาจริงกับไทย

1. การประกาศคว่ำบาตรและข้อจำกัดวีซ่าล่าสุด

• กรณีอุยกูร์ เป็นตัวอย่างว่า US กล้าลงโทษเจ้าหน้าที่ไทยโดยตรง แม้ไทยจะเป็นพันธมิตรเก่า
• สหรัฐฯ ใช้ มาตรา 212(a)(3)(C) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับสูงมาก
• ข้อจำกัดด้านวีซ่าไม่ได้หยุดแค่เจ้าหน้าที่ แต่รวมถึง ครอบครัว ด้วย นี่เป็นระดับที่เคยใช้กับรัสเซียและจีน
• ส่งสัญญาณชัดว่า ใครละเมิดสิทธิมนุษยชน จะโดนไม่เลือกหน้า

2. EU ออกแถลงการณ์หลายครั้ง และเพิ่มระดับแรงกดดัน

• สหภาพยุโรปเคยแถลง เรียกร้องให้ไทยทบทวนการใช้ 112 หลายครั้งในช่วงปี 2565-2567
• ล่าสุดในปี 68 นี้ มี รายงานและเวทีอภิปรายของรัฐสภายุโรป กล่าวถึง 112 โดยตรง
• มีแนวโน้มที่ EU จะใช้ มาตรการด้านเศรษฐกิจ-การค้า มากขึ้นกับประเทศที่ละเมิดสิทธิฯ
• เช่น การประเมินสิทธิพิเศษ GSP ที่ไทยหวังไว้
• และมีการพูดคุยภายในกลุ่ม Nordic Countries (ประเทศยุโรปเหนือ) ว่าจะ อายัดทรัพย์สิน หรือ ห้ามเข้าประเทศสำหรับผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิฯ ในไทย

3. รายงานสิทธิมนุษยชนของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ และ UN

• US State Department Human Rights Report ปีล่าสุด (67-68) ชี้ชัดว่า ไทยใช้ 112 เป็นเครื่องมือทางการเมือง
• มีการระบุถึง นักโทษการเมือง, การคุมขังโดยไม่ให้ประกัน, และการดำเนินคดีที่ไม่โปร่งใส
• UN Human Rights Council ยังมีข้อเสนอแนะต่อไทยเรื่องนี้ซ้ำ ๆ และ จับตาการดำเนินคดี 112 ใกล้ชิดมากขึ้น

แนวโน้มต่อไป (Trend)

1. ถ้าไทยไม่ขยับ จะเจอมาตรการแรงขึ้น

• ข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ (Trade Sanctions) จากสหรัฐฯ และยุโรป
• ข้อจำกัดด้านวีซ่า / อายัดทรัพย์ / Ban รายชื่อบุคคลสำคัญ
• องค์กรข้ามชาติ เช่น IMF, World Bank อาจ เพิ่มเงื่อนไขสิทธิมนุษยชนก่อนปล่อยเงินทุนหรืออนุมัติโครงการ

2. ถ้าไทยขยับเล็กน้อย แต่ไม่จริงจัง อาจไม่พอ

• US/EU ต้องการ เห็นการปล่อยนักโทษการเมือง และ การแก้กฎหมายจริง ไม่ใช่แค่ “ตั้งกรรมการศึกษา” หรือ “ขอเวลาทำความเข้าใจ”
• “ลมปาก” จะไม่ได้ผลอีกต่อไป ต้องมี Action เชิงรูปธรรม
• เช่น การแก้ไขมาตรา 112 ให้ศาลมีอำนาจวินิจฉัยเบื้องต้นก่อนรับฟ้อง
• หรือจำกัดสิทธิผู้ฟ้องให้เหลือเฉพาะอัยการ/รัฐเท่านั้น

สิ่งที่ US และ EU คาดหวังจากไทย

เรื่อง รายละเอียดที่เขาคาดหวัง
ปล่อยตัวนักโทษการเมือง โดยเฉพาะนักโทษ 112 ที่ถูกจำคุกไม่ให้ประกัน
ปฏิรูปกฎหมาย 112 ลดโทษ, แก้ไขเงื่อนไขการฟ้อง, ป้องกันการใช้กลั่นแกล้ง
คุ้มครองเสรีภาพการชุมนุมและแสดงออก ยุติการใช้กฎหมายความมั่นคงมาปิดปากฝ่ายตรงข้าม
ยอมรับกลไกตรวจสอบจากนานาชาติ ให้ UN / NGOs สังเกตการณ์การดำเนินคดีสิทธิมนุษยชนในไทย

