ภูเวียง พบไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่อีกครั้ง คาดประกาศยืนยันปีหน้า
ค้นพบหลักฐานของผ้าไหมที่พบในหลุมบูชายัญยุคสำริด
หลักฐานการใช้ไหมของอารยธรรมยุคสำริดเพื่อบูชาในลุ่มแม่น้ำแยงซีของจีน - Cr. Scientific Reports (2024) DOI: 10.1038/s41598-024-78687-7
ทีมนักโบราณคดีได้ค้นพบหลักฐานใหม่ที่บ่งชี้ว่ามีการใช้ผ้าไหมในพิธีกรรมสังเวยของยุคสำริด (
ประมาณ 3,300 ปีก่อนคริสตกาล ถึงราว 1,200 ปีก่อนคริสตกาล)
อันเป็นการค้นพบที่ไม่เพียงแต่อยู่ในขอบเขตภูมิภาคเอเชียเท่านั้น แต่ยังอาจขยายความเข้าใจเกี่ยวกับเครือข่ายการแลกเปลี่ยนสินค้าข้ามภูมิภาคที่กว้างไกลและซับซ้อนยิ่งกว่าที่เคยคาดคิด
การศึกษาครั้งนี้อาศัยการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูงจากเศษซากในหลุมสังเวยโบราณ ซึ่งพบในแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีที่ตั้งอยู่ห่างไกลในยุโรปกลาง
นักวิจัยตรวจสอบร่องรอยของโปรตีนและเส้นใยด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ และพบสัญญาณที่ชัดเจนของโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีในไหม ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้ว
ไหมเป็นทรัพยากรอันล้ำค่าที่มีต้นกำเนิดจากประเทศจีน ช่วงก่อนที่จะมีการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างโลกตะวันออกกับตะวันตกอย่างกว้างขวางในยุคต่อมา
หลักฐานใหม่นี้ยังช่วยเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชนต่างๆในยุคสำริด การค้นพบไหมในพิธีสังเวยอาจบ่งบอกว่าผ้าไหมไม่เพียงเป็นเครื่องบ่งบอกสถานะและความมั่งคั่ง แต่ยังถูกนำมาใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาหรือความเชื่อ อาจเป็นการสื่อถึงความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ระหว่างกลุ่มคนในสังคมโบราณที่มีความเกี่ยวพันกันโดยทางอ้อมกับเครือข่ายการค้าอันไพศาล
สัณฐานวิทยาของหน้าตัด (a,b) และหน้าตัดตามยาวสองมิติ (c) ของตัวอย่างแร่ธาตุที่พบในชิ้นส่วนโบราณวัตถุ - Cr. Scientific Reports (2024) DOI: 10.1038/s41598-024-78687-7
การศึกษานี้ได้แสดงถึงความสามารถของเครื่องมือวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ในการคลี่คลายปริศนาทางประวัติศาสตร์ ทีมวิจัยใช้เทคนิคทางเคมีและชีวโมเลกุลที่ก้าวหน้าเพื่อค้นหาหลักฐานโปรตีนในชิ้นส่วนโบราณวัตถุ
และเมื่อนำมาประมวลร่วมกับข้อมูลทางโบราณคดีอื่น ๆ เช่น โครงกระดูก เครื่องปั้นดินเผา และเครื่องมือโลหะ จึงได้ภาพที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับลักษณะของพิธีกรรมรวมถึงเครือข่ายการติดต่อแลกเปลี่ยนสิ่งของระหว่างวัฒนธรรมในยุคสำริด
โดยสรุป การค้นพบไหมในหลุมสังเวยยุคสำริดคราวนี้ถือเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ช่วยต่อภาพประวัติศาสตร์ให้แจ่มชัดยิ่งขึ้น ว่าเครือข่ายการค้าระหว่างโลกตะวันออกกับตะวันตกอาจเริ่มต้นขึ้นก่อนยุคเส้นทางสายไหม (
