โคดี้ กั๊กโป ใกล้เคียงมากๆ ที่จะย้ายไปอยู่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ดีลกลับล่มอย่างกะทันหัน ชนิดที่เจ้าตัวเองก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาถึงโดนเทแบบนี้
ย้อนกลับไปในฤดูกาล 2021-22 โคดี้ กั๊กโป วัย 23 ปี เล่นอยู่กับสโมสรพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น และมีผลงานที่โดดเด่นมากๆ ยิงไป 12 ลูก และแอสซิสต์ไป 13 ครั้ง ในลีกดัตช์ คว้ารางวัลนักเตะดัตช์ยอดเยี่ยมแห่งปีไปครอง
กั๊กโป มีส่วนผสมของร่างกายที่แข็งแรง เขาสูงใหญ่ แต่ก็มีทักษะฟุตบอลที่ดีเยี่ยม เขามีคุณพ่อ เป็นลูกครึ่ง โตโก-กาน่า ส่วนคุณแม่เป็นคนดัตช์
ส่วนใหญ่ นักเตะดัตช์ผิวดำ จะมีเชื้อสายซุรินาม เช่น เวอร์จิล ฟาน ไดค์, จีนี่ ไวจ์นัลดุม หรือ ไรอัน กราเวนเบิร์ช แต่กั๊กโปนั้น มีเชื้อสายแอฟริกัน
เรื่องสไตล์การเล่น กั๊กโปตัวสูง 193 ซม. แต่ไม่ชอบยืนกองหน้าตัวเป้า กลับชอบเล่นปีกซ้ายมากกว่า
คือเขาไม่ชอบการปักหลักยืนในกรอบหกหลา แต่ชอบฉีกออกมาริมเส้น เพื่อครอสบอล หรือ Cut-in กระชากตัดเข้าใน
นักเตะไอดอลของกั๊กโป คือ อิบราฮิม อเฟลลาย ซึ่งเป็นรุ่นพี่ในทีมพีเอสวี จะสังเกตว่า เขาชื่นชอบผู้เล่นแนวปีก มากกว่า แนวหน้าเป้า เพราะสไตล์การเล่นของตัวเองคือแบบนั้น
คนที่ให้โอกาสกั๊กโปลงบ่อยๆ ในทีมชุดใหญ่ของพีเอสวี มีชื่อว่า โรเจอร์ ชมิดท์ เฮดโค้ชของพีเอสวี ในช่วงปี 2020-2022 โดยชมิดท์กล่าวชมกั๊กโปเอาไว้ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นว่า "โคดี้ มีโอกาสพัฒนาเป็นผู้เล่นที่สมบูรณ์ได้ เพราะเขามีรูปร่างดี จิตใจมั่นคง และที่สำคัญคือ เขาเป็นผู้เล่นที่คุณไว้วางใจได้ ว่าจะทำตามหน้าที่เป็นอย่างดี"
จุดแข็งของกั๊กโป คือ อยากพัฒนาตัวเองตลอด ตั้งแต่อยู่พีเอสวี นอกจากซ้อมในวันปกติกับสโมสรแล้ว พอซ้อมเสร็จ เขาไปจ้างบริษัทชื่อ Tactalyse มาซ้อมส่วนตัวอีก วันละ 1 เซสชั่น คือมีความปรารถนาที่อยากจะเก่งขึ้นกว่านี้
นอกจากนั้น ยังมีความเป็นผู้ใหญ่เกินตัว กั๊กโปไม่เคยบ่นกับสถานการณ์ตรงหน้า ใครอยากให้เขาทำอะไร เขาทำได้หมด ตัวอย่างเช่น กับทีมชาติเนเธอร์แลนด์ หลุยส์ ฟาน กัล ขอให้เขาเล่นกองหน้าตัวเป้า สุดท้ายกั๊กโปก็ยอมเล่นโดยดี
ฟาน กัล เล่าว่า "โคดี้เล่นกับพีเอสวีทางฝั่งซ้ายเสมอ เขาไม่อยากยืนหน้าเป้า หรือเล่นเป็นหมายเลข 10 แต่เขายอมทำตามคำขอของผม"
ในช่วงซัมเมอร์ปี 2022 หลังจากคว้ารางวัลนักเตะดัตช์ยอดเยี่ยมแห่งปี กั๊กโปตกเป็นข่าวอย่างหนักกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เอริก เทน ฮาก ผู้จัดการทีมชาวดัตช์ เพิ่งย้ายมาคุมทีมปีศาจแดง และต้องการตัวกั๊กโปมาอยู่ด้วย โดยข้อมูลที่น่าสนใจ คือ เทน ฮาก กับ กั๊กโป มีเอเยนต์ส่วนตัวคนเดียวกันด้วย
ในข้อเท็จจริงคือ เทน ฮาก คุยกับ กั๊กโป หลายครั้ง และแมนฯ ยูไนเต็ด ก็เข้ามาคุยกับพีเอสวีหลายรอบ นี่เป็นดีลที่มีความจริงจังมาก โดยมีราคาซื้อขายอยู่ที่ 35 ล้านปอนด์