บทสรุป : เกมนี้เอาจริง และเข้มข้นกว่าที่เคย

• ตอนนี้ไม่ใช่แค่แรงกดดันธรรมดา แต่เข้าสู่ มาตรการกึ่งคว่ำบาตรเชิงยุทธศาสตร์ แล้ว
• US/EU ใช้สิทธิมนุษยชนเป็น ตัวแปรต่อรองทางการเมือง กับไทยอย่างชัดเจน
• และ มาตรา 112 กลายเป็น เงื่อนไขหลัก ที่เขาใช้ตัดสินว่าไทยจะอยู่ “ในเกม” หรือ “นอกเกม” ความร่วมมือในระยะต่อไป

ยุโรปแบนไอ้ครอบครัวนั้นด้วยทีเถอะ

แค่ประเทศเดียวก่อนก็พอครับ อยากเห็นรีเอคชั่นจริงๆ

อเมริกาไม่ใช่พ่อ ...ส่งลูกไปเรียนจีนละกันนะเมิง

ไป disney เซี่ยงไฮ้แทนครับ

แบนพาสปอตนายกกับรมตทั้งคณะ รวมทั้งครอบครัวกับลูกหลายที่อยู่ตปท ดูซิจะดิ้นได้ซักทีมั้ย

ละขยันไปเที่ยวเมกาด้วยไง

สัญญาณชัดเจนที่บอกว่า US / EU เอาจริงกับไทย

1. การประกาศคว่ำบาตรและข้อจำกัดวีซ่าล่าสุด

• กรณีอุยกูร์ เป็นตัวอย่างว่า US กล้าลงโทษเจ้าหน้าที่ไทยโดยตรง แม้ไทยจะเป็นพันธมิตรเก่า
• สหรัฐฯ ใช้ มาตรา 212(a)(3)(C) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับสูงมาก
• ข้อจำกัดด้านวีซ่าไม่ได้หยุดแค่เจ้าหน้าที่ แต่รวมถึง ครอบครัว ด้วย นี่เป็นระดับที่เคยใช้กับรัสเซียและจีน
• ส่งสัญญาณชัดว่า ใครละเมิดสิทธิมนุษยชน จะโดนไม่เลือกหน้า

2. EU ออกแถลงการณ์หลายครั้ง และเพิ่มระดับแรงกดดัน

• สหภาพยุโรปเคยแถลง เรียกร้องให้ไทยทบทวนการใช้ 112 หลายครั้งในช่วงปี 2565-2567
• ล่าสุดในปี 68 นี้ มี รายงานและเวทีอภิปรายของรัฐสภายุโรป กล่าวถึง 112 โดยตรง
• มีแนวโน้มที่ EU จะใช้ มาตรการด้านเศรษฐกิจ-การค้า มากขึ้นกับประเทศที่ละเมิดสิทธิฯ
• เช่น การประเมินสิทธิพิเศษ GSP ที่ไทยหวังไว้
• และมีการพูดคุยภายในกลุ่ม Nordic Countries (ประเทศยุโรปเหนือ) ว่าจะ อายัดทรัพย์สิน หรือ ห้ามเข้าประเทศสำหรับผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิฯ ในไทย

3. รายงานสิทธิมนุษยชนของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ และ UN

• US State Department Human Rights Report ปีล่าสุด (67-68) ชี้ชัดว่า ไทยใช้ 112 เป็นเครื่องมือทางการเมือง
• มีการระบุถึง นักโทษการเมือง, การคุมขังโดยไม่ให้ประกัน, และการดำเนินคดีที่ไม่โปร่งใส
• UN Human Rights Council ยังมีข้อเสนอแนะต่อไทยเรื่องนี้ซ้ำ ๆ และ จับตาการดำเนินคดี 112 ใกล้ชิดมากขึ้น

แนวโน้มต่อไป (Trend)

