อับดูลาย ดูคูเร่ กองกลางของ เอฟเวอร์ตัน บอกว่าการร่วมงานกับ แฟรงค์ แลมพาร์ด คือประสบการณ์ย่ำแย่ที่สุดที่เขาเคยพบ หลังไม่ได้รับความไว้วางใจและปฏิบัติกับเขาอย่างไม่แฟร์

แลมพาร์ด เข้าคุม เอฟเวอร์ตัน ในเดือนมกราคม 2022 และช่วยให้ทีมรอดตกชั้นในซีซั่นนั้น อย่างไรก็ตามพอขึ้นฤดูกาลถัดมาเขาก็โดนปลดออกจากตำแหน่ง 8 วันก่อนครบรอบ 1 ปีของการคุมทีม

เขาทำหน้าที่กุนซือ "ท๊อฟฟี่สีน้ำเงิน" ไป 44 เกมก่อนถูกปลดและเขาส่ง ดูคูเร่ ลงสนามไป 28 เกม พร้อมมอบโอกาสให้เขาเป็นตัวจริงไป 18 นัด โดยที่นักเตะพบกับอาการเจ็บและพลาดการลงเล่นไป 5 นัด

กระนั้น ดูคูเร่ บอกว่าการร่วมงานกับ แลมพาร์ด ถือเป็นประสบการณ์ย่ำแย่สุดที่เขาเจอ หลังมองว่าอดีตมิดฟิลด์ไม่เชื่อมั่นในตัวเขาเลย

"ตอนที่ แลมพาร์ด เข้ามาคุมทีม เขาเข้ามากลางซีซั่น ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผมก็ยอดเยี่ยม ผมได้ลงสนามในช่วงหกเดือนแรกที่เขาคุม ผมเป็นตัวจริงทุกนัด เรารอดตกชั้น 2 นัดก่อนจบซีซั่น ความสัมพันธ์ดีมาก" ดูคูเร่ บอก

"ผมไม่เข้าใจว่าฤดูกาลถัดมามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะเขาไม่เชื่อมั่นในตัวผมเลย แค่ซีซั่นถัดมาเท่านั้นเองและผมก็ไม่เข้าใจ เพราะนี่เป็นประสบการณ์กับกุนซือที่ย่ำแย่ที่สุดสำหรับผมแล้ว เพราะบอกตามตรงนะว่ากุนซือทุกคนส่งผมเป็นตัวจริง, กุนซือทุกคนเชื่อมั่นในตัวผม"

"ต่อให้บางครั้งผมไม่ได้เป็นตัวจริงทุกนัด ผมก็เป็นนักเตะหลักของกุนซือที่ผมร่วมงานด้วยและ แลมพาร์ด เป็นคนเดียวที่ไม่เชื่อมั่นในตัวผมอย่างมากและผมว่าเขาทำพลาดกับผมนะว่าตรงๆ เพราะผมเป็นคนที่ทุ่มเทอย่างหนักและถ่อมตัว, ผมซ้อมหนัก"

"แน่นอนว่าเขาตัดสินใจเลือกในแบบของเขา ผมไม่เคยคัดค้านสิ่งที่ผู้จัดการทีมเลือก แต่บางครั้งคุณต้องตัดสินอย่างแฟร์ๆ และผมไม่คิดว่าเขาแฟร์กับผมเลย ปล่อยให้ผมเป็นสำรองในหลายต่อหลายนัดและไม่ให้โอกาสผม มันทำให้ผมไม่พอใจเขา"

ดูคูเร่ บอกว่าเขาไม่ได้รับคำอธิบายจาก แลมพาร์ด รวมถึงยืนยันเรื่องที่ถูกดร็อปจากทีมชุดใหญ่หลังมีปากเสียงกันในเกมพ่าย เซาแธมป์ตัน เมื่อเดือนมกราคม 2023 ซึ่งตอนนั้นเขาเป็นแค่สำรองข้างสนามไม่ได้ลงเล่น

"หลังจากเกมเหย้านัดนึง ผมกับเขาเถียงกันยกใหญ่ ผมไม่แฮปปี้และบอกความจริงกับเขาเพราะผมเป็นคนตรงไปตรงมา และเขาก็ไม่ถูกใจเลย"

"วันถัดมาพวกเขาบอกว่าผมอยู่ร่วมกับทีมไม่ได้ เขารู้สึกว่าผมแสดงความไม่เคารพเขาต่อหน้านักเตะคนอื่นและบอกว่าผมต้องซ้อมกับทีมสำรองหรือไม่ก็ซ้อมคนเดียว"

"ผมบอกว่า 'ผมจะไปซ้อมคนเดียว' เพราะผมรู้ว่าผมดูแลตัวเองยังไง โชคดีที่ผมไม่ได้ซ้อมคนเดียวนานนักเพราะถ้าจำไม่ผิดเขาน่าจะโดนปลดในอีกสัปดาห์ให้หลังนะ"