Silk Road) ที่เราคุ้นเคยอย่างเป็นทางการเสียอีก และยิ่งไปกว่านั้น ยังชี้ให้เห็นถึงความลึกซึ้งและซับซ้อนทางสังคม วัฒนธรรม และความเชื่อของผู้คนในยุคโบราณ ที่มีความเชื่อมโยงกันผ่านสิ่งทออันมีค่าอย่างไหมตั้งแต่ช่วงเวลาที่เรายังไม่เคยคาดคิดมาก่อน
ที่มา: https://phys.org/news/2024-11-evidence-silk-bronze-age-sacrificial.html ,
https://www.nature.com/articles/s41598-024-78687-7
##################################################################
งานวิจัยพบ ไข่มุกถ้ำที่ภายในมีโบราณวัตถุ เป็นครั้งแรกในอุโมงค์โบราณใต้กรุงเยรูซาเล็ม
(a) แหล่งที่พบถ้ำไข่มุกในอิสราเอล (วงกลมสีดำ) และ (b) แผนที่โดยละเอียดของเนินเขาเยรูซาเลมที่แสดงอุโมงค์น้ำพุโจไวเซห์ (ST) (ลูกศรสีแดง) และสถานที่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจ - Cr. Archaeometry https://doi.org/10.1111/arcm.13031
คณะนักโบราณคดีและนักวิจัยจากสถาบันด้านประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์โบราณคดีได้ค้นพบ "
ไข่มุกถ้ำ" (cave pearls)
ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และภายในไข่มุกเหล่านี้กลับปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่ฝังตัวอยู่ ซึ่งเป็นการค้นพบครั้งแรกของโลกว่ามีวัตถุโบราณถูกห่อหุ้มอยู่ภายในชั้นหินรูปทรงกลมดังกล่าว
การค้นพบนี้เกิดขึ้นในอุโมงค์โบราณใต้กรุงเยรูซาเล็ม สถานที่อันมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนา
ทีมวิจัยระบุว่าไข่มุกถ้ำดังกล่าวถูกก่อตัวจากการตกตะกอนของแร่ธาตุในน้ำที่ไหลผ่านโพรงใต้ดินเป็นเวลาหลายร้อยหรือหลายพันปี เมื่อสารละลายต่างๆ ไหลสัมผัสกับวัตถุเล็กๆ ที่ตกค้างอยู่ เช่น เศษเครื่องปั้นดินเผาหรือชิ้นส่วนเล็กๆ ของเครื่องมือมนุษย์ยุคโบราณ การตกผลึกของแร่ธาตุจึงค่อยๆ ห่อหุ้มวัตถุเหล่านั้นจนก่อตัวเป็นทรงกลมคล้ายไข่มุกในถ้ำ
โดยปกติแล้ว
ไข่มุกถ้ำส่วนใหญ่จะไม่มีสิ่งแปลกปลอมภายใน หากมีก็อาจเป็นแค่เศษหินหรือทรายธรรมดา แต่ในกรณีนี้
วัตถุโบราณที่พบภายในไข่มุกถ้ำชี้ให้เห็นว่าผู้คนในสมัยโบราณเคยใช้พื้นที่ใต้ดินแห่งนี้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ไม่ว่าจะเพื่อพิธีกรรม กักเก็บน้ำ เดินทางหลบหนี หรือนำสิ่งของเข้าไปซ่อน
โดยการวิเคราะห์ทางกายภาพและเคมีของไข่มุกถ้ำ ช่วยให้ทีมวิจัยสามารถกำหนดอายุและสภาพแวดล้อมที่เกิดการจับตัวของแร่ อีกทั้งยังช่วยระบุอายุและลักษณะของวัตถุทางโบราณคดีภายใน