1. ถ้าไทยไม่ขยับ จะเจอมาตรการแรงขึ้น

• ข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ (Trade Sanctions) จากสหรัฐฯ และยุโรป
• ข้อจำกัดด้านวีซ่า / อายัดทรัพย์ / Ban รายชื่อบุคคลสำคัญ
• องค์กรข้ามชาติ เช่น IMF, World Bank อาจ เพิ่มเงื่อนไขสิทธิมนุษยชนก่อนปล่อยเงินทุนหรืออนุมัติโครงการ

2. ถ้าไทยขยับเล็กน้อย แต่ไม่จริงจัง อาจไม่พอ

• US/EU ต้องการ เห็นการปล่อยนักโทษการเมือง และ การแก้กฎหมายจริง ไม่ใช่แค่ “ตั้งกรรมการศึกษา” หรือ “ขอเวลาทำความเข้าใจ”
• “ลมปาก” จะไม่ได้ผลอีกต่อไป ต้องมี Action เชิงรูปธรรม
• เช่น การแก้ไขมาตรา 112 ให้ศาลมีอำนาจวินิจฉัยเบื้องต้นก่อนรับฟ้อง
• หรือจำกัดสิทธิผู้ฟ้องให้เหลือเฉพาะอัยการ/รัฐเท่านั้น

สิ่งที่ US และ EU คาดหวังจากไทย

เรื่อง รายละเอียดที่เขาคาดหวัง
ปล่อยตัวนักโทษการเมือง โดยเฉพาะนักโทษ 112 ที่ถูกจำคุกไม่ให้ประกัน
ปฏิรูปกฎหมาย 112 ลดโทษ, แก้ไขเงื่อนไขการฟ้อง, ป้องกันการใช้กลั่นแกล้ง
คุ้มครองเสรีภาพการชุมนุมและแสดงออก ยุติการใช้กฎหมายความมั่นคงมาปิดปากฝ่ายตรงข้าม
ยอมรับกลไกตรวจสอบจากนานาชาติ ให้ UN / NGOs สังเกตการณ์การดำเนินคดีสิทธิมนุษยชนในไทย

บทสรุป : เกมนี้เอาจริง และเข้มข้นกว่าที่เคย

• ตอนนี้ไม่ใช่แค่แรงกดดันธรรมดา แต่เข้าสู่ มาตรการกึ่งคว่ำบาตรเชิงยุทธศาสตร์ แล้ว
• US/EU ใช้สิทธิมนุษยชนเป็น ตัวแปรต่อรองทางการเมือง กับไทยอย่างชัดเจน
• และ มาตรา 112 กลายเป็น เงื่อนไขหลัก ที่เขาใช้ตัดสินว่าไทยจะอยู่ “ในเกม” หรือ “นอกเกม” ความร่วมมือในระยะต่อไป

Moveเดียวสะเทือนข้างบนไปหมด

สิ่งที่ควรทำ คือ

มีตัวแทนรัฐบาลอย่างชัดเจน ไม่ใช่ออกมาในนามส่วนตัว ในฐานะบลาๆๆๆ และต้องมีการยืนยันว่าเป็นตัวแทนรัฐบาลได้ปรึกษากับนายกชัดเจน ออกมาตอบโต้แก้ข่าว เรื่องนี้ ว่าจะทำยังไง หรือ ไม่จริง มีความเข้าใจผิดยังไง
อย่างเป็นทางการ

หรือถ้าติดวันหยุด ก็ทำแบบที่เคยทำ แจ้งนักข่าว แจ้งสื่อ วันจันทร์ที่จะถึงจะมีการแจ้งเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ ไม่เอาแจ้งแบบเรื่องดิจิตอล รอคนมีอำนาจมาแจ้ง ผลัดไปเรื่อยๆ พอโดนถามบอก ตอบได้แค่นี้ หรือ ติดธุระหนีหาย

และสำคัญชีแจ้งไปเลย ให้คนที่แบกยังดีใจต่อ ว่าถ้าโดนจริง จะมีผลเสียยังไง และดียังไง ไม่ต้องเป็นห่วง คนไทยมีกินมีใช้ไปพร้อมๆกัน ค่ะ