A : โลกร้อนเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ เช่น อุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้น การละลายของน้ำแข็ง และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น โดยทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรม

B : โลกร้อนเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรธรรมชาติ ไม่เชื่อว่ามนุษย์มีผลกระทบมากพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระยะเวลาไม่กี่ปี นอกจากนี้โลกร้อนถูกใช้ในวาระทางการเมืองและเพื่อควบคุมอุตสาหกรรมและพลังงาน แถมยังเอาเรื่องนี้มาทำคะแนนเสียงจากพวกหัวก้าวหน้าได้ด้วย

พรี่หมีมาตั้งกระทู้เหรอครับเนี่ย!

โลกมันอาจจะร้อนขึ้นตามธรรมชาติ และมันก็น่าจะค่อยๆปรับสภาพให้สมดุล แต่มนุษย์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เร็วมากขึ้น เกิดขึ้นเร็วไม่พอยังไปทำให้กลับสู่สภาวะสมดุลไม่ได้ด้วย

เชื่อทั้งสองไม่ได้หรอคับ

โลกร้อน โลกเย็น เป็นวัฏจักรที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว

แต่กิจกรรมของมนุษคือตัวเร่งปฏิกิริยาให้มันเกิดไวขค้นกว่าวงจรปกติครับ

ท่านคงคิดแนวๆทฤษฎีสมคบคิดปล่อยข่าวลือใหญ่ๆเพื่อผลประโยชน์บางอย่างขององค์กรระดับโลกใช่ไหมครับ

เช่นช่วงยุค2000มีการปล่อยข่าวลืออีก30ปีน้ำมันจะหมดโลก
แต่ตอนนี้ยังเหลืออีกเพียบๆใกล้ครบ30ปีละอีกไม่นาน

ผมเชื่อว่า B เป็นตัวเริ่ม และ A เป็นตัวเร่ง ครับ

B มนุษย์แค่ฝุ่นผง จะไปทำไรธรรมชาติได้

โลกเคยร้อนกว่านี้และเย็นกว่านี้

ก็แปลกดี บางคนชอบบอกธรรมชาติยิ่งใหญ่มาก ราวเทพเจ้า
และเราที่เป็นมนุษย์ไม่สามารถรับมือการแก้แค้นหรือการเอาคืนจากธรรมชาติได้

แต่กลับบอกว่าเราสามารถทำลายธรรมชาติได้แบบไม่เหลือชิ้นดี จนโลกสามารถพังได้ด้วยน้ำมือเรา

ถ้ามันยิงใหญ่ขนาดนั้น แล้วเราจะไปทำลายมันได้ไง

นั่นนะซิ
เหมือนน้ำท่วม กทม เลย

เคยได้ยินมาว่ามีช่วงนึงที่โลกมีต้นไม้เยอะจนมีอ็อกซิเจนเยอะเกินไป ส่งผลทำให้โลกเย็นเกิน

ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเราต้องหาสมดุลให้กับโลก เชื้อเพลิงฟอสซิลน่ะใช้ได้ แต่ไม่ใช่ใช้ด้วยและขยันทำลายป่าไปด้วย

คือมันต้องหาจุดสมดุลให้ได้ ต้นไม้ไม่ได้แค่ช่วยดูดก๊าซคาร์บอนอย่างเดียว แต่ยังช่วงทำให้น้ำเกิดความสมดุลด้วย

แทนที่น้ำจะท่วมก็มีต้นไม้มาช่วย

เคยได้ยินว่า โลกเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มาขึ้น