การประกอบไข่มุกในถ้ำ (a) ตัวอย่างไข่มุกในถ้ำก่อนการวิเคราะห์ สังเกตความหลากหลายในด้านขนาด พื้นผิวที่ขรุขระ และสีน้ำตาล (b) ไข่มุก J-10 ที่มีนิวเคลียสเศษเครื่องปั้นดินเผา แสดงวิธีการวัด เส้นผ่านศูนย์กลาง 1 คือสูงสุด เส้นผ่านศูนย์กลาง 2 คือกลาง และเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 คือเล็กสุด (c) ไข่มุกที่เกิดขึ้นบนปูนปลาสเตอร์ ซึ่งประกอบด้วยถ่านที่ใช้ในการหาอายุด้วย 14C (d) ไข่มุกที่ใช้ในการวัดไอโซโทปที่เสถียร (e) ไข่มุก J-25 ที่เกิดขึ้นบนหินปูน (f) แผ่นหินสามแผ่นตามแนวแกนหลักของไข่มุก J-28 (เส้นผ่านศูนย์กลางกลาง) สังเกตว่าการเจริญของไข่มุกในระยะเริ่มแรกเกิดขึ้นบนนิวเคลียสมาร์ล (1 ลูกศรสีดำ) ในขณะที่ต่อมามีการเพิ่มนิวเคลียสรองซึ่งประกอบด้วยปูนปลาสเตอร์ชิ้นหนึ่ง (3 ลูกศรสีแดง) (g) ไข่มุกที่ใหญ่ที่สุด J-29 - Cr. Archaeometry https://doi.org/10.1111/arcm.13031
การค้นพบครั้งนี้เปิดประตูสู่การศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับประวัติการใช้พื้นที่ใต้ผืนดินของเยรูซาเล็มโบราณ เพราะไม่ใช่แค่การพบแหล่งโบราณคดีตามปกติ แต่คือการค้นพบวัตถุโบราณในสภาพแวดล้อมที่คาดไม่ถึง เช่น ภายในไข่มุกถ้ำที่ก่อตัวตามธรรมชาติ การวิจัยเพิ่มเติมในอนาคตอาจไขปริศนาเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ในยุคโบราณ การเคลื่อนย้ายของผู้คน และลักษณะทางสังคมวัฒนธรรมในพื้นที่ประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนแห่งนี้ได้อย่างลุ่มลึกยิ่งขึ้น
ที่มา: https://phys.org/news/2024-12-cave-pearls-archaeological-artifacts-ancient.html ,
https://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1111/arcm.13031
##################################################################
ค้นพบร่องรอยเบียร์ข้าวโบราณอายุ 10,000 ปี ในแหล่งโบราณคดียุคหินใหม่ทางภาคตะวันออกของจีน
ที่ตั้งของสถานที่และโบราณวัตถุ (a) ที่ตั้งของแหล่งโบราณคดีซ่างซาน เฉียวโถว และเสี่ยวหวงซาน พร้อมทั้งการกระจายตัวของวัฒนธรรมซ่างซาน (b) วิเคราะห์ชิ้นส่วนเครื่องปั้นดินเผาที่คัดเลือกมา (c) ภาชนะที่สมบูรณ์สอดคล้องกัน - Cr. IGG
การค้นพบใหม่ที่แหล่งโบราณคดีช่างซาน (Shangshan) ในมณฑลเจ้อเจียง ทางตะวันออกของประเทศจีน
เปิดเผยหลักฐานการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากข้าว (rice beer) ที่มีอายุเก่าแก่ราว 10,000 ปี ความก้าวหน้าครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจต้นกำเนิดของการหมักเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การพัฒนาการเกษตรข้าว และโครงสร้างทางสังคมในยุคหินใหม่
งานวิจัยดังกล่าวเป็นผลงานร่วมของทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สถาบันธรณีวิทยาและธรณีฟิสิกส์แห่งสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (IGG) และสถาบันโบราณคดีและวัตถุทางวัฒนธรรมมณฑลเจ้อเจียง (ICRA) ผลการศึกษาถูกเผยแพร่ในวารสาร
Proceedings of the National Academy of Sciences (PNAS) เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม
โดยเนื้อหาชี้ให้เห็นว่า การผลิตเบียร์ข้าวในแหล่งช่างซานยุคต้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสภาพภูมิอากาศอบอุ่นชื้นในช่วงต้นโฮโลซีน รวมทั้งการคัดเลือกพันธุ์ข้าวเพื่อเป็นแหล่งอาหารที่มั่นคง
คณะวิจัยได้ทำการวิเคราะห์เศษเครื่องปั้นดินเผาจำนวน 12 ชิ้นจากแหล่งช่างซาน อายุระหว่าง 10,000–9,000 ปีก่อนปัจจุบัน เครื่องปั้นดินเผาเหล่านี้ครอบคลุมภาชนะหลากหลายประเภท เช่น ภาชนะสำหรับหมัก การเสิร์ฟ การเก็บรักษา การปรุงอาหาร และการแปรรูปอาหาร
นักวิจัยได้สกัดจุลซาก (microfossils) จ
ากผิวด้านในและเนื้อดิน รวมถึงชั้นดินวัฒนธรรมที่อยู่รอบๆ เพื่อศึกษาร่องรอยพืช แป้ง และเชื้อราที่หลงเหลืออยู่
ผลการวิเคราะห์ฟัยโตลิธ (phytolith) พบหลักฐานของฟัยโตลิธข้าวที่ผ่านกระบวนการคัดเลือกพันธุ์ บ่งชี้ว่าข้าวเป็นทรัพยากรหลักของชุมชนช่างซานในยุคดังกล่าว นอกจากนี้ยังพบว่าแกลบและใบข้าวถูกนำมาใช้ในกระบวนการทำเครื่องปั้นดินเผา ยืนยันถึงความสำคัญของข้าวในทุกมิติของวัฒนธรรมช่างซาน ไม่ว่าจะเป็นการบริโภค การแปรรูปอาหาร หรือการผลิตภาชนะ
นอกจากฟัยโตลิธ
ทีมวิจัยยังพบแป้งจากพืชหลายชนิด เช่น ข้าว ลูกเดือยป่า หญ้าหางหมา พืชตระกูลข้าวสาลี ลูกโอ๊ก และลิลลี่
หลายส่วนของแป้งแสดงร่องรอยการย่อยด้วยเอนไซม์และการเกิดเจลาติไนซ์ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดขึ้นในกระบวนการหมัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเบียร์ข้าวที่ใช้หัวเชื้อหมัก (qu starter) ซึ่งมีทั้งเชื้อราจำพวก Monascus และยีสต์
การฟื้นฟูกระบวนการผลิตและการบริโภคที่เกี่ยวข้องกับเครื่องปั้นดินเผาและอาหารในวัฒนธรรมซ่างซานตอนต้น (a) การจัดหาพืช การรวบรวมพืชป่าและเก็บเกี่ยวข้าว (b) การแปรรูปพืช สำหรับทำอาหารและเครื่องปั้นดินเผา (c) การแปรรูปอาหาร การปรุงอาหารและทำหัวเชื้อด้วยแม่พิมพ์ ยีสต์ และข้าว (d) การบริโภคอาหาร การกินและการดื่ม - Cr. IGG
การค้นพบเชื้อราชนิดต่างๆ โดยเฉพาะ
Monascus และยีสต์ภายในภาชนะดินเผาแบบเหยือกทรงกลม (
globular jars)
มากกว่าภาชนะประเภทอื่น เป็นสัญญาณชัดเจนว่าภาชนะประเภทนี้ถูกสร้างมาเพื่อการหมักแอลกอฮอล์โดยเฉพาะ เชื้อราและยีสต์ที่พบมีการเจริญเป็นระยะที่บ่งบอกถึงกระบวนการหมักเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งคล้ายคลึงกับกระบวนการผลิตเหล้าแดง (hongqujiu) ในจีนปัจจุบัน
เพื่อยืนยันว่าร่องรอยที่พบไม่ใช่การปนเปื้อนภายหลัง ทีมวิจัยได้ทำการวิเคราะห์ดินรอบๆ เป็นตัวอย่างควบคุม พบว่าตัวอย่างดินมีแป้งและเชื้อราน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับเศษเครื่องปั้นดินเผา ยิ่งไปกว่านั้น การทดลองหมักข้าวร่วมกับ Monascus และยีสต์ในห้องปฏิบัติการยืนยันความสอดคล้องทางสัณฐานวิทยาระหว่างเชื้อราปัจจุบันกับเชื้อราที่พบในวัตถุโบราณ ยืนยันว่าการหมักข้าวเป็นกิจกรรมดั้งเดิมในยุคหินใหม่ที่แหล่งช่างซาน