กระแสข่าวตอนนั้น มันดูจะแบเบอร์แล้ว แฟนปีศาจแดง มั่นใจว่ากั๊กโปมาแน่ บางคนในยูทูบ ทำคลิป Welcome to Manchester United ต้อนรับกั๊กโปแล้วด้วยซ้ำ
เรื่องนี้จอห์น เดอ ยอง ผู้บริหารของพีเอสวี อธิบายว่า "ในช่วงตลาดซื้อขายซัมเมอร์ 2022 เปิดใหม่ๆ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แสดงความสนใจในตัวโคดี้ เราคุยกับยูไนเต็ด หลังจบเกมแชมเปี้ยนส์ลีก รอบเพลย์ออฟ ที่ชนะเรนเจอร์ส และทุกอย่างก็ดูจะชัดเจนมากขึ้น"
"แต่พวกเขา ลดความสนใจลงไปเอง และเมื่อตลาดซื้อขายใกล้จะปิด ดีลกับยูไนเต็ด ก็ไม่เกิดขึ้นแล้ว"
กั๊กโปยอมรับตามตรง ณ เวลานั้น ว่าเขาเองก็คิดอยากย้ายไปแมนฯ ยูไนเต็ดเช่นกัน
กั๊กโปเล่าว่า "ตอนแรกที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดให้ความสนใจผม ผมก็รอนะ จากนั้นสัญญาณก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ และผมคิดว่าตัวเองอาจจะย้ายไปอยู่กับพวกเขาก็ได้ แต่ความสนใจก็จางหายไปเมื่อสัปดาห์ก่อน คือตลอดช่วงซัมเมอร์ผมตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะได้ย้ายไป แล้วสุดท้ายข้อเสนอก็ไม่มี"
"ผมคุยกับเอริก เทน ฮากหลายครั้ง และผมก็ผิดหวังที่ดีลล่ม เพราะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือหนึ่งในสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในโลก"
อธิบายง่ายๆ คือ แมนฯ ยูไนเต็ด "เท" กั๊กโป ตอนแรกว่าจะซื้อ เจรจาเหมือนจะเอา ทำให้มีความหวัง แต่ก็ไม่ยื่นข้อเสนอเข้ามา จบเลยง่ายๆ ไปอย่างนั้น
สำหรับสาเหตุที่แมนฯ ยูไนเต็ด ตัดสินใจไม่เอากั๊กโป มี 2 ข้อหลักๆ
ข้อแรก ลอรี่ วิทเวลล์ จาก สำนักข่าว The Athletic ผู้สื่อข่าวแมนฯ ยูไนเต็ด ระดับเทียร์ 1 อธิบายเหตุผลว่า
แมนฯ ยูไนเต็ดต้องการนักเตะตัวรุก 2 คน มาเสริมทัพ คือ โคดี้ กั๊กโป ของพีเอสวี กับ แอนโทนี่ ของอาแจ๊กซ์ และตามแผนแรก คือซื้อกั๊กโป 35 ล้านปอนด์ และ แอนโทนี่ 50 ล้านปอนด์ รวมเป็น 85 ล้านปอนด์
แต่อาแจ๊กซ์ ปฏิเสธข้อเสนอ 50 ล้านปอนด์ และจะยอมขายแอนโทนี่ ถ้าแมนฯ ยูไนเต็ดจ่าย 86 ล้านปอนด์ (100 ล้านยูโร)
ดังนั้นทีมปีศาจแดงจึงไม่มีงบประมาณมากพอ จะซื้อทั้งคู่พร้อมกันได้ ต้องเลือกเพียงคนเดียว ซึ่งคำตอบของแมนฯ ยูไนเต็ด คือเลือกแอนโทนี่
ส่วนเหตุผลข้อสอง มาจากสำนักข่าวสกายสปอร์ต วิเคราะห์ว่า "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีตัวริมเส้นเยอะไปหมด ทั้งมาร์คัส แรชฟอร์ด, เจดอน ซานโช่, แอนโทนี่ อีลังก้า, ฟาคุนโด้ เปยิสตรี้ และ อาหมัด ดิยัลโล่"
"โดยเฉพาะกับแรชฟอร์ด ที่เล่นปีกซ้าย ในตำแหน่งเดียวกับกั๊กโปเป๊ะเลย แล้วประเด็นคือ กั๊กโปอายุน้อยกว่าแรชฟอร์ดแค่ 1 ปี ไม่มีประโยชน์อะไรที่คุณจะเอานักเตะที่อายุใกล้กัน เล่นตำแหน่งเดียวกัน มายืนทับกันในทีม"
เมื่อหักลบเหตุผลแล้ว ถ้าคิดตามคอมม่อนเซนส์ คุณจะเอากั๊กโปที่ยืนชนกับตำแหน่งของแรชฟอร์ดมาทำไม?