ฤดูกาลแรก ไม่แปลกที่ดูกูจะได้เล่นทุกนัด เพราะตอนนั้นห้องแต่งตัวมันแตกไปหมดแล้ว ราฟาทำทีมเวิร์คพังหมด ไม่มีใจนักสู้เหลือเลย สิ่งที่แลมพ์เข้ามาคือเข้ามาจุดไฟในห้องแต่งตัว ให้นักเตะเล่นเพื่อทีม

พอปีถัดมาก็เสริมโอนาน่าเข้ามา นั่นแหละคือจุดเปลี่ยน ทีมเลือกใช้ระบบ 3-4-3 กลางสองคนก็ยัดเอาโอนาน่าคู่เกย์บ้าง อีโวบี้บ้าง ดูกูตอนนั้นเล่น b2b มันเบียดไม่ได้หรอก แถมพอได้โอกาส ก็ทำไม่ได้ คือรู้เลยว่าเปลี่ยนไป จากนักเตะที่เล่นดี ดุดัน อยู่ดีๆเสียความมั่นใจไปดื้อๆ

แต่พอเป็นไดซ์ จับดูกูเร่มาเล่นหน้าต่ำ คอยสอดรับกับ DCL ฟอร์มถึงกลับมาดี ไดซ์เป็นคนจิตวิทยาดีมาก และดูกูเร่ตอบโจทย์ลายเซ็นแกได้ชัดมากคือบอลยาว มีประโยชน์ คอยทำสวยๆให้ DCL และเป็นคนยิงดับซ่าบอร์นมัธนัดสุดท้าย ถีบจิ้งจอกตกชั้น

ทีนี้ ทุกวันนี้ใช่ว่าจะฟอร์มดี หลังจากนี้น่าจะโดนดร็อป เพราะทีมได้อัลคาราซมาเพิ่มมิติเกมส์รุก ซึ่งทุกวันนี้ดูกูเร่วิ่งมั่วมาก ไม่มี ปย. ทำลั่นบ่อย

แต่ข้อดีคือแกไม่งอแงเกินงามนะ แต่ว่าไปช่วงนั้นโดนดองเค็มกันหมด ทั้งโทชุน ดูกู และรอนดอน อนาถขนาดเอากอร์ดอนไปยืนหน้าชนกับกองหลังตัวใหญ่ ๆ ผมก็เหลือจะเชื่อเหมือนกันกับแลมพ์ยุคนั้น

ฤดูกาลแรก ไม่แปลกที่ดูกูจะได้เล่นทุกนัด เพราะตอนนั้นห้องแต่งตัวมันแตกไปหมดแล้ว ราฟาทำทีมเวิร์คพังหมด ไม่มีใจนักสู้เหลือเลย สิ่งที่แลมพ์เข้ามาคือเข้ามาจุดไฟในห้องแต่งตัว ให้นักเตะเล่นเพื่อทีม

พอปีถัดมาก็เสริมโอนาน่าเข้ามา นั่นแหละคือจุดเปลี่ยน ทีมเลือกใช้ระบบ 3-4-3 กลางสองคนก็ยัดเอาโอนาน่าคู่เกย์บ้าง อีโวบี้บ้าง ดูกูตอนนั้นเล่น b2b มันเบียดไม่ได้หรอก แถมพอได้โอกาส ก็ทำไม่ได้ คือรู้เลยว่าเปลี่ยนไป จากนักเตะที่เล่นดี ดุดัน อยู่ดีๆเสียความมั่นใจไปดื้อๆ

แต่พอเป็นไดซ์ จับดูกูเร่มาเล่นหน้าต่ำ คอยสอดรับกับ DCL ฟอร์มถึงกลับมาดี ไดซ์เป็นคนจิตวิทยาดีมาก และดูกูเร่ตอบโจทย์ลายเซ็นแกได้ชัดมากคือบอลยาว มีประโยชน์ คอยทำสวยๆให้ DCL และเป็นคนยิงดับซ่าบอร์นมัธนัดสุดท้าย ถีบจิ้งจอกตกชั้น

ทีนี้ ทุกวันนี้ใช่ว่าจะฟอร์มดี หลังจากนี้น่าจะโดนดร็อป เพราะทีมได้อัลคาราซมาเพิ่มมิติเกมส์รุก ซึ่งทุกวันนี้ดูกูเร่วิ่งมั่วมาก ไม่มี ปย. ทำลั่นบ่อย

แต่ข้อดีคือแกไม่งอแงเกินงามนะ แต่ว่าไปช่วงนั้นโดนดองเค็มกันหมด ทั้งโทชุน ดูกู และรอนดอน อนาถขนาดเอากอร์ดอนไปยืนหน้าชนกับกองหลังตัวใหญ่ ๆ ผมก็เหลือจะเชื่อเหมือนกันกับแลมพ์ยุคนั้น