โดยสรุป การค้นพบนี้มีความสำคัญเพราะเป็นหลักฐานการหมักข้าวเพื่อผลิตแอลกอฮอล์ที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยพบในเอเชียตะวันออก เบียร์ข้าวโบราณอาจมีบทบาทในการประกอบพิธีกรรม การร่วมสังสรรค์ หรือสร้างเอกลักษณ์ทางสังคม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ผู้คนในยุคนั้นให้ความสำคัญกับข้าวมากขึ้น และอาจเร่งให้เกิดการเพาะปลูกข้าวอย่างแพร่หลายภายหลัง
การค้นพบจึงไม่เพียงเผยให้เห็นเทคนิคการหมักเครื่องดื่มในสังคมโบราณ แต่ยังสะท้อนถึงสายสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีการผลิตอาหาร เกษตรกรรม และการก่อร่างสร้างสังคมในยุคเริ่มต้นของอารยธรรมมนุษย์ในภูมิภาคนี้อีกด้วย
ที่มา: https://phys.org/news/2024-12-year-ancient-rice-beer-neolithic.html ,
https://www.pnas.org/doi/10.1073/pnas.2412274121
##################################################################
ค้นพบรูปปั้นโบราณในวิหารอียิปต์ อาจเป็นรูปปั้นของคลีโอพัตราจากสมัยโรมันที่หายาก
การค้นพบดังกล่าวเกิดขึ้นที่วิหาร Taposiris Magna ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองอเล็กซานเดรีย ใต้กำแพงด้านใต้ของขอบนอกของวิหาร - Cr. AFP via Getty Images
ทีมนักโบราณคดีได้ค้นพบรูปปั้นโบราณภายในวิหารแห่งหนึ่งในอียิปต์ โดยชิ้นส่วนที่พบนี้อาจเป็นรูปสลักศีรษะแบบบัสต์ของบุคคลสำคัญในยุคโบราณ ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนเชื่อว่ารูปปั้นดังกล่าวอาจสะท้อนภาพลักษณ์ของพระนางคลีโอพัตราที่เราคุ้นเคยในบทบาทราชินีแห่งอียิปต์โบราณ
ทีมวิจัยยังพบรูปปั้นครึ่งตัวของกษัตริย์ที่สวมเครื่องประดับศีรษะเนเมส เหรียญ 337 เหรียญ ซึ่งหลายเหรียญมีรูปของพระราชินีคลีโอพัตราที่ 7 และโบราณวัตถุอื่นๆ อีกมากมาย กระทรวงการท่องเที่ยวและโบราณวัตถุ - Cr. Egyptian Ministry of Tourism and Antiquities
การค้นพบนี้เกิดขึ้นในบริเวณเทวสถานที่นักวิจัยกำลังทำการขุดค้นอย่างต่อเนื่อง
โบราณสถานดังกล่าวมีประวัติศาสตร์ยาวนานและเคยเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและการเมืองในสมัยอียิปต์โบราณ นักโบราณคดีใช้เทคนิคการขุดค้นที่ละเอียดอ่อนเพื่อป้องกันความเสียหายต่อวัตถุโบราณ โดยเฉพาะรูปสลักหินอันเปราะบาง
การค้นพบที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือรูปปั้นหินอ่อนสีขาวของผู้หญิงที่สวมมงกุฎราชวงศ์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชั้นนำเชื่อว่าเป็นภาพใบหน้าของคลีโอพัตราที่ 7 - Cr. Egyptian Ministry of Tourism and Antiquities
ผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตว่าลักษณะการสลักและสัดส่วนใบหน้าของรูปปั้นแสดงอิทธิพลจากศิลปะยุคโรมัน ซึ่งแตกต่างจากรูปสลักอียิปต์ดั้งเดิม หลายฝ่ายจึงเชื่อว่าบัสต์นี้อาจเป็นภาพพระนางคลีโอพัตราในช่วงที่อียิปต์ตกอยู่ในอิทธิพลของจักรวรรดิโรมัน โดยคลีโอพัตราเองมีชื่อเสียงในด้านการเป็นพันธมิตรทางการเมืองและความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้นำโรมัน เช่น จูเลียส ซีซาร์ และมาร์ก แอนโทนี
