ข้อเสริมแบบมุมใต้เตียงๆ
ไม่เรียล แต่ ตั้งข้อสังเกตุ

1.) ช่วงนี้เป็นช่วงลงคะแนนโหวตสมาชิกแพทยสภา
ดังนั้น การออก move อะไร ย่อมมีผลต่อคะแนนแน่ๆ
ไม่แปลกที่จะมีแถลงการณ์ งงๆ แต่อาจจะได้ใจหมอ(สลิ่ม)

2.) สังเกตุว่าแถลงของสภาเภสัช ดูดุดัน ชัดเจน
แต่มีความอวย สปสช แปลกๆ

ว่าแล้วก็เลยไปเข้า web เสิร์ชดูบอร์ด สปสช ซะหน่อย
ประกอบกับ สภาเภสัช พึ่งได้นายกคนใหม่
ก็เลยต้องทำความรุ้จักกันบ้าง
สรุป … ชัดเจน 55


ก็ได้แต่สวดมนต์ ขอพรว่า
ขอให้ผู้ที่แม่งทำนาบนหลังคน หรือ เอาเปรียบคนไข้
ก็ขอให้มันเจอแต่ความฉิบหาย  

เรื่องสภาเภสัช กับ สปสช อันนี้ไม่แน่ใจ แต่จะเอียงไป สปสช ก็ไม่แปลก ปกติวิชาชีพเภสัชไม่ค่อยได้รับบทบาทอะไรกับสหวิชาชีพอยู่แล้ว โดนออกกฏกระทรวง พรบ ข้ามหน้าข้ามตาไปหลายรอบ (ชัดๆก็ พรบ ยา ฉบับที่เป็นปัญหานั่นแหละ ดันโดย อย ใครเป็นหัวก็รู้ๆกันอยู่)


ที่น่าสงสัยกว่าคือ ทำไมแพทยสภา เป็นเดือดเป็นร้อนกับร้านยา ที่เริ่มแค่ 16 โรค แต่ไม่เดือดร้อนกับคลินิกพยาบาลอบอุ่น ที่ตรวจได้ 32 โรค แถมเริ่มมาได้เป็นปีแล้วด้วย มาตีโพยตีพายกับร้านยา สาบานว่าห่วงคนไข้จริงๆหรือห่วงอะไรกันแน่?

 

ขอตอบ 2 ส่วน


1.) เรื่อง เภสัช vs หมอ

ผมมองแบบกลางๆ การที่คนไข้รับยาเองได้ เป็นเรื่องที่ดี
จริงๆ ผมเองชอบด้วยซ้ำ
เพราะลดการมา รพ โดย ไม่จำเป็น
มันก็เหมือนเราไปซื้อยาเองต้ามร้านเอง

แต่ผมก็เข้าใจในมุมหมอ ว่า
อาการบางอย่างใน 16 ข้อมันกว้าง
ตัวอย่างที่ดีเลยคือ อาการปวดท้อง
เพราะ มันเป็นได้ยันโรคหัวใจ หรือ มะเร็ง
การดูแลคนไข้จำเป็นต้องผสมผสานความรู้และทักษะ
ตั้งแต่การซักประวัติ ตรวจร่างกาย และ เจาะเลือด หรือ ส่ง xray
เพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่ถูกต้องที่สุด

ผมเชื่อว่าอันตรายถึงชีวิตอาจจะยังไม่เจอก็จริง
แต่อย่าลืมว่าการ delay diagnosis
หรือ วินิจฉัยล่าช้า คนไข้ก็เสียโอกาสเช่นกัน
ซึ่งหากเกิดปัญหาในขั้นตอนนี้ใครจะรับผิดชอบ
ทุกวันนี้มีกฎหมายคุ้มครองเภสัชไหม กรณีเกิดปัญหา

ดังนั้นผมเลยคิดว่าอาจจะต้องจัดการเงื่อนไขให้ดี
ผมมองว่า แพทย์ และ เภสัช จริงๆสามารถคุยกันได้
และเชื่อว่าไม่ควรมีปัญหากันถึงจุดนี้

แต่งานนี้ หมอ เภสัช กำลังโดนเสี้ยม
โดย บุคคลที่ 3
และ เป็นที่มาของ part 2 ข้อถัดไป

2.) สปสช องค์กรที่ curry สุดใน สธ
ขอด่า สปสช ต้นเรื่องเลยว่า
ยิ่งกว่าเสือนอนกิน ยิ่งกว่าทำนาบนหลังคน


สปสช นี่ตัวดีเลย
ติดหนี้ รพ เยอะ ไม่ยอมจ่าย
พลักภาระ อ้าง ศีลธรรม เอาดีเข้าตัวเอง