แรชฟอร์ด คือเด็กปั้นจากอะคาเดมี่ เป็นนักเตะเบอร์ 10 ของทีม กั๊กโปย้ายมาก็คงแย่งตำแหน่งยาก แล้วถ้าจะดันกั๊กโปเล่นหน้าเป้า สู้จ่ายเงินซื้อกองหน้าธรรมชาติจริงๆ ไม่ดีกว่าหรือ
สุดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด จึงไม่เอากั๊กโป แล้วไปเซ็นแอนโทนี่ที่เล่นปีกขวา ในราคา 86 ล้านปอนด์ ทำให้แอนโทนี่ กลายเป็นนักเตะปีศาจแดงที่แพงที่สุด อันดับ 2 ตลอดกาล เป็นรองแค่ พอล ป็อกบา (89 ล้านปอนด์) คนเดียวเท่านั้น
แต่จริงๆ ก็มีคนวิจารณ์กันเยอะตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ว่าจะดีจริงหรือ ที่เลือกแอนโทนี่ เพราะกั๊กโปราคาถูกมากกว่าครึ่ง แถมถ้าเทียบผลงานในฤดูกาล 2021-22 แล้ว กั๊กโปดูดีกว่าเสียอีก ยิง 12 แอสซิสต์ 13 ส่วนแอนโทนี่ ยิง 8 แอสซิสต์ 4 เท่านั้น
ในเคสนี้ ก็ชัดเจนว่า กั๊กโปอยากย้ายไปแมนฯ ยูไนเต็ด เอริก เทน ฮากก็อยากให้มา แต่สโมสรไม่ยอมซื้อ
กั๊กโปก็ทำอะไรไม่ได้ จึงต้องเล่นกับพีเอสวีต่อไป ในฤดูกาล 2022-23 ภายใต้เฮดโค้ชคนใหม่ รุด ฟาน นิสเตลรอย แล้วรอคอยโอกาสย้ายทีมครั้งใหม่ในอนาคต
การไม่ได้ย้ายทีม อาจทำให้เสียกำลังใจ แต่มันไม่ได้ทำให้ฟอร์มของกั๊กโปดร็อปลง ตรงข้าม เขายิ่งเล่นได้ดีกว่าเดิมเสียอีก
กั๊กโปลงเล่นลีกดัตช์ไป 14 เกม ก่อนพักเบรกบอลโลก และมีผลงาน ยิง 9 แอสซิสต์ 12 นี่เป็นตัวเลขที่เหลือเชื่อมากๆ คือเล่นดี จนหลุยส์ ฟาน กัล วางเป็นตัวหลักทีมชาติเนเธอร์แลนด์ในฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์
ในฟุตบอลโลก กั๊กโปเล่นเป็นตัวจริงทุกเกม และยิงประตูได้ถึง 3 ลูก เป็นดาวซัลโวของทีมชาติด้วย จากที่โดดเด่นในลีกดัตช์ คราวนี้ทั้งโลกรู้จักเขามากขึ้น ว่านักเตะวัย 23 ปีคนนี้ มีคุณสมบัติดีเยี่ยมจริงๆ
และจุดนี้เอง ที่ลิเวอร์พูล ตัดสินใจกระโดดเข้ามาร่วมวงในการซื้อขายด้วย
คนที่ชื่นชอบกั๊กโปมากๆ คือเป๊ป ไลน์เดอร์ส ผู้ช่วยผู้จัดการทีมหงส์แดง ที่เป็นชาวดัตช์เหมือนกัน เขาบอกว่า "กั๊กโปจะเป็นจิ๊กซอว์ที่เข้ามาเติมเต็มทีมของเรา"
อีกหนึ่งคนที่เชื่อว่า มีส่วนสำคัญในการเกลี้ยกล่อม กั๊กโป ให้ย้ายมาอยู่ลิเวอร์พูล คือเวอร์จิล ฟาน ไดค์ กัปตันทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ที่ใช้เวลาร่วมกับกั๊กโป ตลอด 1 เดือนในช่วงฟุตบอลโลก
ฟาน ไดค์ กล่าวชมกั๊กโปออกสื่อว่า "โคดี้ สามารถเติบโตขึ้นได้อย่างไม่มีขีดจำกัด เขาเป็นผู้เล่นที่ดีมาก และเป็นเด็กดีด้วย"