หากรูปสลักดังกล่าวได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นภาพของพระนางคลีโอพัตราจริง
จะถือเป็นหลักฐานหายากของพระนางในลักษณะศิลปะโรมัน ซึ่งมีโอกาสช่วยเผยแพร่ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของพระนางทั้งในแง่การเมือง วัฒนธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างอียิปต์กับโรมัน การค้นพบนี้อาจเป็นหนึ่งในชิ้นส่วนประวัติศาสตร์ที่ช่วยเติมเต็มเรื่องราวทางโบราณคดีให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
คณะสำรวจโบราณคดีอียิปต์-โดมินิกันร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติ Pedro Henríquez Ureña นำโดย ดร. Kathleen Martinez - Cr. Egyptian Ministry of Tourism and Antiquities
นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์กำลังเตรียมนำรูปปั้นดังกล่าวไปสู่กระบวนการวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น การตรวจวิเคราะห์อายุด้วยเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ การเปรียบเทียบศิลปะรูปสลักกับรูปเคารพของราชินีและบุคคลสำคัญสมัยโรมัน รวมถึงการตรวจสอบร่องรอยการลงสีหรือเครื่องตกแต่งบนรูปปั้น ซึ่งอาจให้ข้อมูลใหม่ๆ เกี่ยวกับวิธีการนำเสนอภาพลักษณ์ของราชินีในยุคสมัยนั้น
รูปปั้นที่เพิ่งค้นพบในสุสานของคลีโอพัตราอาจเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของราชินีอียิปต์ - Cr. Egyptian Ministry of Tourism and Antiquities
ในขณะที่การค้นพบยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นและต้องการการตรวจสอบอย่างละเอียดมากขึ้น ชิ้นงานนี้ก็กระตุ้นความสนใจของนักวิชาการและบุคคลทั่วไปที่หลงใหลในประวัติศาสตร์โบราณ การแปลความหมายอย่างถูกต้องและการอนุรักษ์รูปปั้นอย่างเหมาะสมจะช่วยให้เราเข้าใจอดีตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และอาจเผยให้เห็นภาพลักษณ์ของพระนางคลีโอพัตราที่มีมิติซับซ้อนกว่าที่เราเคยรับรู้มาก่อน
ที่มา: https://www.independent.co.uk/news/science/archaeology/cleopatra-bust-ancient-egypt-temple-b2661626.html ,
https://www.aol.com/archaeologists-may-just-found-cleopatra-050324260.html
##################################################################
นักวิจัยในภูเวียงกำลังพิสูจน์ซากไดโนเสาร์ยักษ์พันธุ์ใหม่ในยุค 130 ล้านปีก่อนของไทยอย่างไร
ภาพจำลองของไดโนเสาร์สกุลแบรคิโอซอรัสที่คาดว่าถูกค้นพบในหลุมขุดค้นหมายเลข 3 อุทยานแห่งชาติภูเวียง - Cr. Kmonvish Lawan