ล่าสุด พยายามไปหาเจ้าหนี้รายใหม่คือ ร้านขายยา
ให้รับยาฟรี แล้วค่อยเบิกคืน
ไปบีบคอร้านยาแทน ลดต้นทุน

เคยมีคนโพสใน ss เรื่องนี้ด้วย
http://www.soccersuck.com/boards/topic/2414389

ถามว่าเรื่องนี้ดีต่อ สปสช อย่างไร
- ลดต้นทุนการดูแลประชาชน
ง่ายๆเลยคือ การมา รพ ของผู้ป่วย มีต้นทุนบุคลากรเยอะ
ก็ไปแต่ร้านขายยาพอ
- ได้หน้า + กินเงินกันได้เยอะขึ้น
- ไปก่อหนี้กับเภสัชแทนหมอ

เอาจริงๆเลยคือ คนที่เสียประโยชน์จากเรื่องนี่ในระยะยาว
คือ เภสัช ด้วยซ้ำ ไม่ใช่หมอ
เพราะเชื่อว่าถ้านโยบายนี้ไปเรื่อยๆสุดท้าย
ร้านยาที่จะเปิดใหม่อาจจะต้องโดนบีบคอให้เข้าร่วมวงจรอุบาทนี้
และสุดท้ายหนี้ก่อนใหญ่ก็จะกองเพิ่มที่ร้านขายยา

นานาจิตตัง

ผมคิดว่าอะไรที่คนไข้ได้ประโยชน์ย่อมดีเสมอ
แต่ใครที่เอาคนไข้มาเป็นตัวประกันและเกาะกินเงินที่ควรจะเป็นของคนไข้คนอื่นๆ
มันผู้นั้นจะต้องเจอแต่ความชิบหาย


 

Move นี้ ผมว่า แพทยสภา พลาด เอาตรงๆ
เหมือนไม่ได้คุยกันดีๆ

ส่วน prescription อะ ผมว่าดี
แต่สุดท้ายก็ต้อง มา รพ ก่อน หรือ มาตรวจก่อนอยู่ดี
เพราะคำว่า prescription คือ หมอต้องสั่งก่อน

แต่ของไทยตอนนี้ เข้าใจว่าคนไข้เอายาไปได้ก่อนเลย
แล้วถ้าเกิด error จากยาที่เภสัชจ่ายให้
ทั้งที่จริงๆเภสัชก็ไม่ได้ผิดด้วย ใครจะคุ้มครองเภสัช

เอาจริงกำไรจากยา รพ ได้น้อยมาก
ยาหลายๆตัว รพ ขายถูกกว่า ร้านยาข้างนอก 2-3 เท่าด้วยซ้ำ
 

เอาจริงๆต่างพอสมควรเลย
เพราะ คลินิคพยาบาล พยาบาล อบอุ่นจ่ายยาเองไม่ได้
คนจ่ายจริงๆก็เป็นหมอที่ทำงานในนั้น นั่นแหละ

ผมเข้าใจว่าคลินิคนี่ช่วยแบ่งเบา รพ ในแง่การดูแลผู้ป่วยติดเตียง
หรือ พวกที่ต้องทำแผล ให้ยา ทุกวัน ในระยะเวลาช่วงนีง ได้อย่างดี

จริงๆ อยากให้ใช้เวลาอ่านแถลงฝั่งเภสัชดีๆ
แอบแปลกๆอยู่

ข้อ 4 นี่ผมไม่เถียงนะ ก็ Fact
ผมไม่ชอบเหมือนกันที่กั๊กเรื่องฉลากยา

แต่ลองสังเกต ข้อ 2 และ ข้อ 3

ข้อ 2 อ่านจบ ดูเหมือนจะดีนะ แต่ลองคิดว่าในอีกมุม
ว่า รพ จะกลัว สปสช ลงร้านยาทำไม ในเมื่อเงินตูมึงยังไม่คืนเลย 555
กลับกันลองเอา ข้อสังเกตเรื่องความสัมพันธ์ สปสช กับ สภาเภสัช มาคิดย้อน
ก็แลดูคล้ายว่า พรี่ๆ(ตัวใหญ่ๆ)เค้ากำลังจะทำอะไรร่วมกันรึเปล่า

สุดท้าย เภสัชตัวน้อย ก็จะซวยเหมือน หมอน้อง ที่กำลังเจออยู่
คิดสภาพคนไปต่อแถวเอายา 40-50 คน เหมือน opd ที่ รพ
(I know how u feel bro )