ประโยคที่ฟาน ไดค์ ใช้ คือ Cody can go the moon and back ความหมายตรงๆ คือ ไปพระจันทร์ แล้วกลับมายังโลกอีกรอบ ซึ่งสื่อความหมายว่า มากมายจนไม่มีขีดจำกัดนั่นเอง เหมือนระยะทางระหว่างพระจันทร์ ไปกลับโลก ที่ห่างกันหลายแสนกิโลเมตร
หลังจบฟุตบอลโลก ลิเวอร์พูลเดินเกมเร็วทันที วันที่ 26 ธันวาคม 2022 จูเลียน วอร์ด ผู้อำนวยการกีฬาลิเวอร์พูล ตกลงกับ มาร์แซล แบรนด์ส ผู้อำนวยการฟุตบอลของพีเอสวีได้สำเร็จ ด้วยค่าตัว 37 ล้านปอนด์ แต่มีอ็อปชั่นเพิ่มเป็น 44 ล้านปอนด์ในอนาคต
ส่วนค่าเหนื่อย ลิเวอร์พูลจ่ายให้วีกละ 120,000 ปอนด์ เซ็นสัญญากัน 5 ปีครึ่ง โดยค่าเหนื่อยของกั๊กโป เพิ่มขึ้นมากกว่า 7 เท่า เพราะตอนอยู่พีเอสวี เขาได้รับวีกละ 16,000 ปอนด์
ดีลนี้จบลงอย่างฟ้าผ่า ลิเวอร์พูลไม่มียืดเยื้อ ควัก จ่าย จบ คว้าตัวมาร่วมทัพทันที
แล้วตัวกั๊กโปเอง ก็ไม่มีปัญหากับการย้ายไปลิเวอร์พูล เขาเคยบอกว่า "เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือ ลิเวอร์พูล ถ้าได้ลงเล่นกับทีมเหล่านี้ ถือเป็นเกียรติสำหรับผมมากๆ"
เมื่อกั๊กโปย้ายมาแล้ว สำนักข่าวเทเลกราฟ ของอังกฤษ อ้างอิง Quote ของรุด ฟาน นิสเตลรอย ที่กล่าวว่า "การย้ายทีมในฝันของกั๊กโป คือไปแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผมแนะนำเขาแล้วว่าให้รออีกหน่อย จนถึงซัมเมอร์ 2023 แต่ก็มีบางอย่างเกิดขึ้น และเขาไม่ฟังที่ผมบอก แต่ไปพักเวอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่ชักจูงให้เขาย้ายไปลิเวอร์พูลแทน"
นี่เป็นข่าวใหญ่ ที่หลายๆ สำนักข่าวเอาไปเล่นต่อ แม้แต่ ฟาบริซิโอ โรมาโน่ ก็ยังแชร์ข่าวนี้ด้วยเหมือนกัน
แต่นี่เป็นเฟกนิวส์ เป็นการสร้างเรื่องขึ้นมา ฟาน นิสเตลรอย ให้สัมภาษณ์ในรายการโอเวอร์แล็ป คุยกับแกรี่ เนวิลล์ว่า "ผมไม่ได้พูดอะไรเลย ผมเห็นสำนักข่าวอ้างอิงคำพูดของผม คือมันไม่จริง กั๊กโปแค่ถามผมเกี่ยวกับลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแค่นั้น แต่ผมไม่ได้แนะนำอะไรเขาแบบนั้น คำพูดที่สำนักข่าวยกขึ้นมา เป็นเรื่องปั้นแต่งทั้งสิ้น"
ในโลกออนไลน์ทุกวันนี้ ข่าวจริงข่าวลวง เยอะแยะไปหมด แม้แต่คนที่ทำงานสื่อมวลชน เจอกับดักเฟกนิวส์ไปก็ไม่น้อย ซึ่งสุดท้าย ฟาบริซิโอ โรมาโน่ ก็ตัดสินใจ "ลบ" โพสต์นี้ทิ้ง ส่วนสำนักข่าวเทเลกราฟ ที่เสนอเฟกนิวส์ ก็เสียเครดิตไปเยอะทีเดียว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นจริงแน่นอน คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สนใจกั๊กโปในช่วงหนึ่ง และใกล้เคียงมากที่จะได้ตัว ถ้าทุ่มเงินไปก็ไม่พลาดแน่ แต่พวกเขาพิจารณาแล้วว่าไม่เอาดีกว่า