ที่อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น นักบรรพชีวินวิทยาและนักธรณีวิทยากำลังพยายามสกัดซากฟอสซิลไดโนเสาร์กินพืชซอโรพอดขนาดยักษ์ โดยคาดว่าอาจเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่มีอายุราว 130 ล้านปีก่อน หากพิสูจน์ได้สำเร็จ นี่จะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่เติมเต็มภาพโลกยุคครีเทเชียสตอนต้นในพื้นที่นี้
แผนผังกระดูกของหลุมขุดค้นที่ 3 - Cr. โครงการขุดค้นฟอสซิลไดโนเสาร์ในหลุมขุดค้นที่ 3 อุทยานแห่งชาติภูเวียง
หลุมขุดค้นหมายเลข 3 นั้น “
แข็งที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา”
ดร.วราวุธ สุธีธร นักธรณีวิทยาและนักบรรพชีวินวัยเกษียณกล่าว เขาเคยค้นพบไดโนเสาร์กินเนื้อชนิดแรกของไทยจากแหล่งเดียวกัน นั่นคือ
สยามโมซอรัส สุธีธรนี ขณะที่ครั้งนี้เขากับทีมต้องใช้เครื่องมือขูดแค่เพียงน้อยนิดเพราะหินที่รายล้อมฟอสซิลแข็งราวคอนกรีต
ความแข็งของหินเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้การขุดค้นว่าที่ไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ของไทย ไม่ใช่เรื่องง่าย - Cr. Jiraporn Sricham/BBC Thai
ดร.สุรเวช สุธีธร รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและการศึกษาบรรพชีวินวิทยา ม.มหาสารคาม ลูกชายของดร.วราวุธ
ต้องใช้เครื่องเจาะเจาะหินหลายรอบ แต่หัวของดอกสว่านก็พังเสียหายหลายชิ้นเพราะหินในบริเวณนี้มีส่วนผสมซิลิกาและแคลเซียมคาร์บอเนตอัดแน่น “
มันเหมือนเจาะทะลวงพื้นคอนกรีตแข็งๆ” เขากล่าว พร้อมอธิบายว่า
โครงกระดูกไดโนเสาร์ชนิดนี้มีกระดูกบางและมีรูพรุนคล้ายฟองน้ำ ทำให้การสกัดหินออกต้องระวังอย่างยิ่ง “
ถ้าเราทุบแรงไป กระดูกที่เปราะบางอาจแตกก่อนหิน”
ดร.วราวุธ สุธีธร นักธรณีวิทยาและนักบรรพชีวินผู้พ่อ - Cr. Jiraporn Sricham/BBC Thai
ทีมขุดค้นเชื่อว่ามันน่าจะเป็นไดโนเสาร์ในสกุล แบรคิโอซอรัส (Brachiosaurus) สายพันธุ์ใหม่ ขนาดยักษ์ สูงราว 10-15 เมตร ยาวประมาณ 20 เมตร หนักราว 78 ตัน หรือเทียบเท่าช้างแอฟริกาถึง 15 เชือก เดิมทีพวกเขาคิดว่าอาจเป็น “
ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน” ไดโนเสาร์กินพืชคอยาวชื่อดังในพื้นที่
แต่เมื่อตรวจสอบพบว่าขนาดกระดูกใหญ่กว่าเท่าตัว จึงคาดว่านี่อาจเป็นชนิดใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อน
ดร.สุรเวช สุธีธร รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและการศึกษาบรรพชีวินวิทยา ม.มหาสารคาม - Cr. Jiraporn Sricham/BBC Thai
“
แบรคิโอซอรัสมีลักษณะพิเศษ คือ ตัวใหญ่ ทรงเหมือนยีราฟ คอยาวสูง แต่ด้วยสรีระของเขาที่เป็นแบบนี้ มันเลยมีการออกแบบทางวิศวกรรมที่ดีมาก กระดูกเขาจะเป็นรูพรุนเหมือนกับฟองน้ำ อย่างกระดูกคอ-กระดูกสันหลังที่เห็นเป็นชิ้นใหญ่ๆ แต่ข้างในมันเต็มไปด้วยรูพรุน เพราะฉะนั้นผิวกระดูกของเขาจะบางมาก บางจุดบางไม่ถึง 1 มิลลิเมตร มันเลยเป็นความยากของเราในการสกัดหินออกจากกระดูก เพราะเวลาเราทุบลงไป มันจะไปแตกตรงส่วนที่อ่อน นั่นก็คือกระดูก ดังนั้นหากเราทำแบบรีบๆ ส่วนที่ป่นก็คือกระดูก แทนที่จะเป็นหิน” ดร.สุรเวช อธิบาย