ข้อ 3
ผมละรู้สึกแอบไม่สบายใจกับข้อนี้ไงไม่รุ้
เหมือนกำลังจะบอกว่า การจ่ายยา จ่ายได้จากประวัติก็พอ

จริงอยู่ที่มันก็ดีกับคนไข้ในแง่สะดวก
แต่การเบิกยามั่วซั่วหนักกว่าเดิมแน่นอน และ คนซวยก็คือเภสัชร้านนั้นนั่นแหละเวลามีปัญหา
ดังนั้น ถ้าจะทำ ยังไงก็ต้องมีระบบ Drug prescription ก่อน ไม่ใช่จ่ายดื้อๆแบบที่กำลังจะทำตอนนี้


 

การจ่ายยา (ตามเงื่อนไข สปสช) มันก็จ่ายยาได้แค่กลุ่มพื้นฐานไหมครับ ยาที่จ่ายได้น้อยกว่าการจ่ายยาแบบเสียตังอีก

ผมเลยสงสัยว่า ทำไมแพทยสภา ถึงเดือดร้อนในกรณีที่ สปสช ออกมาให้งบโครงการนี้ ทั้งที่ปกติเภสัชก็ซักประวัติจ่ายยาปกติอยู่แล้ว

ถ้ากลัวไม่ได้ PE แสดงว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวโครงการ สปสช จริงไหม ต้องแก้ พรบ ยา ที่ให้อำนาจเภสัชจ่ายยาเองจากการซักประวัติ (แต่ป้าๆหมอแกก็ออกมาบอกแล้วนะ ถ้าจ่ายยาปกติลูกค้าเสียตัง คือการ“หยิบยา”ตามลูกค้าบอก ไม่เป็นไร หยวนๆได้ อีหยังวะ)


ดังนั้นลองคิดดูดีๆครับ ว่าใครมีอะไรแปลกๆ เล่นแง่หรือเปล่า

ปล* คลิกนิกพยาบาล เคยไปเห็นตาม ตจว ใช่ไหมครับ มี stock ยาอะไรบ้าง แล้วให้บริการคนไข้แบบไหน  

แน่นอนคนได้ประโยชน์ และ เสียผลประโยชน์
ก็พวก เภสัช หรือ หมอ บนหอคอยนั่นแหละ 55
Esp พวกที่ทำงาน สปสช อันนี้ เสือนอนกินจัดๆ
พูดกี่ทีก็เกลียดขี้หน้าแม่ม

แล้วถามว่าเภสัช หรือ หมอ ทั่วไปได้ประโยชน์อะไรไหม
ผมก็ตอบว่าไม่ 55

เผลอๆผลเสียกับ เภสัช(ดีๆ) เยอะกว่าด้วย
คิดง่ายๆ หลังจากนี้ร้านยาจะโดน abuse แทน
นึกสภาพมีคนมางอแงขอยาทุกวัน จะไม่ให้ก็ไม่ได้
เดี๋ยวร้านยาจะโดนต่อว่า ว่าไม่ทำตามกฎ
แล้วร้านยาไม่ได้เหมือน รพ ที่มีทีมคอย สกรีน
อันนี้แทบจะเข้าถึงตัวกันได้ง่ายๆเลย
ความเสี่ยงในวิชาชีพเพิ่มแน่ๆ

ผมเลยจะบอกว่า นโยบาย สปสช อะ
ไม่เคยได้ออกแบบเพื่อคนที่ทำงานในระบบหรอก
ความซวยเกิดเต็มๆกับคนที่ตั้งใจทำงานจริงๆ

ที่เลวร้ายที่สุดคือผลเสียต่อคนไข้ในแง่การรักษานี่แหละ
โดยเฉพาะโอกาสการทำให้ได้รับการวินิจฉัยภาวะที่เร่งด่วนล่าช้า
จากความโลภและมักง่าย

ผมสนับสนุนระบบ Prescription ตามที่เภสัชทุกคนอยากให้เป็นจริงๆนะ
เพราะความตรงไปตรงมา และ มีระบบ ย่อมลดโอกาสการเกิดปัญหาได้ดีที่สุด
และคนไข้ก็จะได้รับประโยชน์ที่สุด

ในฐานะหมอ ผมรู้สึกโชคดีที่คอยมีเภสัชคอยตรวจสอบยาให้เสมอ
และ คอย remind เรื่องผลของยาต่างๆ ลด error จากการทำงานให้ผมได้ดีมากๆ
โดยเฉพาะเวลาที่เราต้องดูแลคนไข้มากๆ พร้อมๆกัน
พอมาอ่านดราม่านี้แล้ว ยอมรับเลยว่าเซ็งจริงๆ เหมือนตีกันเองในเรื่องไม่เป็นเรื่อง