กั๊กโปไม่เคยปฏิเสธข้อเสนอของแมนฯ ยูไนเต็ด พูดตรงๆ คือถ้าทีมปีศาจแดงพร้อมจ่ายตั้งแต่ตอนนั้น เขาก็คงย้ายไปนั่นแหละ
แต่พอดีลล่ม เขาก็ต้องมูฟออน ไปหาสโมสรอื่น ที่พร้อมจะเชื่อใจในตัวเขาแทน
สำหรับลิเวอร์พูล เมื่อนักเตะยังอยู่ในตลาดซื้อขาย แถมยังมีราคาที่ไม่แพงเกินไป พวกเขาจึงยื่นข้อเสนอเข้ามา และชิงตัวกั๊กโปไปครองได้ในที่สุดแบบสายฟ้าแลบ
กั๊กโป ย้ายมาอยู่ลิเวอร์พูล จนถึงวันนี้ก็ 2 ปีพอดี มูลค่าการตลาด ก็อัพขึ้นเป็น 50 ล้านปอนด์แล้ว ถ้าหากทีมหงส์แดงขายวันนี้เลย ก็จะได้กำไรแน่นอน
ขณะที่ผลงานในสนาม เขาได้รับโอกาสลงเล่นอย่างต่อเนื่อง จากทั้งเจอร์เก้น คล็อปป์ ,อาร์เน่อ สล้อธ และ โรนัลด์ คูมัน เฮดโค้ชทีมชาติเนเธอร์แลนด์
สถิติบอกว่า ในปี 2024 (มกราคม ถึง ธันวาคม) นักเตะที่ได้ลงเล่นในเกมทางการ มากที่สุดในโลก คือกั๊กโป ลงเล่นไป 71 เกม ให้ทีมชาติและสโมสร
ส่วนเรื่องการยิงประตู ก็ทำได้ต่อเนื่อง ในช่วง 2 ปีที่อยู่กับหงส์แดง ลงเล่น 111 เกม ยิงไป 37 ลูก ค่าเฉลี่ยคือ ลง 3 เกม จะยิง 1 เม็ด เป็นตัวเลขที่ไม่ธรรมดาทีเดียว
โดยรวม ต้องบอกว่าชีวิตของเขาก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิมจากที่อยู่พีเอสวี และดูจะเติบโตขึ้นไปได้อีกเรื่อยๆ ด้วย
กั๊กโปบอกว่า เขาดีใจมาก ที่เหมือนว่าตัวเองเลือกได้ถูก
เขากล่าวว่า "ผมเกือบจะได้ไปอยู่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจริงๆ แต่การเจรจาไม่เกิดขึ้น จากนั้นในตลาดฤดูกาลหนาวต่อมา ลิเวอร์พูลก็ติดต่อมา และการได้ย้ายมาลิเวอร์พูล คือการตัดสินใจที่ดีที่สุดของผม"
จริงๆ ก็น่าคิดเหมือนกันว่า ถ้าย้อนกลับไปในช่วงซัมเมอร์ปี 2022 แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ชักปลั๊กดีลนี้ แล้วตัดสินใจทุ่ม 35 ล้านปอนด์ ซื้อกั๊กโปจริงๆ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร
เกมรุกของทีมปีศาจแดงจะลงตัวกว่าตอนนี้ไหม แล้วตัวนักเตะจะพัฒนาขึ้นมาเก่งกาจ เหมือนอย่างทุกวันนี้หรือเปล่า?
แต่ก็นะ ในโลกฟุตบอลไม่มีคำว่า "ถ้า" เมื่อทีมปีศาจแดงเลือกไปแล้ว ก็ต้องยอมรับกันไป แล้วมูฟออนไปข้างหน้าให้เร็วที่สุด
ส่วนกั๊กโป เมื่อโชคชะตานำพา ให้มาอยู่กับทีมที่ลงตัวขนาดนี้แล้ว เขาก็มีหน้าที่อย่างเดียว คือเล่นให้ดีที่สุด เพื่อพาหงส์แดงคว้าแชมป์เมเจอร์ให้ได้ ในฤดูกาลนี้
https://www.facebook.com/share/p/15fuaiARGz/