เปรียบเทียบขนาดกระดูกสันหลังกับขนาดของเครื่องมือขุดฟอสซิล - Cr. Jiraporn Sricham/BBC Thai
ความท้าทายอีกประการคือโครงกระดูกมิได้เรียงตัวสวยงาม แต่กองรวมกันเหมือนกระดูกในหม้อต้มเล้ง นักวิจัยคาดว่าเมื่อสัตว์ตาย น้ำอาจพัดพากระดูกมารวมกันเป็นกอง จึงยากต่อการแยกส่วนและเก็บข้อมูลครบถ้วน “
เราต้องค่อย ๆ เลาะกระดูกแต่ละชิ้นออกมา ซึ่งบางครั้งขุดอยู่ดีๆ ก็เจอชิ้นใหม่โผล่มา” ดร.สุรเวชกล่าว
โครงกระดูกที่กองรวมกัน กำลังถูกจำแนกโดยผู้เชี่ยวชาญที่ละชิ้นๆ - Cr. Jiraporn Sricham/BBC Thai
ทางด้าน
นายสุธรรม วงษ์จันทร์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูเวียง
ผู้ผลักดันให้เกิดการขุดค้นอีกครั้งในรอบกว่า 30 ปี บอกว่าความอุดมสมบูรณ์ในอดีตคงสูงมาก “
การมีไดโนเสาร์กินพืชตัวใหญ่ยักษ์หลายชนิดอยู่ร่วมกันได้นั้นสะท้อนถึงสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์” เขากล่าว
นายสุธรรม วงษ์จันทร์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูเวียง - Cr. Jiraporn Sricham/BBC Thai
เมื่อสอบถามว่าอะไรคือแรงบันดาลใจให้หัวหน้าอุทยานฯ ที่มีภารกิจหลัก คือการปกป้องผืนป่าและสายพันธุ์ต่างๆ ที่อยู่ในอาณาบริเวณ และยังต้องการผลักดันให้เกิดการขุดค้นฟอสซิลอายุหลายร้อยล้านปีในพื้นที่อุทยานฯ อีกครั้ง เขาตอบยิ้มๆว่า “
ที่จริงสมัยก่อนผมเคยเลือกเรียนธรณีวิทยา แต่ผมสอบไม่ติด ไปติดวนศาสตร์”
นายสุธรรมบอกว่าภูเวียงมีพื้นที่อีกกว่าประมาณ 10,000 ไร่ที่รอการสำรวจเพื่อค้นพบฟอสซิลใหม่ๆ
“
ผมมองว่าในสังคมของสิ่งมีชีวิตในช่วง 130 ล้านปี มันต้องประกอบไปด้วยสัตว์ผู้ล่า สัตว์ผู้โดนล่า พืชพรรณต่าง ๆ ไม่ใช่แค่ไดโนเสาร์ แต่น่าจะต้องมีสัตว์อื่น ๆ ด้วย ซึ่งมันน่าจะต้องเจออะไรเยอะแยะไปหมด แต่ตอนนี้เราเพิ่งเจอไดโนเสาร์เพียงแค่ไม่กี่ตัวเอง” หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูเวียงกล่าว
คาดว่าปีหน้าจะสามารถยืนยันการค้นพบไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ตัวนี้ได้ - Cr. Jiraporn Sricham/BBC Thai
นักบรรพชีวินคาดว่า หากหลักฐานทั้งหมดสมบูรณ์ การประกาศยืนยันว่าเป็นสายพันธุ์ใหม่อาจเกิดขึ้นในปีหน้า ซึ่งจะทำให้ไทยมีไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ตัวที่หกจากภูเวียง และช่วยเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวิวัฒนาการของไดโนเสาร์ในช่วงเวลาที่ข้อมูลจากพื้นที่อื่นยังไม่ชัดเจน สำหรับนักวิจัยแล้ว หุบเขาภูเวียงไม่ใช่แค่แหล่งขุดค้นธรรมดา ๆ แต่เป็นเสมือน “
แหล่งเรียนรู้ที่มีชีวิต” ที่หลอมรวมคุณค่าทางธรณีวิทยา แร่ธาตุ และสิ่งแวดล้อมโบราณไว้อย่างสมบูรณ์ และอาจเก็บงำคำตอบเกี่ยวกับปริศนาโลกเมื่อ 130 ล้านปีก่อนไว้ในหินชั้นลึกเหล่านั้น
ที่มา: https://www.bbc.com/thai/articles/c62lxp02yvpo